NH-ตอนที่ 47 ฉันแค่ทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
1 สัปดาห์ผ่านไปนับตั้งแต่ที่ ลุกซ์ หมกตัวอยู่แต่ในสวนฟิกาโร และเขายังคงทำธุรกิจกับพวกมดอยู่
แม้ว่ากิลด์นักผจญภัยจะประกาศว่าห้ามเข้าไปในสวนฟิกาโร แต่คนแคระที่ดื้อรั้นบางคนก็ยังคงแอบไปที่นั่นเพื่อฆ่ามอนสเตอร์และเก็บสมุนไพรรวมถึงวัตถุดิบอื่นๆ
เนื่องจากผู้คนที่มาเยี่ยมสถานที่แห่งนั้นลดลง จึงไม่มีการแข่งขันมากนักในเรื่องของการล่า มอนสเตอร์ และ หาวัตถุดิบ
สิ่งนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงได้ตัดสินใจเข้าไปในส่วนลึกของสวน ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของพวกเขา
“วิ่งเร็ว!”
คนแคระกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปสำรวจในส่วนลึกจนพบเข้ากับฝูงยุงที่ออกมาหากินในบริเวณนั้น
เสียงหึ่งๆ ของปีกได้ดังขึ้นขณะที่พวกมันพยายามปิดช่องว่างระหว่างคนแคระที่อุดมไปด้วยเลือด
ขณะที่พวกเขากำลังวิ่งหนี จู่ ๆ ผู้รักษาของปาร์ตี้ก็สะดุดรากพืชต้นหนึ่งซึ่งขวางทางเขา
“ช่วยด้วย!” ผู้รักษาร้องออกมา แต่สมาชิกปาร์ตี้ของเขามองเขาเพียงครั้งเดียวก่อนที่จะวิ่งหนีไป
“ไม่! ออกไปซะ!” ผู้รักษากรีดร้องออกมาขณะที่พวกยุงเจาะร่างกายของเขาและพยายามดูดเลือดออกจากร่างกายของเขา
เสียงกรีดร้องได้กระจายไปทั่วสวน ซึ่งทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม
เรนเจอร์ของปาร์ตี้ เด็กสาวผมน้ำตาล ได้อดทนต่อความเจ็บปวดที่ข้อเท้าของเธอในขณะที่เธอพยายามวิ่งด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่ในที่สุดเธอก็มาถึงขีดจำกัด
เธอฟุบหน้าลงบนพื้นขณะที่น้ำตาไหลออกมา เด็กสาวรู้ว่าชะตากรรมของเธอจะเป็นอย่างไร แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“ไม่ ฉันยังไม่อยากตาย!” หญิงสาวตะโกนออกมา “แม่จ๋า! ช่วยหนูด้วย!”
ในขณะนั้นเองที่ร่างกายของเธอถูกอะไรบางอย่างคว้าเอาไว้ สิ่งนี้ทำให้เธอกรีดร้องออกมาอย่างสุดกำลัง แต่เสียงกรีดร้องของเธอคงอยู่เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่มันจะหายไปโดยสิ้นเชิง
‘แม่งเอ้ย! พวกเราไม่ควรเข้ามาที่นี่!’ หัวหน้าปาร์ตี้ได้ก่นด่าในใจ ‘พวกเราควรจะอยู่ที่ชานเมืองเท่านั้น เป็นฉันที่โลภมากเกินไป!’
ไม่ว่าเขาจะสาปแช่งตัวเองมากแค่ไหน มันก็สายเกินไปแล้ว เสียงกรีดร้องได้ดังขึ้นอีกครั้งในสวนซึ่งทำให้ หัวหน้าปาร์ตี้คนนี้สั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว เขาได้ขอให้เพื่อนร่วมทีมของเขากระจายตัวออกไปเพื่อเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม เสียงกรีดร้องที่เขาเพิ่งได้ยินกลับดังขึ้นใกล้ตำแหน่งของเขา มันมีความหมายเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือ ฝูงมอนสเตอร์ที่หิวกระหาย กำลังตามรอยของเขามา
ดังนั้นเขาจึงได้ใช้ทุกอย่างที่มีและวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก แต่เขาก็เพิกเฉยพวกมัน จนทำให้ช่องว่างระหว่างเขากับพวกยุงเริ่มห่างกันมากยิ่งขึ้น
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เขาก็พบว่าเขาเป็น หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากปาร์ตี้ทั้งหมด 6 คน
_____
เด็กสาวคนแคระที่ข้อเท้าแพลงก่อนหน้านี้ ได้ห้อยอยู่ในอ้อมแขนของ เดียโบล อย่างไร้เรี่ยวแรง
เขาพบเธอที่กำลังร้องไห้ขณะที่เขากำลังสำรวจพื้นที่การระบาดของพวกยุง โดยพื้นฐานแล้วเป็นลุกซ์ที่สั่งให้เขาช่วยชีวิตเธอ รวมถึงสหายคนหนึ่งของเธอที่อยู่ใกล้ๆ
หลังจากวิ่งไปได้ไม่กี่นาที เดียโบล ก็เห็น นักรบโครงกระดูก อุ้มเด็กชายคนแคระที่หมดสติไว้ในอ้อมแขนของเขา
ทั้งสองได้มุ่งหน้าไปยังอาณานิคมของพวกมดแห่งหนึ่งที่กระจายอยู่รอบ ๆ สวนฟิกาโร เพื่อหลบซ่อนตัวจากฝูงยุงที่ยังคงตามล่าสมาชิกปาร์ตี้ของคนแคระกลุ่มนี้
แม้ว่าพวกเขาจะต้องการช่วยคนแคระให้มากขึ้น แต่พวกเขาก็มีกันแค่สองคนเท่านั้น และ สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็มีขีดจำกัด
หลังจากวิ่งไปในอุโมงค์ใต้ดินเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุด อันเดด ทั้งสองก็มาถึงถ้ำกว่างที่ ลุกซ์ กำลังรอพวกเขาอยู่
ต่างจากเด็กชายที่หมดสติ เรนเจอร์สาวได้ตื่นขึ้นและมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
หลังจากมาถึงถ้ำ เดียโบล ก็มอบ เรนเจอร์สาวให้กับ ลุกซ์ ในขณะที่ นักรบโครงกระดูกได้วางเด็กชายที่หมดสติลงกับพื้น
“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?” ลุกซ์กล่าวถาม
เรนเจอร์สาวพยักหน้า “แค่ข้อเท้าแพลงนิดหน่อย แต่ส่วนอื่นของฉันไม่เป็นไร ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้”
“ด้วยความยินดี” ลุกซ์ตอบกลับขณะที่วางเธอลงบนพื้นอย่างเบามือและรักษาอาการบาดเจ็บของเธอ
ฮาล์ฟเอลฟ์หนุ่มได้ถอดรองเท้าของเรนเจอร์สาวออกจากเท้าของเธออย่างช่ำชอง ก่อนที่จะหยิบยารักษาออกมาจากแหวนเก็บของ ของเขา จากนั้นเขาก็เทมันครึ่งหนึ่งลงไปบนข้อเท้าที่บวม ก่อนที่จะไปตรวจสอบอาการของคนแคระเด็กอีกคน
เรนเจอร์สาวเฝ้าดูลุกซ์ที่เอาใจใส่เพื่อของเธอ เธอรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก และ โล่งใจที่เธอสามารถรอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้มาได้ ถ้าเกิด เดียโบล ไม่มาช่วยเธอ บางทีเธออาจจะกลายเป็นเปลือกแห้งไปแล้ว และ คงจะไม่ได้พบแม่ของเธออีก
หลังจากจัดการเรื่องคนแคระเด็กทั้งสองคนแล้ว เดียโบล และ นักรบโครงกระดูก ก็ออกจากรังมดอีกครั้ง พวกเขาได้ไปมองหาสมาชิกปาร์ตี้คนอื่น ๆ ของเด็กสาวเพื่อดูว่าคนที่เหลือยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่
แม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้ว แต่ลุกซ์ก็จะสั่งให้พวกเขาทั้งสองนำศพของคนเหล่านี้กลับมา เพื่อที่พวกเขาจะได้ส่งศพเหล่านี้กลับไปที่หมู่บ้านลีฟ หลังจากนั้น ก็นำกลับไปที่โซไรอัส เพื่อทำการฝังศพอย่างเหมาะสม
ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป เดียโบล และ นักรบโครงกระดูก ก็กลับมาในที่สุด
เรนเจอร์สาว หน้าซีดเมื่อเห็นศพเพื่อนของเธอที่ไร้เลือด
เธอเอามือปิดหน้าและร้องไห้
ลุกซ์มองดูฉากนี้และถอนหายใจออกมา สวนฟิกาโรในปัจจุบันเป็นเขตห้ามเข้า แต่กลุ่มคนแคระเด็กเหล่านี้กลับคิดว่าพวกเขาแข็งแกร่งและฉลาดพอที่จะเอาชีวิตรอดได้
น่าเสียดายที่พวกเขาประเมินตัวเองสูงเกินไปจนนำมาสู่จุดจบที่น่าเศร้านี้
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เด็กชายที่หมดสติก็ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล สิ่งที่ตามมาก็คือเสียงกรีดร้องเมื่อเขาเห็นศพเพื่อนของเขา มันได้ใช้เวลาสักพักก่อนที่เขาจะสงบสติอารมณ์ลงและได้สติกลับมา
“พวกเธออยู่ที่นี่กันไปก่อนก็แล้วกัน” ลุกซ์กล่าวพูดกับคนแคระเด็กทั้งสองก่อนที่จะวางศพของสหายของพวกเขาไว้ในโลงศพสีดำของเขา
โลงศพสีดำสามารถเก็บสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงมนุษย์ที่เพิ่งตายไปได้ แต่ลุกซ์ไม่สามารถใช้ความสามารถหลักของมันได้ เพราะคุณสมบัติของเขายังไม่ถึง
อีกอย่างเขาก็ไม่อยากทำเช่นเดียวกัน ถ้าเขาเปลี่ยนคนแคระคนนี้ให้กลายเป็นอันเดด เขาแน่ใจว่าคนแคระทุกคนในหมู่บ้านลีฟจะเกลียดเขาอย่างแน่นอน เพราะงั้นแล้ว อย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องการให้คนเหล่านี้นำศพเพื่อนของเขากลับไปที่หมู่บ้านลีฟเพื่อให้เพื่อนของพวกเขานำศพกลับไปยังโลกโซไรอัสและทำพิธีฝังศพอย่างถูกต้อง
“ตอนนี้มีพวกยุงฝูงหนึ่งที่เคลื่อนไหวใกล้ทางออกของสวน” ลุกซ์ กล่าวพูดกับคนแคระทั้งสองที่ได้รับรายงานมาจากเดียโบล “พวกเราจะกลับไปที่หมู่บ้านหลังจากพวกมันตัดสินใจกลับไปที่รังแล้ว”
คนแคระทั้งสองทำได้เพียงผงกศีรษะขณะที่พวกเขานั่งกอดขาและจ้องมองไปที่ไฟเล็ก ๆ ที่ลุกซ์ก่อขึ้นเพื่อใช้ทำบาร์บีคิวเสียบไม้ที่ทำมาจากเนื้อกระต่ายเขา
“ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้” เด็กชายคนแคระได้กล่าวพูดขึ้น “ฉันชื่อเกล็น อายุ 13 ปี ฉันเป็นบุตรชายคนที่สามของวิสเคานต์ในจักรวรรดิดวอร์ฟแห่งเอวาริธ ฉันจะทำให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนความเมตตาของคุณ”
คนแคระสาวได้เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ ลุกซ์ ด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ เธอลืมที่จะแนะนำตัวเองกับ ฮาล์ฟเอลฟ์หนุ่มที่ช่วยชีวิตของเธอ
“ฉันชื่อเมแกน อายุ 14 ปี” เมแกนก้มศีรษะของเธอลง “ฉันเป็นเพียงคนธรรมดา แต่ฉันรู้สึกขอบคุณที่คุณช่วยชีวิตเอาไว้ ถึงแม้ว่าครอบครัวของฉันจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ถ้าเกิดมีทางใดทางหนึ่งที่ฉันสามารถตอบแทนคุณได้ ได้โปรดบอกมา ฉันจะทำให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนคุณ”
ลุกซ์ พยักหน้าขณะที่เขาแนะนำตัวเองกับคนแคระทั้งสองที่มองมาที่เขาด้วยสีหน้าที่ขอบคุณ
“ฉันชื่อ ลุกซ์” ลุกซ์กล่าวออกมา “ฉันไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนหรอกนะ เพราะฉันแค่ทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ฉันแน่ใจว่าถ้าเกิดพวกเธอทั้งคู่เป็นฉัน พวกเธอก็คงตัดสินใจทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน”
เกล็น และ เมแกน ก้มหน้าลง พวกเขารู้สึกละอายใจ เพราะในตอนนั้นพวกเขาคิดเพียงแต่เรื่องเอาชีวิตรอด โดยไม่สนว่าสหายของเขาจะตายหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงสมาชิกปาร์ตี้ชั่วคราวที่สร้างขึ้นจากความจำเป็น
ลุกซ์ ไม่สนว่าคนแคระทั้งสองกำลังคิดอะไรอยู่ เขาหยิบเนื้อเสียบไม้สองอันจากหลุมไฟและยื่นให้กับทั้งสองคน
“กินก่อนเถอะ” ลุกซ์ กล่าวออกมา “พวกเธอทั้งสองยังจำเป็นจะต้องใช้แรงเมื่อพวกเราออกจากที่นี่”
คนแคระทั้งสองรู้สึกขอบคุณลุกซ์สำหรับความเอื้ออาทรของเขาและกินบาร์บีคิวอย่างเงียบ ๆ
ฮาล์ฟเอลฟ์หนุ่ม กำลังจะให้มากขึ้นเมื่อหูที่บอบบางของเขาได้ยินเสียงหึ่ง ๆ ที่มาจากอุโมงค์แห่งหนึ่งที่นำมาสู่ถ้ำของพวกเขา
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของ ลุกซ์ คนแคระทั้งสองก็ขมวดคิ้ว พวกเขาไม่ได้ยินเสียงที่ฮาล์ฟเอลฟ์หนุ่มผมแดงได้ยิน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทราบว่าพวกยุงได้ค้นพบหนึ่งในทางเข้าที่ซ่อนอยู่ซึ่งนำไปสู่อาณานิคมใต้ดิน
“พวกเธอทั้งคู่อยู่ที่นี่ไปก่อน” ลุกซ์ กล่าวพูดขณะที่เขารีบวิ่งไปที่อุโมงค์แห่งหนึ่งเพื่อช่วยพวกมดต่อต้านผู้บุกรุก
ตอนนี้เขาและพวกมดเป็นพันธมิตรกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะให้ความช่วยเหลือยามที่พวกเขาต้องการ
เกล็น และ เมแกน ได้ชำเลืองมองหน้ากันก่อนที่จะพยักหน้า พวกเขาได้ลุกขึ้นและวิ่งตามผู้ช่วยชีวิตของเขาไปทันที แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าอะไรทำให้ ลุกซ์ มีสีหน้าวิตกกังวลแบบนั้น แต่พวกเขามั่นใจว่ามันไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน