ตอนที่ 1286 ดาวยังคงทอแสง
ภายใต้เจตจำนงราชันย์ทุกอย่างดูเหมือนมด
เช่นเดียวกับนักสู้ระดับเทพ
คล้ายกับพลังกฎสวรรค์
อย่างไรก็ตามจักรพรรดินีราตรีเพิ่งย่างเข้าสู่ขอบเขตระดับเทพแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากจ้าวภูผาซึ่งใช้เวลาทำความเข้าใจพลังตนเองนานเกือบหมื่นปี
พลังกฎสวรรค์ที่จักรพรรดินีราตรีเข้าใจถูกข่มจนใช้งานไม่ได้เหมือนถูกจับกดจมทะเลลึกเป็นหมื่นเมตร เป็นไปไม่ได้ที่จะพลิกสถานการณ์กลับมา
จ้าวภูผาควบแน่นบอลแสงอาทิตย์สีทองเตรียมใช้บดขยี้ทุกอย่างในโลก
จักรพรรดินีราตรีไม่สามารถต้านทานพลังโจมตีระดับนี้ได้
นางดูพลังเทพของตนเอง เห็นพลังเทพของศัตรูค่อยๆกดดันบดขยี้ทีละนิดๆ ... ดวงดาวไม่มีอีกต่อไป ท้องฟ้าและแผ่นพื้นดินไม่มีให้เห็นมีอยู่เพียงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลกนั่นคือรังสีดวงอาทิตย์ที่สามารถแผดเผาทุกอย่างในโลก แม้แต่มิติก็แตกกลายเป็นพายุสุริยะขนาดใหญ่โหมกระแทกและหมุนด้วยความเร็วสูงในขณะที่พายุขยายตัวออกไป มันกลืนทุกสิ่งทุกอย่างไปด้วยอย่างรวดเร็วพร้อมกัน แต่ก่อนหน้านั้นแสงจากดวงอาทิตย์ที่ควบแน่นได้แทรกซึมทำลายทุกอย่างเหมือนมีดาบคมจำนวนมหาศาล
แรงระเบิดกวาดกระแทกทุกอย่างกลายเป็นผุยผง
ไม่มีเมฆรูปดอกเห็ดลอยฟุ้งหลังจากการระเบิดครั้งใหญ่
ไม่มีการปะทะต่อต้าน ไม่มีร่องรอยการหลบหนีจากใจกลางจุดระเบิด ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพลังเทพกวาดล้างหายไปไม่มีอะไรเหลือให้เห็น
“ทุกอย่างจบแล้ว” ร่างที่เหมือนเทพของบุรุษผู้สง่างามสูงยี่สิบเมตรของจ้าวภูผาผู้มีทักษะแฝงเร้นมุ่งมั่นอดทนยืนอยู่ในท่ามกลางมิติที่แตกทำลายมั่นคงเหมือนภูเขา
“น่าเบื่อ” มีเสียงที่ดูเหมือนดังมาจากห้วงลึกบาดาลจากสำนึกเทพที่แปลกประหลาด
“เทียบกับองค์หญิงประกายดาวที่ต้านทานอย่างเต็มกำลังนักรบระดับเทพคนใหม่ของบันไดสวรรค์นี้มีพลังแตกต่างกันมากแน่นอน ถ้ามีเวลาสักสองสามร้อยปีปล่อยให้นางได้เติบโตก้าวหน้าไปอีกอย่างนั้นในที่สุดผลการต่อสู้ก็คงแตกต่าง” เทพจ้าวภูผาไม่ได้ยินดีที่ชนะคนอื่น ตรงกันข้าม หน้าของเขาเคร่งขรึมเหมือนคนที่คิดหนัก
เขาเอาชนะจักรพรรดินีราตรีได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่ได้ดูแคลนศัตรู
แต่กลับยอมรับศักยภาพของศัตรู
ถ้าไม่ใช่เพราะเวลาจำกัด
เทพที่เพิ่งยกระดับขึ้นมาใหม่อาจเปล่งประกายได้เป็นล้านเท่า แต่น่าเสียดายที่ในตอนต้นนางก็ถูกจ้าวภูผาบีบบังคับเอาชนะได้ ทักษะพรสวรรค์ พลังเทพ ระยะเวลาฝึกฝนประสบการณ์ต่อสู้ ฯลฯ ยังไม่ทันได้มี การฆ่านักสู้ชั้นเทพมือใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรสบายใจและมือใหม่ที่ถูกฆ่า ยังไม่ทันได้แสดงฝีมือเต็มที่ ศักยภาพของนางไม่ทันได้เปิดเผยเต็มที่พลังยังคงถูกซ่อนไว้ครึ่งหนึ่ง ทำให้ผู้ชนะอย่างจ้าวภูผารู้สึกหวั่นเกรงในใจ
“น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถฆ่าผู้นิทราในมิติกระจกได้มิฉะนั้นการต่อต้านของหอทงเทียนจะมีไม่มากจนต้องกังวล”เสียงดังขึ้นขณะที่จ้าวบาดาลมาถึงพร้อมกับพูดประโยคใหม่
“เจ้าผู้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการฆ่าไปแล้วโอกาสที่พลาดไปแล้ว จะไม่มีวันมาถึงตอนนี้ ทุกคนได้รับบทสรุปมาก่อนแล้ว ถ้าเจ้าสามารถบังคับนางให้ออกมาจากมิติกระจกเหมือนอย่างที่เพิ่งทำไปนี้นั่นจะเป็นเรื่องที่คุ้มค่ามาก จ้าวภูผาส่ายหัว เขารู้สึกว่าเขามีสองแนวคิดที่สมบูรณ์กว่าการฆ่าเทพมือใหม่จากบันไดสวรรค์ และการฆ่าคนที่มีพลังกฎสวรรค์สมบูรณ์มีพลังระดับสูงและมีปณิธานเทพราชันย์ของระดับเทพเป็นอะไรที่แตกต่างกันมาก
“แน่นอนว่าถ้าไม่มีเทียนอี้คอยจับตามองในความมืดบางทีคนผู้นั้นอาจตื่นจากฝันก็ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดคนผู้นั้นตามลำพัง” แม้แต่เสียงของคนเผ่าบาดาลก็ยังเห็นด้วยกับความจริงข้อนี้
“ปล่อยให้คนผู้นั้นพินาศไปพร้อมกับหอทงเทียนช้าๆ!” จ้าวภูผาถอนหายใจยาว
“การล่มสลายของหอทงเทียนเป็นข้อสรุปที่กำหนดไว้นานแล้วไม่ว่าใครมาก็ไม่สามารถกอบกู้สถานการณ์ได้รวมทั้งอัจฉริยะปาฏิหาริย์ที่ชื่อเย่ว์ไตตันก็ไม่ยกเว้น” จ้าวภูผารู้สึกว่าสถานการณ์รวมได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
“เย่ว์ไตตัน, ข้าต้องการพบบุรุษหนุ่มผู้นี้จริงๆ!” ในความเป็นจริงจ้าวภูผาให้ความสนใจเย่ว์หยางเพียงเล็กน้อย ทั้งหมดเท่าที่กังวลก็คือประสบการณ์การเติบโตของเย่ว์หยาง บุรุษหนุ่มผู้นี้มีความสามารถที่ไม่ธรรมดาและมีศักยภาพมากกว่าจักรพรรดิอวี้ในยุคก่อนอย่างเหลือเชื่อ ทวีปมังกรทะยานไม่ได้ไร้อัจฉริยะแต่ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อเทียบกับเย่ว์ไตตันผู้นี้ ล้วนถูกบดบังรัศมีทั้งสิ้น
“ในช่วงวิกฤตที่หนักหนานี้เย่ว์ไตตันหายไปตัวไป...” เสียงของจ้าวบาดาลดังขึ้นด้วยความสงสัยว่าอาจมีอุบายฉ้อโกง
“ต่อให้ออกมาก็ตาม ก็ยังเป็นเพียงเทพมือใหม่ยังไม่มีอะไรน่ากลัว ข้ากังวลถึงนางพญาผู้พิชิตที่หนุนหลังเขาอยู่ ถ้าเฟ่ยเหวินหลีฟื้นฟูพลังต้องมีการต่อสู้ที่ดุเดือดเป็นแน่ ถ้าเจ้าพบกับนางพญาผู้พิชิตนี้ถ้าไม่พ่ายแพ้ก็ถูกกำจัดไปเลย” จ้าวภูผารู้สึกว่าปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือนางพญาเฟ่ยเหวินหลีไม่เคยปรากฏหรือออกมานอกผนึก ถ้านางพญาผู้พิชิตแดนสวรรค์นี้เอาชนะผนึกและปลดปล่อยตนเองเป็นอิสระจะทำให้เกิดมรสุมโลหิตปกคลุมทั้งท้องฟ้าและดวงอาทิตย์
“ไม่สำคัญข้าคือราชันย์ไร้พ่าย ตราบเท่าที่ได้หัวเราะเป็นคนสุดท้ายเป็นพอ”จ้าวบาดาลสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“ราชันย์ไร้ใจ รออยู่นานแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นดูเหมือนว่าสตรีนักรบบันไดสวรรค์ชื่อเย่อวี่ถูกทำลายไปแล้วเราจะไปป้ายต่อไปได้หรือยัง?” จ้าวภูผาถามราชันย์ไร้ใจซึ่งเอาแต่นิ่งไม่พูดอะไร
แม้ว่าราชันย์ไร้ใจจะไม่ค่อยพูดแต่เขาก็เป็นเจ้านาย
การตัดสินใจใดๆ
จำเป็นต้องให้ราชันย์ไร้ใจพยักหน้าเสียก่อน มิฉะนั้นต่อให้นักสู้ระดับเทพอย่างจ้าวภูผาและราชันย์ไร้พ่ายต้องการทำอย่างอื่นย่อมเป็นไปไม่ได้
ราชันย์ไร้ใจยังคงไม่พูด ยังคงนิ่งอยู่ในท่ามกลางรัศมีทอง
เงียบ
บางครั้งก็หมายถึงการยอมรับ
แต่บางครั้งก็ตรงกันข้าม หมายถึงปฏิเสธ
ในเมื่อเจ้านายคนนี้ยังไม่พูดจ้าวภูผาและราชันย์ไร้ใจก็ต้องรอต่อไป ช่องมิติที่แตกเพราะกฎสวรรค์ค่อยๆปิดตัวลง แต่เขาเชื่อว่าในเวลาอีกสิบวันยังไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างสมบูรณ์ พลังโจมตีของจ้าวภูผาสร้างแรงทำลายล้างในอากาศมากเกินไป
มิติที่แตกกระจายเริ่มกลับมารวมกันก่อกำเนิดจากชิ้นเล็กๆ
ในชายขอบพื้นที่ยังไม่ปิดตัวลงมีประกายไฟฟ้านับไม่ถ้วนเริ่มรวมกลุ่มพร้อมๆ กันกระพริบถี่หนาแน่น มีพลังดูดกลืนแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนกลืนกินพลังงานและซ่อมแซมพื้นที่อย่างบ้าคลั่ง
แม้ว่าภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนแต่สำหรับจ้าวภูผาและราชันย์ไร้พ่าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้าไม่มีอะไรพิเศษทำไมราชันย์ไร้ใจจึงยืนกรานที่จะอยู่ตรงนี้ต่อและไม่ไปเป้าหมายต่อไป เขามีเป้าหมายอะไร? เขาคิดว่านักรบหญิงบันไดสวรรค์ชื่อเย่อวี่เทพมือใหม่ยังสามารถฟื้นคืนชีพได้ภายใต้ท้องฟ้าสดใสและเทพเจ้าได้หรือ?
ไม่ต้องคำนึงถึงการมีอยู่ของท้องฟ้าที่กระจ่างหรือดวงอาทิตย์ที่แผดเผา พวกเขาสามารถข่มทักษะแฝงเร้นของนักรบหญิงจากเผ่ารัตติกาลจากบันไดสวรรค์ได้
ไม่มีราตรีจะไปเอาแสงดาวมาจากที่ใด?
ตราบเท่าที่ยังมีดวงอาทิตย์แสงดาวจะโผล่ออกมาจากฟ้าได้อย่างไร?
สตรีเผ่ารัตติกาลชื่อเย่อวี่ตายแล้วและจ้าวภูผามั่นใจในเรื่องนี้ เพราะพลังสังหารของเขาเหนือกว่านักรบเทพใหม่ผู้นี้ถึงสิบเท่าได้ใช้สังหารสตรีเผ่ารัตติกาลไปแล้ว ต่อให้นางมีพรสวรรค์และศักยภาพสูงแต่เป็นไปไม่ได้ที่จะรับพลังโจมตีระดับนี้ได้
ภายใต้พลังเทพที่ทรงพลัง อย่าว่าแต่ดวงดาวเลยต่อให้เป็นโลกและสวรรค์ก็แตกสลายได้มิติระเบิดกระจายเป็นล้านๆ เสี่ยง
โลกทั้งหมดยังพินาศได้
แล้วร่างมนุษย์จะรอดอยู่ได้อย่างไร?
เขาไม่รู้ว่าต้องรอนานเพียงไหนแต่เขารอเหตุเปลี่ยนแปลงสุดท้ายอย่างใจเย็น
ประกายดาวเล็กๆเหมือนเป็นการรู้แจ้งผุดขึ้นเหมือนท้องฟ้ายามรุ่งสางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ดวงตาของจ้าวภูผาเบิกค้างมองดูภาพที่น่าเหลือเชื่อปรากฏอยู่ต่อหน้าของเขา ถ้าเขาไม่เห็นกับตาตนเองเขาคงไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง ดาวที่กระจัดกระจายสองหรือสามดวงทั้งที่สว่างและมืดเริ่มฉายประกายในท้องฟ้าอย่างเงียบๆมากขึ้นทุกที และเริ่มหนาแน่นจนรอยแตกมิติมิอาจปิดลงได้ท้องฟ้ามีกลุ่มดาวกลับมาเป็นกลุ่มดาวหมีใหญ่และกลุ่มดาววัว.... ถ้ามองดูกลุ่มดาวดีๆนอกจากกลุ่มดาวสิบสองนักษัตรแล้วยังมีกลุ่มดาวอื่นผุดขึ้นมาแปดสิบแปดกลุ่ม
ส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือเหมือนกับมีพู่กันวิเศษคอยสะบัดแปรง
กำหนดจังหวะที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
และจากนั้น
ความสำเร็จที่จิตรกรได้แต่ทอดถอนใจหวังจะมีวาสนาติดปีกโบยบินแหวกว่ายร่าเริงอยู่ในทางช้างเผือกทว่าทำไม่ได้
ในท้องฟ้าที่มีดวงดาวดารดาษเหมือนกับหยดน้ำตาหญิงงามปรากฏวูบแล้วหายไป จากนั้นก็ปรากฏเป็นสีเงินสุกใสในช่องว่างมิติปรากฏกลุ่มดาวหางจางๆ
ม่านตาสีทองทั้งสองของจ้าวภูผาขยายออกเป็นสิบเท่า
เพราะเขาพบว่านักรบหญิงบันไดสวรรค์ที่เขายืนยันว่าทำลายและตายไปแล้วมายืนอยู่ต่อหน้าเขาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บไม่ว่าจะเป็นพลังเทพ เจตจำนงล้วนแต่เหนือกว่าเมื่อก่อนควบคุมพลังกฎสวรรค์ได้สมบูรณ์ขึ้น จากเดิมที่ควบคุมได้อย่างจำกัด นางค่อยๆทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้นเทียบเท่ากับนักรบระดับเทพที่ฝึกมาเป็นหมื่นปีมีศักยภาพในการต่อสู้สูงขึ้น
“ทำไมกัน?” จ้าวภูผาอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ ด้วยสติปัญญาและประสบการณ์ของเขาเขาไม่เข้าใจสิ่งมีชีวิตที่น่าเหลือเชื่อนี้
“แสงตะวันไม่อาจทำลายดวงดาวได้ดวงอาทิตย์ยามกลางวันไม่สามารถกำจัดท้องฟ้ายามราตรี ทิวา-ราตรีหมุนเวียนสลับผลัดเปลี่ยนเป็นอาจิณไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคงอยู่ตลอดกาลและไม่มีทางจะกลืนอีกฝ่ายหนึ่ง” ราชันย์ไร้ใจที่เงียบมานานเอ่ยปากพูดขึ้นในที่สุดเสียงของเขาเป็นเหมือนเสียงสะท้อนก้องในหุบเขานิรันดรเหมือนห้วงทะเลลึกอันเงียบสงบจู่ๆ กลับมีภูเขาไฟระเบิดสั่นสะท้านหัวใจมนุษย์ได้โดยตรง อย่างไรก็ตามคำพูดของเขาศักดิ์สิทธิ์และเป็นสัจธรรมเป็นความจริงที่ถูกต้องโดยไม่มีข้อสงสัยต่อให้เป็นศัตรูก็ยังอดดื่มด่ำฟังสำเนียงที่สะท้อนก้องในวิญญาณของเขาไม่ได้
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” จ้าวภูผาเข้าใจได้ในที่สุด
“เมื่ออาทิตย์อัสดงค์ชีวิตยามราตรีก็เริ่มขึ้น ไม่ว่าโลกจะรุ่งเรืองเพียงใดก็จะมีช่วงแห่งความรุ่งเรืองและเสื่อมถอย เมื่อตะวันสีทองลับฟ้า โคมไฟเปล่งแสงดวงดาวเปล่งประกายยามราตรีเต็มท้องฟ้านั่นคือยามค่ำคืนที่งดงามพิสุทธิ์บริสุทธิ์ที่สุด ถ้ามีภาษาเงียบ ใจที่ผุดผ่องย่อมมองเห็นธรรมชาติซึ่งก็คือการเคลื่อนไหวของสวรรค์...สาวน้อยแห่งเผ่ารัตติกาล ทักษะแฝงเร้นของเจ้ามองเห็นชีวิตได้ทั้งหมดข้าเกรงว่าองค์หญิงประกายดาวผู้มีพรสวรรค์งดงามผุดผ่องก็ยังด้อยกว่าเจ้าสามส่วน ผู้สืบทอดของชาวบันไดสวรรค์ที่โดดเด่นยอดเยี่ยมมีมากจริงๆ” ราชันย์ไร้ใจพูดจนจ้าวภูผาตกใจสะดุ้ง
ต้องทราบก่อนว่าราชันย์ไร้ใจไม่เอ่ยปากมาอย่างน้อยพันปีแล้ว
เขาไม่เคยเห็นคนที่ได้รับการยกย่องจากปากของราชันย์ไร้ใจมาก่อน!
มีแต่เพียงสตรีคนนี้ที่อยู่เบื้องหน้าเขา
นักรบสตรีเผ่ารัตติกาลแห่งบันไดสวรรค์นามว่าเย่อวี่ได้รับการชื่นชมจากราชันย์ไร้ใจ ถ้าราชันย์ไร้ใจพูดอย่างนั้นทักษะแฝงเร้นของเย่อวี่ต้องไม่ใช่แค่ทักษะฟ้าพิศวงกระมัง?
สามารถทำลายฟ้าพิศวงได้หรือไม่?
เคลื่อนย้ายตำแหน่งดวงดาวในท้องฟ้าอย่างลึกลับ
จากมุมมองนี้ภายใต้พลังเทพสูงส่งและพลังแสงสุริยะอันแรงกล้ายังยากที่จะหยุดแสงดาว...ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางยังเป็นนักสู้มือใหม่ที่เพิ่งย่างเข้าสู่ขอบเขตชั้นเทพ แต่กล้าท้าทายศัตรูที่มีพลังสุดแข็งแกร่งเผชิญอันตรายกับการถูกฆ่า แม้ดูเหมือนว่านางจะตายแต่ก็ยังกลับมาได้!