ตอนที่ 1287 กระจกและพิษ
“เนื่องจากกลางวันที่สว่างไสว และท้องฟ้าสว่างโล่งไม่สามารถกำจัดราตรีได้อย่างนั้นก็เปลี่ยนให้ราตรีทำลายตนเอง”
สำหรับการกลับมาได้ของจักรพรรดินีราตรีและการชื่นชมของราชันย์ไร้ใจราชันย์ไร้พ่ายที่ไม่ปรากฏตัวต่อโลกภายนอกเริ่มให้ความสนใจคำพูดและการกระทำของเขาอย่างกระตือรือร้น “ไม่จริง เจ้าไม่สามารถถูกกำจัดได้นั่นเป็นเรื่องไม่ดี ถ้าอยู่ภายใต้ผนึกของข้าเล่าจะเป็นอย่างไร? เมล็ดพันธุ์ที่โดดเด่นศักยภาพสูงจะต้องถูกผนึกตลอดไปปล่อยให้นางเพลิดเพลินมีความสุขกับความเดียวดายตลอดไปให้นางถูกจองจำพร้อมกับกระบวนการเติบโตของชีวิตอื่นๆ ทั้งหมดของนาง ดูซิว่านางยังจะภูมิใจได้ต่อไปหรือไม่?”
จ้าวภูผาได้ยินเข้าก็แค่นเสียงเย็นชา “ผนึกของเจ้าถือว่าดีจริง แต่ครั้งนี้เจ้าไม่เกี่ยวนี่คือการต่อสู้ของข้า!”
ราชันย์ไร้พ่ายหลังจากถูกปฏิเสธ
เขาลังเลอยู่นาน
เสียงของเขาเหมือนดังมาจากแดนไกล“อย่างนั้นให้เวลาเจ้าครึ่งวัน ไม่เลย ความจริงแล้วเจ้าเสียเวลามากเกินไป”
“อย่างมากก็สองชั่วโมงหรืออาจชั่วโมงเดียวก็ผนึกได้สมบูรณ์แล้ว” จ้าวภูผายังคงมองดูจักรพรรดินีราตรีที่กำลังควบกลั่นพลังอยู่ต่อหน้าเขาประเมินในใจ การผนึกเทียบไม่ได้กับการกำจัดไม่ใช่ว่าทุกท่าทางทุกท่วงท่าจะแก้ไขกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผนึกที่สมบูรณ์ที่สุดจำเป็นต้องใช้เวลา ยิ่งไปกว่านั้นจักรพรรดินีราตรีกลับมาได้อย่างน่าทึ่งในใจของจ้าวภูผาประเมินพลังของนางว่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆต้องบอกว่าสิบนาทีเพื่อคลี่คลายปัญหาแต่ความไม่ต่อเนื่องกันทำให้ขยายไปเป็นชั่วโมง
“ข้าจะรอดู” ราชันย์ไร้พ่ายไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเวลาที่ต้องเพิ่มขึ้น
ร่างบุรุษสูงยี่สิบเมตรระเบิดพลังเทพพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า
เผาผลาญได้เหมือนไฟ
สายฟ้าน้ำไม่ถ้วนอยู่รอบตัวเขาเหมือนกับงูทองเต้นระบำอย่างบ้าคลั่ง
สนามพลังที่ปกคลุมด้วยพลังเทพนั้นใช้เจตจำนงที่ไม่เหมือนใครของจ้าวภูผาก่อตัวเป็นสนามพลังนอกโลกที่ไม่มีใดเหมือน
ภายใต้เจตจำนงของจ้าวภูผาทุกสิ่งทุกอย่างภายในสนามพลังจะถูกควบคุมโดยเจตจำนงของเขา แม้ว่าศัตรูที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาจะเป็นนักสู้ระดับเทพก็ต้องยอมจำนนต่อพลังกฎสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่กว่าแข็งแกร่งกว่าและสูงส่งกว่า...กลุ่มดาวรวมถึงพื้นที่มิติที่ยังไม่มีเวลาได้ปิดตัวถูกห่อหุ้มด้วยพลังและกฎสวรรค์บีบอัดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเกิดรวมตัวกันอย่างไม่สิ้นสุด
ดวงดาวแต่เดิมที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้านับไม่ถ้วนเริ่มบิดเบี้ยวไล่ไปหาศูนย์กลางกลุ่มดาว
พลังบิดที่รุนแรงมหาศาล
บีบอัดกลุ่มดาว
จากนั้นกลุ่มดาวมีขนาดเล็กลงทีละน้อยด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่าจนมีขนาดเล็กลง
ภายในกลุ่มดาว
จักรพรรดินีราตรีต่อต้านด้วยพลังเจตจำนงของตนเอง
นี่คือการต่อสู้อีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ต้องใช้หมัดแต่น่ากลัวยิ่งกว่าและเจ็บปวดมากกว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดที่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อแขนขาดขาขาด สำหรับผู้แพ้นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะกลับมาได้อีกจะต้องพ่ายแพ้ในที่สุดและผลเพียงประการเดียวคือจะถูกผนึกอย่างถาวรไม่สามารถถอนออกมาได้จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
พลังโจมตีที่รุนแรงที่สุดในผนึกนี้ไม่ใช่การสูญเสียอิสรภาพแต่เป็นการอยู่รอด
คนผู้นี้จะต้องถูกความเดียวดายสิ้นหวังเคี่ยวกรำทรมานไปตลอดชีวิต
จากร่างของจ้าวภูผาเป็นศูนย์กลางพื้นที่ภายในหมื่นเมตรถูกบีบอัดทีละนิดแกนกลางเป็นกระจุกดาวที่จักรพรรดินีราตรียังคงใช้ต้านทานและขอบด้านนอกเป็นรูปทรงกลมสีดำทั้งหมดที่เกิดจากพื้นที่มิติที่มีแรงอัดหนาแน่นสูงของมิติแตกพังทลาย
ตราบเท่าที่พลังเทพขยายเพิ่ม จะทำลายกลืนกินพลังต้านทานของจักรพรรดินีราตรีและพลังทั้งหมดของนางจากนั้นนางจะถูกผนึกอย่างสมบูรณ์
ในเวลานั้นจะเป็นจุดสิ้นสุดการต่อสู้
เมื่อเห็นว่าผนึกเป็นไปอย่างราบรื่นมากจ้าวภูผาเริ่มยินดีในหัวใจคู่ต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้าของเขาเป็นอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดามีพรสวรรค์และศักยภาพที่น่าทึ่ง เพียงแต่น่าเสียดายที่พรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นนี้ไม่ได้มาจากแดนสวรรค์บนแต่มาจากหอทงเทียนจากเผ่ารัตติกาลบันไดสวรรค์
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้วจ้าวภูผาเพิ่มพลังที่ซ่อนอยู่อีกสิบเท่า
มิติทั้งหมดระเบิดออกโดยพลังเทพที่คล้ายกับดวงอาทิตย์
กลุ่มดาวถูกบีบอัดจนกลายเป็นกระจุกดาว
ขนาดเล็กลงทุกที
เหลืออยู่เพียงจุดดำเล็กเลือนราง
ขณะที่แสงกำลังจะกลืนกินทุกสิ่งในโลกทันใดนั้นผีเสื้อที่ส่องแสงระยิบระยับบินออกไปโดยไม่สนใจพลังอันน่าเกรงขามของพลังเทพดวงอาทิตย์ปีกของมันกระพือเบาๆ รวมกับประกายแสงดาว
พลังกฎสวรรค์เจตจำนงและพลังเทพของจ้าวภูผากวาดพลังพายุที่น่ากลัว
ภายในพายุพลังเทพมีมือนับไม่ถ้วนที่ถูกเปลี่ยนโดยพลังเจตจำนง
สานตัวเป็นตาข่าย
ต้องการจะจับผีเสื้อดวงดาวนี้ไม่ให้มีอิสระ
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่ว่าพายุพลังเทพจะแผดเสียงคำรามแค่ไหนมือแปรเปลี่ยนก็ไม่สามารถไล่จับหรือสัมผัสผีเสื้อดวงดาวนี้ได้ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง มีอยู่แต่ในจินตนาการและความฝันเท่านั้นเมื่อผีเสื้อดวงดาวบินผ่านพายุพลังเทพเบาๆ ผ่านช่องว่างในมือเทพแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่สนามพลังงานดวงอาทิตย์เหมือนกับแยกออกมาจากผนึกและปรากฏต่อหน้ากลายร่างเป็นจักรพรรดินีราตรีผู้ที่จ้าวภูผาต้องการฆ่า
จักรพรรดินีราตรีคืนสภาพจากดาวผีเสื้อกลายเป็นร่างเงาเลือนรางที่งดงาม
ประกายดาวรอบตัวยังคงส่องประกายและไม่ได้รับความเสียหายมากนักเนื่องจากพลังผนึกเทพเมื่อครู่นี้
แม้ว่าพลังของนางไม่สามารถไม่อาจเทียบเคียงกับศัตรูอย่างจ้าวภูผาได้ แต่ในแง่ของเจตจำนงความเป็นอิสระนางยังเป็นสุดยอดนักสู้ผู้มีความเข้าใจด้านนี้และมีเจตจำนงนิรันดรไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนและดวงดาวจะถูกผนึกด้วยพลังแห่งสวรรค์ผีเสื้อดาวตัวน้อยก็ยังกลับมาจากมิติที่แตกเป็นเสี่ยงได้ แม้ว่าพลังแสงอาทิตย์ของจ้าวภูผาจะแกร่งกร้าวและพายุสุริยะที่สร้างขึ้นมานั้นจะหนาแน่นเพียงใดและตาข่ายหัตถ์เทพที่หนาแน่นก็ไม่สามารถป้องกันเจตจำนงสูงสุดของนางได้
“ข้าเป็นคนเผ่ารัตติกาล แต่ไม่ได้จำกัดแค่รัตติกาลเท่านั้นที่สำคัญบันไดสวรรค์ยังมีเผ่าร้อยบุปผา เผ่าภมร และเผ่าประกายจันทราทั้งหมดไม่ใช่ว่ามีสัญชาตญาณตามเผ่าพันธุ์ของข้าไม่ใช่หรือ?” จักรพรรดินีราตรีส่งเสียงแค่น
“ถ้าเป็นกรณีนี้ อย่างนั้นข้าจะทุบจะฟันเจ้าให้เต็มไปด้วยบาดแผลจนผิวหนังของเจ้ามิอาจปิดกระดูกได้!” จ้าวภูผาตัดสินใจใช้ไม้ตายสุดท้าย
ในเมื่อไม่สามารถฆ่าได้ ไม่สามารถผนึกได้
อย่างนั้นก็ทำให้ศัตรูบาดเจ็บสาหัสไปเลย
ต้องใช้เวลาอย่างน้อยร้อยปีในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บบางคนอาจต้องใช้เวลาเป็นพันปี
ตราบเท่าที่สตรีเผ่ารัตติกาลนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและทำให้นางต้องถอนตัวออกจากการต่อสู้ครั้งนี้จากนั้นค่อยหาทางผนึกก็ได้ เพราะหอทงเทียนมีนักสู้ระดับเทพมีไม่มากนักและเมื่อนักรบสำคัญบาดเจ็บไปคนหนึ่ง กำลังรบก็ลดลงถึงครึ่งหนึ่ง
ตอนนี้จ้าวภูผาปรับเปลี่ยนความคิดของเขาในที่สุด
เขาจะไม่คิดว่านักสู้ระดับเทพมือใหม่ที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นสตรีอีกต่อไป แม้ว่าเขาจะไม่ทราบว่านางรู้แจ้งได้อย่างไรแต่ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าสติปัญญาของนางแทบสมบูรณ์แบบ การทำลายฆ่าและการผนึกไม่ใช่ตัวเลือกแรกอีกต่อไป
“ขอน้อมสนองจนถึงที่สุด” จักรพรรดินีราตรีรู้ดีว่านี่เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก
การที่นางใช้พลังนางเองต่อสู้กับจ้าวภูผามีทรงพลังมากนับว่ายากแล้ว
ที่ยากยิ่งกว่าที่ด้านหลังของจ้าวภูผายังมีราชันย์ไร้พ่ายและราชันย์ไร้ใจที่แข็งแกร่งมากกว่า
เพื่อให้เย่ว์หยางมีเวลาฝึกฝนอย่างเพียงพอเพื่อฟื้นฟูพลังให้กับเผ่าพันธุ์ที่รอคอยมานานนับพันปีสำหรับการรุ่งเรืองขึ้นมาของหอทงเทียน อนาคตของหอทงเทียนจะต้องไม่พินาศอีกต่อไปนางต้องยืนหยัดต่อไป แม้จะต้องสู้ตามลำพังก็ตาม
ร่างเล็กของจักรพรรดินีราตรีเล็กกว่าร่างของจ้าวภูผาที่สูงมากกว่ายี่สิบเมตรแต่นางมีเจตจำนงราชันย์
นางจะต่อต้านแรงกดดันจากจ้าวภูผา
และจะไม่ยอมถอนถอย
เป็นครั้งที่สามที่เกิดจุดดาวบนท้องฟ้ากลุ่มดาวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก่อตัวยาวเป็นสายทางช้างเผือกส่องประกายสดใส
“ดูซิว่าดาวของเจ้าจะยอดเยี่ยมแค่ไหน!” เขาหายใจลึกชูกำปั้นและพลังเทพที่ไม่มีสิ้นสุดควบแน่นแม้ว่าจะเป็นดวงดาวเขาก็จะทุบด้วยหมัดของเขาตรงๆ ต่อหน้าเขาไม่มีศัตรูคนใดรอดชีวิตได้นี่คือเจตจำนงของเขาที่จะสู้
กระจก
ไม่รู้ว่าในที่ไกลออกไปมีเสียงสดใสดุจระฆังเงินดังขึ้น
คำพูดที่เปล่งออกมานุ่มนวลราวกับพรายน้ำที่ผุดขึ้นจากน้ำราวกับสกุณาเริงร่าโดดเกาะกิ่งไม้ยามฤดูใบไม้ผลิส่งเสียงเจื้อยแจ้วร้องเรียกพวกพ้อง
กระจกวิเศษที่ยอดเยี่ยมถูกควบสร้างด้วยพลังจิตเทพที่บริสุทธิ์ปรากฏอยู่ข้างหน้าของจักรพรรดินีราตรีและหมุนปั่นราวกับกังหันกระดาษในมือของเด็กหญิงที่วิ่งหัวเราะร่าในกลางแดดตลอดทางกระจกหมุนเป็นวงมีผิวกระจกแปลกประหลาดสะท้อนให้เห็นสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวและตกตะลึงของจ้าวภูผา
จ้าวภูผาส่งเสียงคำรามปล่อยหมัดของเขาออกไปราวกับเสียงฟ้าร้อง
หมัดเขากระแทกเข้ากับกระจกเงาอย่างรุนแรง
กระจกนั้นปกป้องจักรพรรดินีราตรี
และไม่เคลื่อนขยับแม้แต่น้อย
ในทางตรงกันข้ามหมัดที่หนักหน่วงทลายแผ่นดินของจ้าวภูผากลับสะท้อนเขาจนถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างเหลือเชื่อ... ขณะที่จ้าวภูผาก้าวถอยหลังมีเถาหนามพลังเทพที่ไม่รู้เกิดขึ้นเมื่อใดเติบโตขึ้นมาเองราวกับหนวดปลาหมึกโบกสะบัดหนามนับนับไม่ถ้วน เข็มหนามที่น่ากลัวปักแทงเข้าไปในร่างเทพของจ้าวภูผาหลายพันเล่ม
หนามนั้นเจออุปสรรคที่ยากลำบากเล็กน้อย เมื่อมันปักตรึงแล้วผิวของจ้าวภูผามีการต่อต้าน
แต่ต่อให้เป็นสายฟ้าฟาดจ้าวภูผาก็สามารถเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดรุนแรงได้
ร่างเทพสูงยี่สิบเมตรซวนเซ
แทบจะทรุดตัวลงอยู่หลายครั้ง
ปรากฏว่าร่างที่สีทองแต่เดิมหมองลงอย่างรวดเร็ว พิษเขียวเข้มไม่ทราบชนิดประกอบกับหนามจากพลังเตะที่แรงเพียงพอและหนามแหลมที่พุ่งเข้ามาในร่างของเขาผ่านร่างของเขาทำให้ผิวและผมของเขาเปลี่ยนสีและรู้สึกอ่อนแอลงทันที....ริมฝีปากของเขาเขียวและความเจ็บปวดทำให้เขาร้องโหยหวนด้วยเสียงที่แหบแห้งราวกับผู้ป่วยติดเตียงมานานนับสิบปี
สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือดวงตาสีทองของจ้าวภูผาที่ยังมีสติและกระจ่างใส
“บัดซบ นี่มันพิษอะไร? เป็นไปได้อย่างไรที่มันปนเปื้อนและทำร้ายเลือดของข้าได้โดยตรง!” จ้าวภูผากระชากเถาหนามออกด้วยความโกรธ เขาต้องการใช้เท้าเหยียบย่ำแต่พบว่าเถาหนามพลังเทพด้านล่างกำลังกางเขี้ยวเล็บรอเขาเขาตื่นตัวและถอยหลังอย่างรวดเร็วอีกครั้งจากนั้นใช้ไฟพลังเทพทำลายกลุ่มหนาม
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดก็คือกลุ่มหนามที่ไหม้ไฟจะกลืนกินพลังไฟเทพที่มีเจตจำนงของเขาลงไปด้วย
ความเร็วในการดูดซับช้า แต่มองเห็นได้ด้วยตา
ไม่ว่าพลังเทพจะมากแค่ไหนเป็นไปไม่ได้ที่จะเผาเจ้าหนามบัดซบนี่
มันไม่กลัวไฟ
หรือมันสามารถใช้ไฟเทพเป็นอาหารการโจมตีระเบิดมันทำให้มันเติบโตทวีคูณ
จ้าวภูผาฉีกแผลที่หน้าอกรีดเอาพิษนิรนามที่เข้ามาในร่างออกจากบาดแผลบนหน้าอกของร่างเขา ร่างเทพที่กลายเป็นสีเขียวเข้มหมองเริ่มเปล่งประกายทันที ความอ่อนแอถูกขับหายไป
ต้องการให้จ้าวภูผาที่ไม่เคยล้มกับพื้นต้องทรุดตัวในสนามรบน่ะหรือ?
แค่กระจกกับกลุ่มหนามพิษสำหรับจ้าวภูผาที่มีประสบการณ์รบมากมาย แค่นี้ถือว่าฝีมือเด็กๆ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือนี่เป็นนักรบระดับเทพอีกคนหนึ่งหรือ? นอกจากผู้นิทราผู้เฝ้าอยู่ที่ปากทางแดนล่มสลายแห่งทวยเทพเป็นเวลาหลายพันปีแล้วและเย่อวี่แห่งเผ่ารัตติกาลที่อยู่ข้างหน้าหอทงเทียนยังมีนักรบระดับเทพอื่นอีกหรือ?
ไม่มีทาง!
เย่ว์ไตตันผู้มีพรสวรรค์แปลกประหลาดผิดธรรมดาที่สุดในหอทงเทียนยังไม่มีทางเลื่อนเป็นนักรบระดับเทพได้เลยไม่ใช่หรือ?
พลังเทพของกระจกวิเศษและเถาหนามพิษทั้งสองไม่น่าจะใช่นางพญาเฟ่ยเหวินหลีไม่ว่านางจะออกมาจากผนึกแล้วหรือไม่ แต่นางไม่ได้ถนัดใช้กระจกและพลังพิษนางไม่มีสิ่งนี้ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมีความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อย หรือว่ายังมีนักสู้ระดับเทพใหม่เพิ่มขึ้นนอกจากสตรีเผ่ารัตติกาลชื่อเย่อวี่?
คำถามนี้ไม่เพียงแต่จ้าวภูผาเท่านั้นที่สงสัย แต่ยังรวมถึงจักรพรรดินีราตรีที่ได้รับการปกป้องจากกระจกวิเศษก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ
“โอว เป็นเจ้านั่นเอง เจ้าเลื่อนเป็นระดับเทพเมื่อใดกัน?”
จักรพรรดินีราตรีไม่เคยรู้สึกตกใจอย่างนี้มาก่อนในชีวิต
นางเกือบคิดแล้วว่านางคงถูกศัตรูใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง “ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม? เป็นพวกเจ้าจริงๆหรือ?”