Chapter 200 True talent
真正的天才
นานแล้ว,ซูเห่าได้พบกับความรู้สึกเมื่อชาติที่เป็นโหลวเจาฮุยกลับมาอีกครั้ง,ในเวลานั้นเขาผ่อนคลายราวกับว่าสิ่งคุกคามในใจของเขาได้หายไปหมด,ไม่มีโรคภัย,ไม่มีสิ่งที่จะทำร้ายเขาได้อีกต่อไป.
ไม่มีอันตราย,ไม่มีความเป็นกังวล,อ่านหนังสือได้โดยปราศจากความกดดัน,มีอิสระเป็นของตัวเอง.
ความรู้สึกนี้,ยอดเยี่ยมจริง ๆ.
เหมือนกับการโยนเงินทิ้งทุกเดือน,เดือนละหนึ่งหมื่นเช่ารถ,เช่าบ้าน,เพื่อใช้ชีวิตหรูราคาแพง....
มุมมองเฉพาะ เขาสามารถที่จะใช้ความคิด,ล่องลอยออกไปอย่างอิสระ.
ซูเห่านั่งบนเก้าอี้ภายในพื้นที่พินบอล,มือของเขาที่เปิดอ่านตำราทีละหน้าช้า ๆ.
เขาไม่ได้อ่านตำรามานาน,เริ่มต้นการอ่านจึงรู้สึกยาก.
ไม่เพียงแค่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน,ทว่าความรู้และทักษะพื้นฐานที่เขามีนั้น แทบจะลืมมันไปหมดแล้ว.
ดังนั้นตำราที่เขาหยิบออกมาอ่านจึงต้องเริ่มจากผู้เริ่มต้นไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญ.
เริ่มแรกวิชา“คณิตศาสตร์” เขาใช้เวลาสองเดือน,จากสิ่งที่ละทิ้งไว้,ถูกคัดเลือกออกมาโดยสมบูรณ์.
หลังจากที่หยิบตำราคณิตศาสตร์มาอ่าน,ซูเห่าก็พบว่าความรู้วิชาเดียวก็มีมากมายมหาศาล,เขาใช้เวลาอ่านจากบันทึกเพียงแค่ 1% กับวิชาที่เก็บบันทึกเอาไว้ในพื้นที่พินบอลเท่านั้น.
หากต้องการศึกษาจนหมด,ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่?
10ปี,20 ปี?
นี่ยังไม่ได้เอ่ยถึงวิชาฟิสิกส์,เคมี,ชีววิทยา,ดาราศาสตร์,เทคโนโลยีและอีกหลายวิชา,หากแต่ละวิชาใช้เวลา 20 ปีในการศึกษา,ร่างกายคงแก่ชราจนหมดอายุขัยไปก่อน ก็ยังไม่สำเร็จ.
ซูเห่าอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ“ความสามารถในการวิเคราะห์ไม่เพียงพอ! หากข้าเป็นอัจฉริยะเช่นไอสไตน์,การเรียนรู้เหล่านี้คงมีประสิทธิภาพสองเท่าโดยใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่ง,จะช่วยลดเวลาได้มาก,น่าเสียดายที่ข้าเป็นคนธรรมดา,ไม่ใช่ยอดอัจฉริยะ...”
ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้,ดวงตาของซูเห่าเป็นประกาย“เดี๋ยวนะ! อัจฉริยะ?”
สิ่งใดที่เรียกว่าอัจฉริยะ?
ซูเห่าที่คิดถึงเรื่องอัจฉริยะอย่างจริงจังขึ้นมา.
มีคนบอกว่าอัจฉริยะ คือหยาดเหงื่อแรงงาน 99 % อีก 1% ก็คือ แรงบันดาลใจหรือพรสวรรค์ในตำนาน.
อย่างไรก็ตามซูเห่านั้นไม่มีพรสวรรค์ในตำนาน,ทุกอย่างมาจากหยาดเหงื่อแรงงานทั้งนั้น.
แม้แต่เผ่าพันธุ์ใหม่ที่สร้างโดยเขา,ก็ยังยากที่จะสร้างสมองที่ชาญฉลาด?
“ยาก? เป็นไปได้?”
คิดถึงตรงนี้,ซูเห่าก็อดยิ้มออกมาไม่ได้”พวกเราไม่อาจเทียบได้กับสุดยอดอัจฉริยะที่ยากจะเกิดได้ในพันปี,ทว่าสามารถเรียนรู้จากความอัจฉริยะของคนอื่นได้.
เหมือนดั่งคำโบราณเอ่ยเอาไว้ว่า“ตราบใดที่ความคิดของคุณไม่หลุดลอย,ทางออกย่อมมีมากกว่าความยากลำบากเสมอ” เพื่อเข้าใกล้ความเป็นอัจฉริยะ,ก็เรียนรู้จากอัจฉริยะ,พวกเราล้วนแต่เป็นอัจฉริยะ.”
“ยีนของอัจฉริยะ? หากข้าสามารถสร้างยีนอัจฉริยะ,ไม่ใช่ว่าข้าก็กลายเป็นอัจฉริยะด้วยหรอกรึ?”
ความคิดของเขาที่ต้องการเรียนรู้มากขึ้น,เข้าใจมากขึ้น,มีความสุขในการเรียนคณิตศาสตร์,เวลานี้จำเป็นต้องเพิ่มระดับฮาร์ดแวร์เพิ่ม.
ในเวลานั้น ซูเห่าได้คิดถึงลำดับวิวัฒนาการของจูเหาเหริน【มนุษย์ทำนาย】
เกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้จากไกลี่,มนุษย์ทำนายหรือศาสดาพยากร,มีความสามารถสี่อย่าง,ได้รับ,วิเคราะห์,บันทึก,จำลอง,ทว่าต้องการได้รับทั้งสี่ทักษะ จำต้องมีสมองที่ทรงพลัง,หากว่าเขาได้รับความสามารถเหล่านี้มา,เมื่อทำงานร่วมกับพื้นที่พินบอล,เสี่ยวกวง,จะยกระดับขึ้นไปอีกขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย.
แม้แต่เสี่ยวกวงเองก็อาจจะยกระดับได้อีกด้วย.
ดังนั้นซูเห่าจึงตัดสินใจ“จะต้องยกระดับสมองตัวเอง,วิวัฒนาการเป็นศาสดาพยากร!”
ก่อนหน้านี้ซูเห่ารู้สึกลังเลเหมือนกัน,หากสมองของเขาได้รับความเสียหาย,ไม่ทำให้เขาต้องท่องไปในจักรวาลหรอกรึ?
“ไม่ได้การ,ไม่อาจประมาทได้,ก่อนอื่นต้องหาคนทดลองก่อน!”
สองเดือนหลังจากนั้น,การทดลองในนักโทษประสบความสำเร็จ,ปรากฏศาสดาพยากรสองคน,เห็นชัดเจนว่าพวกเขามีความฉลาดเพิ่มมากขึ้น,เดิมทีเผ่าพันธ์จูเห่าเหรินก็มีความฉลาดอยู่แล้ว,โดยเฉพาะทักษะเรียนรู้ที่แข็งแกร่ง,ไม่ต้องเอ่ยถึงทักษะที่ได้รับและการวิเคราะห์ที่พิเศษเป็นอย่างมาก.
หลังจากยืนยันไม่มีข้อผิดพลาด,ซูเห่าก็ตัดสินใจลงมือกับตัวเอง.
สิ่งหนึ่งที่ซูเห่าไม่รู้,บางสิ่งก็ต้องเริ่มกับตัวเองก่อน,เมื่อมีครั้งแรกแล้ว,ครั้งต่อ ๆไปก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ.
แน่นอนว่าก่อนที่จะลงมือกับตัวเอง,ซูเห่าได้จัดการตัดยีนมนุษย์กลายพันธ์ออกจากนักโทษทั้งสองที่เพิ่งเป็นมนุษย์ทำนายทั้งสองไป.
นักโทษทั้งสอง,ซูเห่าย่อมไม่ยินดีให้พวกเขาฉลาด.
ดังนั้นนักโทษทั้งสองจากมีเชาว์ปัญญาระดับสูงในเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้นก็คืนกลับสู่สภาพเดิม.
หลังจากนั้น,พวกเขาแทบจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้น,รู้สึกเลือนลางเหมือนกับกำลังฝันเท่านั้น.
การยกระดับและลดระดับลง,ทำให้ซูเห่ารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก.
มีความเป็นไปได้ว่านี่คือหนึ่งในปัญหาที่เรียกว่าความจำเสื่อมหรือไม่?
หลังจากนั้น,ซูเห่าก็เตรียมตัวอยู่พักหนึ่ง,จากนั้นก็ฉีดน้ำยาปรับปรุงยีนเข้ามาในร่างกายของตัวเอง
“ไม่รู้ว่าคนทั่วไปสามารถกลายเป็นอัจฉริยะได้จริง ๆใหม!”
ซูเห่าที่หลับลึกลงช้า ๆ.
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่,ซูเห่าได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง,รู้สึกถึงสมองของเขาที่งุนงง,พล่ามัว ดูสับสนเหมือนกับว่ามีคนเทปรอทเข้ามาในสมองของเขา.
ซูเห่าที่ค่อย ๆ คืนสติช้า ๆ,ความรู้สึกแรก“ล้มเหลวรึ?”
หลังจากนั้น,เมื่อเริ่มคิดมากขึ้นก็รู้สึกแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ,ซูเห่าพบว่ามันแตกต่างไปจากเดิม“ไม่,ไม่ได้ล้มเหลว,สำเร็จต่างหาก!”
ครั้งนี้สมองของเขาเริ่มทำงาน,การจะเปิดการทำงานของมนุษย์พยากรนั้นอาจต้องใช้เวลาสองสามวัน,ถึงจะปรับตัวได้.
“ข้าเป็นอัจฉริยะแล้วรึ? ฮ่าฮ่า!”
ซูเห่ารู้สึกสบายใจ,สมองแจ่มใจ,ดูโดดเด่นจริง ๆ.
การที่เขาตื่นเต้นดีใจไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นอัจฉริยะแล้ว,แต่เพราะว่าในอนาคต,ไม่ว่าจะไปยังโลกใหน,เขาก็สามารถกลายเป็นอัจฉริยะได้ทุกชาติ.
การสามารถส่งต่อความเป็นอัจฉริยะให้กับลูกหลาน,นับเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวจริง ๆ.
“หากข้าเป็นม้าพ่อพันธ์,ข้าก็จะสามารถทำให้ทั้งเผ่าพันธุ์กลายเป็นอัจฉริยะได้.”
จวบจนถึงตอนนี้,ซูเห่ามั่นใจว่าเขาได้เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว.
การไล่ตามความรู้อันยิ่งใหญ่จากอ่อนแอไปจนทรงพลัง เก็บเกี่ยวความรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด,ยิ่งรู้มากก็ยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น.
หลังจากนี้,เขาก็จะมีคุณสมบัติที่จะสำรวจจักรวาลแล้ว.
......
ตอนนี้ยีนกำลังปรับตัว,จำเป็นต้องใช้เวลาสักพัก,ซูเห่าที่ตัดสินใจพักผ่อนร่างกายและสมองให้ได้พักผ่อนเต็มที่.
ซูเห่าก้าวไปยังสวน,นั่งบนเบาะ,พักผ่อนร่างกายและจิตใจ,นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร.
ในคือกิจกรรมที่ต้องทำเป็นประจำเมื่อชาติที่เป็นอู๋เซี่ยงหวู่,เขาทำเช่นนี้เพื่อที่จะยกระดับความคิดและความแข็งแกร่งของจิตใจ.
กระทั่งเวลานั้นเขาใช้เวลาอยู่นาน,ความแข็งแกร่งของจิตใจก็มาถึงขีดจำกัดแล้วไม่เพิ่มขึ้นอีกเลย.
หลังจากนั่งบำเพ็ญเพียร,สมองของเขาที่สว่างสดใส,เขาเริ่มที่จะคิดใคร่ครวญตรวจสอบความรู้สึกตัวเอง,สรุปเรื่องราวในอดีต,เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นและหายไป.
เป็นการฝึกฝนจิตใจอย่างหนึ่ง.
แม้นว่าจะได้รับประโยชน์น้อยมาก,ทว่าซูเห่าก็ฝึกฝนมันอย่างจริงจัง.
เพราะเขาเข้าใจดี,การคิดใคร่ครวญและไตร่ตรองเรื่องราวต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องนั้น,สามารถทำให้เขาก้าวตรงไปยังเป้าหมายโดยไม่หลงทาง.
อนาคตข้างหน้าเส้นทางยิ่งยาวไกล,หากผิดพลาดในตอนแรก,การเปลี่ยนแปลงทีหลังจะยิ่งยาก.
ซูเห่าสลายความฟุ้งซ่านในใจ,จดจ่ออยู่กับความคิดเดียว.
ผ่านไปนานเหมือนกัน,ซูเห่าก็ลืมตาขึ้น,เผยแววตาสงสัย“หืม?”