ตอนที่ 10: อารยธรรมโบราณ
ตอนที่ 10: อารยธรรมโบราณ
“คุณรู้จักวัตถุโบราณในยุคก่อนประวัติศาสตร์ไหม?”
“คุณกำลังพูดถึงอารยธรรมมายาหรือเปล่า” เซี่ยเฟยถามกลับ
“อารยธรรมมายาอาจจะมีอายุย้อนกลับไปถึง 2,000 ปีก่อนคริสตกาลแต่พวกเขาก็เริ่มเจริญรุ่งเรืองหลังจากปีค.ศ. 600 เท่านั้น สิ่งที่ฉันกำลังพูดถึงคืออารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ที่มีความเก่าแก่มากกว่าอารยธรรมมายา ยิ่งไปกว่านั้นระดับความรุ่งเรืองของพวกเขาก็ห่างจากอารยธรรมมายาไปไกล” อันเดร์กล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“เก่าแก่กว่าอารยธรรมมายาอีกอย่างงั้นหรอ..หรือว่าคุณกำลังพูดถึงอารยธรรมที่อยู่ในตำนาน…?”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยเฟยกำลังจะพูดอะไรออกมามากจนเกินไปอันเดร์จึงรีบยื่นมือออกไปห้ามชายหนุ่มเอาไว้ก่อน จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึมและกล่าวออกมาว่า
“ที่นี่มีหูมีตาอยู่มากเกินไป พวกเราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังดีกว่า”
—--
“อันธนายยังอยู่หรือเปล่า” เซี่ยเฟยหยิบสร้อยคอหินมัวร์ขึ้นมากระซิบเบา ๆ หลังจากที่เขาได้เข้าไปอยู่ในห้องน้ำ
“มีอะไร? ฉันกำลังศึกษาบทกวีที่นายให้ฉันมาอยู่เลย” อันธกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“ก่อนหน้านี้ฉันเกือบตายแล้วนะแต่นายยังนั่งอ่านบทกวีอยู่อีกอย่างนั้นหรอ” เซี่ยเฟยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ
อันธถอนหายใจและกล่าวอธิบายออกไปว่า
“ถ้าหากว่านายไม่สามารถจัดการกับเรื่องง่าย ๆ แบบนี้ได้มันก็แสดงว่านายไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นนักฆ่า ท้ายที่สุดฉันก็เป็นเพียงแค่วิญญาณที่ไม่มีร่างกาย ดังนั้นนายจึงจำเป็นที่จะต้องจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเองและถึงแม้ว่าฉันจะอยากทำอะไรแต่ฉันก็ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือนายโดยตรงได้อยู่ดี”
“แต่ก่อนหน้านี้นายก็ทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวโดยเฉพาะในตอนที่นายเห็นเลือดมันทำให้หัวใจของนายเต้นระรัวขึ้นมาอย่างกะทันหันพร้อมกับฮอร์โมนของนายที่ถูกปล่อยออกมาในปริมาณที่สูงมาก ส่วนสมองของนายก็กำลังประมวลผลด้วยความรวดเร็วเช่นเดียวกัน ซึ่งมันก็หมายความว่าการต่อสู้และการนองเลือดมันทำให้นายรู้สึกตื่นเต้น เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติหรือเราอาจจะเรียกว่ามันเป็นพรสวรรค์ของนายก็ได้”
“ถ้าฉันเป็นคนที่รู้สึกตื่นเต้นตอนที่ได้เห็นเลือด ฉันจะไม่กลายเป็นพวกบ้าฆาตกรรมใช่ไหม” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มันไม่มีประโยชน์อะไรที่นายจะไปต่อต้านปฏิกิริยาภายในร่างกายของตัวเอง ถึงแม้ว่าจิตใจของนายอาจจะไม่ได้ชื่นชอบการต่อสู้และการนองเลือดแต่ร่างกายของนายก็แสดงปฏิกิริยาที่ตรงกันข้ามกับความคิดอย่างสิ้นเชิง ฉันขอแนะนำให้นายค่อย ๆ ปรับตัวและทำความเข้าใจร่างกายของตัวเองจะดีกว่า โดยเฉพาะในวันนั้นที่นายได้ดื่มน้ำยาปรับสภาพยีนเข้าไป นายพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่งและจิตใจอันแน่วแน่ของนายก็ได้ปลุกฉันขึ้นมา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงได้ช่วยนายออกไปตามสัญชาตญาณ”
“ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ, ความกระหายเลือดหรือความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นพรสวรรค์ที่ปรากฏขึ้นในตัวนักรบที่โดดเด่น นายได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องกลายเป็นผู้ที่มีชีวิตที่ไม่ธรรมดา เอาล่ะฉันเลิกเสียเวลาคุยกับนายแค่นี้จะดีกว่ามันถึงเวลาที่ฉันจะต้องกลับไปศึกษาบทกวีของฉันแล้ว บอกตรง ๆ เลยนะว่าบทกวีพวกนี้มันน่าดึงดูดใจมาก ฉันกำลังคิดว่าฉันควรที่จะศึกษาพุทธศาสนาดีหรือเปล่า ฉันจะได้เข้าใจบทกวีพวกนี้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมันก็ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออกก่อนที่เขาจะได้กล่าวถามออกไปว่า
“นายคือสุดยอดนักฆ่าไม่ใช่หรอแล้วทำไมนายถึงคิดที่จะเรียนพุทธศาสนา มันไม่ใช่สิ่งที่ขัดกับอาชีพของนายหรือไง?”
“ฉันแตกต่างจากนายเพราะฉันได้กลายเป็นนักฆ่าโดยบังเอิญ นี่ถ้าหากว่าฉันไม่ได้พบกับท่านอาจารย์ฉันก็คงจะกลายเป็นนักแต่งบทกวีโรแมนติกไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจหรือร่างกายของฉันต่างก็ล้วนแล้วแต่ต่อต้านการต่อสู้ตามธรรมชาติ ในขณะที่ร่างกายของนายเป็นร่างกายที่เกิดขึ้นมาสำหรับการเป็นนักรบโดยเฉพาะ แล้วนายจะมาเข้าใจความทุกข์ภายในใจของฉันได้ยังไง?” อันธกล่าวตอบกลับไปโดยไม่คิดที่จะปฏิเสธเรื่องที่เซี่ยเฟยได้กล่าวออกมาเลย
ก่อนที่เซี่ยเฟยจะได้ตอบอะไรกลับไปอันธก็หายตัวกลับเข้าไปภายในหินมัวร์เพื่อทำการศึกษาพุทธศาสนาด้วยจิตใจอันแน่วแน่
เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างแท้จริง เพราะนักฆ่าที่ผู้คนทั่วทั้งจักรวาลรู้สึกหวาดกลัวกลับมีแก่นแท้เป็นเพียงแค่ผู้ที่ชื่นชอบในบทกวี ในขณะที่เด็กปั่นจักรยานส่งของธรรมดา ๆ กลับมีพรสวรรค์ในการเป็นนักรบที่มีความกระหายในการต่อสู้
มันเป็นไปได้ไหมว่าทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่เพียงแต่ว่าพวกเขายังไม่ทันได้รู้ตัวถึงพรสวรรค์ของตัวเองก็เท่านั้น?
—--
เมื่อมันได้มีเหตุการณ์สำคัญอย่างการก่อการร้ายบนเครื่องบินรัฐบาลกลางก็ได้เข้ามาจัดการเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ผู้โดยสารบนเครื่องบินทุกคนต่างก็ถูกนำตัวไปสอบสวนที่สำนักงานสอบสวนของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงอย่างเซี่ยเฟย, อันเดร์และอู่หลงที่ต้องทำการถูกสอบสวนอย่างละเอียด
หลังจากที่เซี่ยเฟยได้ติดอยู่ที่ฮาวายเป็นเวลา 1 วันเขาก็ได้ขึ้นเครื่องบินไปยังนิวยอร์กอีกครั้ง เพียงแต่ในครั้งนี้เขาได้นั่งเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลรอธส์ไชลด์
ภายในเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวมีพื้นที่น้อยกว่าเครื่องบินโดยสารมากแต่มันก็มีความสะดวกสบายมากกว่าเครื่องบินโดยสารด้วยเช่นเดียวกัน โดยภายในเครื่องบินได้ถูกตกแต่งเอาไว้ด้วยเบาะหนังที่มีกลิ่นขนสัตว์ลอยออกมาจาง ๆ ขณะที่โต๊ะบนเครื่องบินก็เป็นโต๊ะไม้วอลนัทที่มีลวดลายอันเด่นชัดที่ดูเรียบง่ายแต่ก็ดูหรูหราไปในเวลาเดียวกัน
“คุณรู้ได้ยังไงว่าตัวจุดชนวนระเบิดอยู่ที่ชายผิวซีดคนนั้น” ชายหัวล้านผู้ซึ่งมีชื่อว่า ‘อู่หลง’ กล่าวถามพร้อมกับดื่มวอดก้าเข้าไป
ในระหว่างการสืบสวนพวกเขาทั้งสามคนได้ถูกแยกออกจากกันมันจึงทำให้พวกเขาไม่ได้มีโอกาสที่จะได้พูดคุยกันเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นหลังจากที่อู่หลงได้ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวมาพร้อมกับอันเดร์และเซี่ยเฟยแล้ว เขาจึงรีบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความคับข้องใจ
“มันชัดอยู่แล้วนี่ ชายผิวซีดคนนั้นเป็นคนบงการเหตุการณ์ทั้งหมด ส่วนชายอีกคนก็ให้ความเคารพชายผิวซีดเป็นอย่างดี เมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้านายส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกน้อง มันก็คงจะไม่มีเจ้านายคนไหนฝากชีวิตของตัวเองเอาไว้กับลูกน้องหรอก ดังนั้นผมจึงได้ข้อสรุปว่า ถ้าระเบิดเป็นของจริงตัวจุดชนวนระเบิดจะต้องอยู่ในมือของชายผิวซีดอย่างแน่นอน เพราะถ้าหากเขาได้ให้ตัวจุดชนวนอยู่ในมือคนที่เก่งแต่ใช้กำลัง มันก็เป็นเรื่องที่อันตรายมากจนเกินไป”
“หลังจากนั้นผมก็ทำการสังเกตชายผิวซีดอย่างระมัดระวัง ซึ่งมือขวาของเขาได้ถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าพันแผลและมีการขยับแบบปกติ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังระมัดระวังกับการปกป้องมือขวาของตนเอง ซึ่งมันก็หมายความว่ามือขวาของเขากำลังได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถใช้มือขวาในการจุดชนวนระเบิดได้ ด้วยเหตุนี้ความเป็นไปได้จึงเหลือเพียงแค่หนึ่งเดียวคือตัวจุดชนวนระเบิดจะต้องอยู่ใกล้ ๆ กับมือซ้ายของเขาเท่านั้น”
“ไม่รู้ว่าพวกคุณได้สังเกตไหมว่ามือซ้ายของเขามักที่จะสัมผัสเข้ากับกระเป๋ากางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ในตอนที่เขายืนขึ้นมาเขาเอามือซ้ายสัมผัสเข้าไปในกระเป๋ากางเกงทั้งหมด 4 ครั้ง นอกจากนี้กระเป๋ากางเกงของเขายังนูนขึ้นมามากเป็นพิเศษ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าเขาได้ใส่อะไรบางอย่างเอาไว้ข้างใน”
หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของเซี่ยเฟยแล้วทั้งอันเดร์และอู่หลงต่างก็แสดงสีหน้าออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“น่าเหลือเชื่อจริง ๆ คุณได้รับการฝึกฝนแบบไหนมากันแน่คุณถึงเป็นคนช่างสังเกตและสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างละเอียดแบบนี้” อันเดร์กล่าวถาม
“ผมไม่ได้รับการฝึกฝนอะไรมาหรอก ผมเพียงแต่เคยเป็นพนักงานปั่นจักรยานส่งของมาก่อน ซึ่งมันก็หมายความว่าผมมีโอกาสได้พบกับคนทุกประเภทแล้วมันก็เป็นเรื่องปกติที่ผมจะได้เรียนรู้เรื่องการสังเกตมาจากงานประจำ” เซี่ยเฟยกล่าวตอบพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
“หลังจากที่ได้ฟังคุณอธิบาย ฉันก็รู้ได้เลยว่าตัวฉันเองประมาทมากจนเกินไป ฉันคงอยู่อย่างไร้ประโยชน์มา 36 ปีแล้วสินะ” อู่หลงกล่าวพร้อมกับแสดงท่าทีออกมาอย่างเขินอาย
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเราทุกคนรอดชีวิตกลับมาได้ แต่ผมก็มีเรื่องที่อยากจะถามคุณอยู่เหมือนกันว่าคุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาเป็นสมาชิกของแก๊งอสรพิษดำ แล้วแก๊งอสรพิษดำเป็นองค์กรแบบไหนกันแน่?” เซี่ยเฟยกล่าวปลอบอู่หลงก่อนที่เขาจะกล่าวถามออกมา
เมื่อเซี่ยเฟยได้กล่าวถึงแก๊งอสรพิษดำอู่หลงก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ได้กล่าวตอบกลับไปว่า
“ภายในโลกมีผู้ใช้พลังพิเศษอยู่อย่างมากมาย จากข่าวลือมันก็มีจำนวนของผู้ใช้พลังพิเศษอยู่มากกว่า 10,000 คน ขณะเดียวกันมันก็มีอาชญากรที่มีชื่อเสียงบางคนสามารถปลดล็อกพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของตนเองขึ้นมาได้และพวกเขาก็ได้ทำการก่อตั้งแก๊งอสรพิษดำขึ้นมา โดยพวกเขาจะใช้ความสามารถพิเศษของตัวเองในการก่ออาชญากรรมและมันก็สร้างความรำคาญให้กับรัฐบาลกลางมานานแล้ว”
ขณะเดียวกันมันก็ดูเหมือนกับว่าอันเดร์จะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ โดยไม่กล่าวขัดจังหวะขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็เป็นตัวปัญหาจริง ๆ ท้ายที่สุดยุคใหม่มันก็พึ่งเริ่มต้นขึ้นเพียงแค่ไม่นาน มันไม่มีอะไรรับประกันเลยว่าผู้ที่มีพลังพิเศษจะมีแค่คนดี” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหยิบบุหรี่ของตัวเองขึ้นมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอู่หลงก็พยักหน้าซ้ำ ๆ ก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า
“ใช่เลย แม้ว่าจำนวนของผู้มีพลังพิเศษที่ประกาศออกไปต่อสาธารณะชนจะมีเพียงแค่ 10,000 คน แต่มันก็ยังมีอาชญากรเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้ลงทะเบียนพลังพิเศษของตนเอง ดังนั้นผู้ที่สามารถใช้พลังพิเศษได้จริง ๆ สมควรที่จะมีอยู่ประมาณ 11,000 คนด้วยซ้ำ”
“เมื่อก่อนฉันเคยเป็นนักสืบที่มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีของแก๊งอสรพิษดำมาก่อน ดังนั้นฉันจึงรู้ว่าสมาชิกของแก๊งนี้จะมีรอยสักรูปอสรพิษดำอยู่บนร่างกายและในตอนที่ผู้ชายร่างกายใหญ่ฉีกเสื้อ มันก็เผยให้เห็นรอยสักรูปอสรพิษดำอยู่บนหน้าอกของเขา นั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงรู้ว่าพวกเขามาจากแก๊งอสรพิษดำ”
แน่นอนว่าเซี่ยเฟยก็สังเกตเห็นรอยสักรูปอสรพิษดำเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาคิดว่ามันเป็นเพียงแค่รอยสักเฉย ๆ ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นข้อมูลสำคัญใด ๆ
“แล้วพวกเขาเอาระเบิดขึ้นเครื่องมาได้ยังไง การตรวจสอบความปลอดภัยของสนามบินเข้มงวดมากแต่พวกเขากลับเอาระเบิดขึ้นเครื่องมาได้จริง ๆ หรือว่ามันจะมีคนของแก๊งแฝงตัวอยู่ภายในสนามบิน?” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” อู่หลงกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“เรื่องนี้ฉันหาข้อมูลมาแล้ว ชายผิวซีดที่อยู่บนเครื่องบินเป็นสมาชิกอันดับที่ 7 ของแก๊งอสรพิษดำและความสามารถพิเศษของเขาคือการสร้างช่องว่างมิติ มันจึงไม่มีใครสามารถทำการตรวจจับสิ่งของที่เขาซ่อนเอาไว้ภายในช่องว่างมิติได้ ส่วนผู้ชายร่างใหญ่คนนั้นก็เป็นเพียงแค่สมาชิกแก๊งธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษใด ๆ เขาทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ระเบิดมนุษย์ของปฎิบัติการในครั้งนี้เท่านั้น” อันเดร์กล่าวขึ้นมาอย่างไม่เร่งรีบ
ด้วยอิทธิพลของตระกูลรอธส์ไชลด์เขาจึงสามารถหาข้อมูลพวกนี้ได้อย่างไม่ยากลำบากนัก เพราะท้ายที่สุดภายในรัฐบาลกลางต่างก็เต็มไปด้วยคนของตระกูลรอธส์ไชลด์อยู่อย่างมากมาย ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสหพันธ์โลกกับตระกูลนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้อย่างแท้จริง
“ส่วนสาเหตุที่พวกเขาลงมือมันก็เป็นเพราะของสิ่งนี้” อันเดร์กล่าวพร้อมกับชี้ไปที่กระเป๋าอลูมิเนียมอัลลอยที่เขาได้นำติดตัวมาตอนที่ขึ้นเครื่องบิน
“ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันมีใครบางคนกำลังมุ่งเป้ามาที่ฉันและเพื่อนำของชิ้นนี้กลับมาที่นิวยอร์ก ฉันจึงจำเป็นที่จะต้องบินจากเอเธนส์ไปมอสโกไปอูลานบาตอร์ไปปักกิ่งก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังนิวยอร์ก ฉันได้พยายามหลอกล่อทุกวิถีทางเพื่อสลัดสมาชิกของแก๊งอสรพิษดำออกไปแล้ว โดยในระหว่างทางฉันได้แยกทางกับบอดี้การ์ดเพื่อพยายามเบี่ยงเบนความสนใจแต่ฉันก็ไม่คิดเลยว่าท้ายที่สุดพวกมันก็ยังสามารถติดตามฉันมาได้อยู่ดี” อันเดร์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“ด้วยอิทธิพลของตระกูลรอธส์ไชลด์คุณก็น่าจะขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางโดยตรงได้ไม่ใช่หรอ หรือว่าแม้แต่ภายในรัฐบาลกลางก็มีคนของแก๊งอสรพิษดำแฝงตัวอยู่ด้วยเหมือนกัน” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยความสงสัย
“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก เป็นเพราะว่าพวกเราไม่ต้องการให้รัฐบาลกลางรู้เรื่องนี้ น่าเสียดายที่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังรู้อยู่ดี” อันเดร์กล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น
“ของสิ่งนี้คืออะไรกันแน่? ทำไมคุณถึงต้องทำให้มันลึกลับมากขนาดนั้นด้วย แล้วการที่คุณยอมเสี่ยงชีวิตปกป้องมันเอาไว้ เป็นสิ่งที่คุ้มค่าจริง ๆ หรอ?” ทั้งเซี่ยเฟยและอู่หลงต่างก็ไม่สามารถทำความเข้าใจความคิดของชายชราได้จริง ๆ
หลังจากนั้นอันเดร์ก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทก่อนที่จะทำการปลดล็อกกุญแจมือที่ล็อกกับกระเป๋าเอาไว้
“คุณยังจำที่ฉันได้บอกกับคุณในก่อนหน้านี้ได้ไหม” อันเดร์กล่าวถามเซี่ยเฟย
“ผมจำได้ เรื่องวัตถุโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ใช่ไหม”
ทันใดนั้นอันเดร์ก็เอื้อมมือไปทำการสแกนลายนิ้วมือเพื่อใช้ในการเปิดกระเป๋า
ปึก!
แต่ก่อนที่อันเดร์จะทำอะไรเซี่ยเฟยกลับได้ใช้มือข้างหนึ่งกดลงบนกระเป๋าเอาไว้พร้อมกับกล่าวออกไปว่า
“ของชิ้นนี้มีความสำคัญกับตระกูลคุณมาก ผมคิดว่าพวกเราไม่รู้เรื่องของมันจะดีกว่า”
“ตอนนี้รัฐบาลกลางรู้เรื่องแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าฉันจะทำการเปิดเผยมันให้กับพวกคุณดูหรือเปล่า” อันเดร์กล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
เมื่ออันเดร์ทำการสแกนลายนิ้วมือของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็กดรหัสเพื่อทำการปลดล็อกกลไกของกระเป๋าก่อนที่เขาจะได้เสียบกุญแจเข้าไปเพื่อทำการปลดล็อกมันอีกครั้ง
แม้ว่ากระเป๋าอะลูมิเนียมใบนี้จะมีขนาดค่อนข้างเล็กแต่มันกลับมีระบบรักษาความปลอดภัยอยู่ถึงสามชั้น แล้วมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าของที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มีค่ามากแค่ไหน
ในระหว่างนั้นเซี่ยเฟยและอู่หลงต่างก็จ้องมองไปยังกระเป๋าอย่างใกล้ชิดโดยภายในหัวใจของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
‘ถ้ามันไม่ใช่อารยธรรมมายา มันก็ต้องเป็นอารยธรรมที่อยู่ในตำนานใช่ไหม’
ในระหว่างที่เซี่ยเฟยกำลังคิดกับตัวเองอยู่นั้นในที่สุดกระเป๋าตรงหน้าก็ได้เปิดออก
ปึก!
***************
อุ้ย!! ของที่อยู่ในกระเป๋าคืออะไรกันน้า