บทที่ 5-6
บทที่ 5
นี่ลูกสาวของเธอเหรอ?
เมื่อเจ้าของอาคารเห็นถังซือซือ ทันใดนั้นเขาก็แสดงรอยยิ้มอันหื่นกระหายออกมาทันที
“หนูเป็นใครกัน? เธอคงเป็นลูกสาวคุณสินะ! นี่คุณมีลูกแล้วเหรอเนี่ย?”
“ถึงจะดูขี้เหร่ก็เถอะ แต่สัดส่วนไม่เลวเลยว่ะ! นี่นังหนู มาหาฉันซิ”
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยไอ้แก่ ถ้าขืนเข้ามาละก็…”
“โอ๊ย!”
เสียงร้องโอดโอยดังขึ้น ใบหน้าเจ้าของอาคารบวมเป่งขึ้นทันทีจากการถูกชกด้วยกำปั้นของถังซือซือ
“ไอ้เลว! ไอ้บ้ากาม! ไอ้ตัวน่ารังเกียจ! ไอ้สกปรก!” ถังซือซือหยิบไม้ช็อตยุงที่พื้นขึ้นมาแล้วฟาดใส่เจ้าของอาคารทันทีพร้อมกับพูดว่า “นี่แน่ะ ๆ ๆ” แล้วฟาดเขาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด จนศีรษะของเขาโยกไปทางซ้ายทีขวาที
เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ดูอ่อนแอไร้เดียงสาคนนี้ เธอทุบตีผู้ชายที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวเองตั้งสองร้อยปอนด์ได้ยังไง?! แล้วเสียงร้องตะโกนขอชีวิตอย่างสิ้นท่านี่มันอะไรกัน?!
“ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย!”
“แกมันชั่ว เอาแต่กลั่นแกล้งผู้หญิงสารพัด!”
“นี่แน่ะ ๆ ๆ!” ถังซือซือยังคงออกแรงฟาดเขาสุดกำลังต่อไป ทั้งยังดูเหมือนไม่มีท่าทีว่าจะยั้งมือเลย
ระหว่างที่เจ้าของอาคารถูกฟาดอยู่นั้น เขากลับเกิดความสงสัยขึ้นในใจ!
เด็กคนนี้... เอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน? ตอนนี้เขาถูกฟาดจนคิดอะไรไม่ออกและหาจังหวะสวนกลับไม่ได้เลย เจ้าของอาคารที่ดูน่าสมเพชถูกฟาดจนทรุดลงไปนอนอยู่กับพื้น เขาพยายามเอามือปิดป้องใบหน้าไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้กลายเป็นหมูหันในไม่กี่นาทีนี้!
มู่ซูเสียนยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลังพร้อมกับความตกตะลึงว่านี่คือ... คือลูกสาวของเธอจริงเหรอ?!
หญิงสาวคนนี้ใช่ซือซือเด็กขี้ขลาดคนก่อนจริง ๆ เหรอ? ทำไมคนที่อยู่ตรงหน้าถึงให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยเหมือนแต่ก่อน? ถึงอย่างนั้น รูปลักษณ์ของเธอกลับไม่ได้เปลี่ยนไปเลย มีแค่นิสัยของเธอเท่านั้นที่ไม่เหมือนเดิม รวมไปถึงแววตาที่แตกต่างออกไป ทั้งยังดูเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมากกว่าเมื่อก่อน!
หลังจากพยายามสังเกตอยู่นานกว่าสิบนาที จู่ ๆ ถังซือซือก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ควรจะมีอากาศเย็น แต่ไม่ใช่กับเธอ เธอมีเหงื่อทั่วทั้งตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอโกรธหรือรู้สึกเหนื่อยกันแน่
เจ้าของอาคารยังคงนอนอยู่บนพื้นเพราะถูกฟาดไม่หยุดไม่หย่อน ดวงตาของเขาเริ่มแข็งทื่อ แผลฟกช้ำเป็นรอยจ้ำดำเขียวเต็มไปทั่วร่าง พอเขาเงยหน้าจ้องมองไปที่ถังซือซือ กลับรู้สึกกลัวขึ้นมาจนพูดไม่ออก
สีหน้าท่าทางของถังซือซือเริ่มเย็นลง เธอยังคงฟาดต่อไปแต่ใช้แรงเบาลง เจ้าของอาคารกลัวเธอมากกว่าเดิมเสียอีก ได้แต่ยกมือขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง ก่อนจะก้มหน้าลงพร้อมกับร้องโอดโอย
ถังซือซือเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองเจ้าของอาคารเหมือนเขาเป็นแค่เศษกระดาษไร้ค่า!
เธอหันกลับมาแล้วทิ้งไม้ช็อตยุงลงพื้น จากนั้นรีบวิ่งเข้าไปปลอบมู่ซูเสียน
“ซือซือ ใช่ซือซือตัวจริงใช่ไหม? นี่ใช่... ใช่ซือซือลูกแม่ จริง ๆ นะ?”
“แม่ นี่หนูเอง ซือซือลูกแม่ไง ไม่ต้องกลัวนะคะ” ถังซือซือครุ่นคิดในใจเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะดูเหมือนว่าพฤติกรรมของเธอต้องไม่เหมือนกับเจ้าของร่างเดิม แถมยังทำให้มู่ซูเสียนสงสัยอีกด้วย
ถังซือซือไม่ลังเล เธอรีบเอาตัวเองเข้าไปสวมกอด มู่ซูเสียนเหมือนในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ก่อนลูบหลังของมู่ซูเสียนเบา ๆ แล้วค่อยพูดปลอบโยนซึ่งกันและกัน ทันใดนั้นหัวใจของถังซือซือก็เต้นเร็วขึ้น
“ซือซือลูกแม่ หนูโตขึ้นมากแล้ว” ลูกสาวกลับมาอยู่ในอ้อมแขนของเธอเหมือนแต่ก่อน ลมหายใจที่คุ้นเคยลอยเข้ามาแตะไปทั่วจมูก เธอเริ่มรู้สึกแน่ใจขึ้นมาทันทีว่าเด็กผู้หญิงคนนี้คือลูกสาวของตัวเองไม่ผิดแน่!
หนูโตขึ้นมากแล้ว! มิน่าเล่าหนูถึงดูกล้าหาญและเข้มแข็งกว่าแต่ก่อน!
มู่ซูเสียนมีความกังวลอยู่ในใจตลอดเวลา น้ำตาของเธอไหลออกมาโดยไม่ตั้งใจ ในขณะเดียวกัน เธอรู้สึกยินดีกับการเปลี่ยนแปลงของลูกสาว ทั้งยังรู้สึกได้ทันทีเลยว่าเธอต้องได้รับแรงกระตุ้นบางอย่าง ดูเหมือนว่าต่อจากนี้ตัวเธอเองก็ต้องกล้าหาญให้มากขึ้น!
“แม่คะ อย่ากลัวไปเลย ต่อจากนี้หนูจะปกป้องแม่เอง” ถังซือซือให้คำสัญญาด้วยความมั่นใจ
เจ้าของอาคารพยายามเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ แล้วกำลังจะกดโทรออก
ถังซือซือเหลือบไปเห็นพอดีแล้วจ้องมองเขาด้วยความเย็นชา เขารู้สึกถึงการจ้องมองของเธอจนไม่สามารถห้ามอาการสั่นกลัวของตัวเองได้ ทันใดนั้นมือของเขาที่กำลังกดโทรศัพท์ก็หยุดลงทันที
“คุณโทรหาตำรวจได้นะ แต่คุณคิดว่าถ้าตำรวจเห็นผู้ชายตัวใหญ่ขนาดนี้กับผู้หญิงดูท่าทางอ่อนแอสองคน พวกเขาจะเชื่อสิ่งที่คุณพูดจริง ๆ เหรอว่าฉันเป็นคนทำร้ายร่างกายคุณน่ะ พวกเขาจะเชื่อในสิ่งที่ฉันพูดเกี่ยวกับคุณต่างหาก ใช่-รึ-เปล่า-คะ?” ถังซือซือพูดเน้นคำด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
อย่างไรก็ตาม เธอไม่ต้องการให้แม่ของเธอดูไม่ดีในสายตาคนอื่น หลังจากนั้นเธอหันไปพูดกับเจ้าของอาคารด้วยเสียงดังว่า “ไปให้พ้นเลยนะไอ้แก่!” เจ้าของอาคารวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว เธอหันกลับมาบอกให้มู่ซูเสียนเก็บข้าวของภายในห้องให้หมด
“แม่ ไปกันเถอะ ที่นี่อยู่ไม่ได้แล้ว ไปอยู่ที่อื่นกันดีกว่า”
ถังซือซือบอกกับแม่ของเธอว่าเธอพร้อมจะดูแลกันและกันตลอดไป ซึ่งเธอเองก็วางแผนล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่าต้องทำอะไรต่อจากนี้
คฤหาสน์ซินหยวนของเซียวเฉินเยวียน
ภายในห้องรับรองขนาดใหญ่บนชั้นสอง
ซูเสวี่ยซงกำลังตรวจสอบและออกแบบแปลนบางอย่างให้กับเซียวเฉินเยวียน โดยตรวจสอบอย่างรอบคอบ
เซียวเฉินเยวียนนั่งมองแบบแปลนบนแล็บท็อปตรงหน้า แล้วพูดคุยกับหัวหน้าแผนกออกแบบด้วยสีหน้าเย็นชา
ซูเสวี่ยซงหัวหน้าแผนกออกแบบ นั่งอยู่ตรงข้ามกับแล็บท็อปด้วยสีหน้าไม่สู้ดี บางจังหวะเขาพยายามแอบเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขาอย่างช้า ๆ แม้แต่น้ำเสียงยังดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
กลางดึกคืนนั้น ประธานเซียวรู้สึกไม่พอใจกับการออกแบบแปลนของหัวหน้าแผนกออกแบบเป็นอย่างมาก ในเวลานี้คำพูดของเขาอาจยังดูเหมือนอยู่ในภาวะอารมณ์ปกติ แต่ความเป็นจริงแล้วคนรับใช้ทุกคนรู้ดีแก่ใจ ว่าท่าทีดังกล่าวคือคลื่นทะเลอันสงบนิ่งก่อนที่จะเกิดพายุลูกใหญ่
บทที่ 6
ฉันไม่ต้องการเช็คเงินล้าน
จู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือดังไปทั่วห้องรับรองขนาดใหญ่
“เสือหนึ่งตัว เสือสองตัว วิ่งกระโดดโลดเต้น...”
กู่ชวนซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างเซียวเฉินเยวียนรู้สึกตกใจมาก เขารีบล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที
ให้ตายเถอะ! ทำไมฉันถึงลืมปิดเสียงโทรศัพท์ได้เนี่ย?!
ลูกสาวฉันตั้งเสียงริงโทนไว้ได้ถูกเวลาชะมัด! อยู่ตั้งนานไม่มีใครโทร! หมดกันภาพลักษณ์อันเย็นชาของฉันที่พยายามรักษาไว้ต่อหน้าคุณผู้ชาย! ใครมันมาโทรในเวลาสำคัญแบบนี้...
“ฮัลโหล ใครเนี่ย? เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังไม่ว่างคุยด้วยหรอกนะ!”
หลังจากเซียวเฉินเยวียนได้ยินเสียงริงโทน เขาก็ส่งสายตาอันเฉียบคมมาทางนี้ทันที ทำให้กู่ชวนที่เห็นเข้าตัวสั่นไปด้วยความกลัวจนแทบอยากจะทุบโทรศัพท์ทิ้ง
กู่ชวนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งออกไปยังระเบียงห้องเพื่อรับโทรศัพท์
“คุณกู่ชวนใช่รึเปล่าคะ?”
เมื่อกู่ชวนได้ยินเสียงนั้น เขามึนงงอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะนึกใบหน้าของใครบางคนที่มีน้ำเสียงแบบนี้
ปรากฏว่าเป็นเสียงของเด็กสาวเมื่อตอนกลางวัน
“ฉันนี่แหละกู่ชวน มีอะไรเหรอ?”
คนอีกฝั่งของโทรศัพท์พูดออกมาไม่กี่ประโยค ทำให้หลังจากกู่ชวนได้ฟังก็แสดงท่าทางแปลกใจออกมา
ภายในห้องรับรอง
เซียวเฉินเยวียนปิดแล็บท็อปของตัวเอง
“ทะ ท่านครับ...” กู่ชวนพูดตะกุกตะกักด้วยความลังเล
เซียวเฉินเยวียนหันไปมองเขาอย่างช้า ๆ ก่อนจะโบกมือให้เขาพูดธุระต่อให้เสร็จ
“คุณถังบอกผมว่าจะขอยืม... หนึ่งพันหยวน เธอบอกต่อว่าต้องการ... จะ จ่ายค่าเช่า” กู่ชวนรู้สึกกังวลจนพูดไม่ค่อยออก กดดันมากจนทำให้เขาเกือบกัดลิ้นตัวเองเวลาพูด
เธอยังบอกอีกว่าไม่ต้องการเช็คเงินสดหนึ่งล้านนั่น แต่ตอนนี้ขอยืมสักหนึ่งพันหยวนได้รึเปล่า?
ไม่เข้าใจเจตนาของเธอเอาซะเลย...
“วันนี้นายเป็นคนไปส่งเธอ เธอพักอยู่ที่ไหน?”
“ย่านเมืองเก่าครับ” กู่ชวนรู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไม เซียวเฉินเยวียนถึงมาถามไถ่ถึงเรื่องนี้ เขาไม่กล้าพูดอะไรต่ออีกแต่ก็พยายามตอบอย่างตรงไปตรงมาที่สุด
“ไม่ใช่คนท้องถิ่นของเมืองนี้สินะ?”
“ไม่ใช่ครับ ผมสืบเรื่องของพวกเธอมาบ้างแล้ว ทำนองว่าแม่กับลูกสาวย้ายถิ่นฐานมาจากเมือง F เป็นครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว คนเป็นแม่ทำงานอยู่ในบริษัทแม่บ้านของเซียวเทียนอวี่ แต่ว่ากันว่าเขาติดค้างค่าจ้างเธอมาหลายเดือนแล้วครับ...” ระหว่างการรายงาน กู่ชวนพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้และพยายามอธิบายให้ชัดเจนมากที่สุด
ดวงตาของเซียวเฉินเยวียนขยับขึ้นลงเล็กน้อย ก่อนจะเท้ามือลงบนโต๊ะพลางครุ่นคิดเพื่อตัดสินใจอะไรบางอย่าง
ภายใต้แสงไฟสลัว ๆ บนถนนแถวย่านเมืองเก่า
ร่างผู้หญิงผอมบางดูเหมือนกำลังยืนรออย่างใจจดใจจ่อกับสิ่งที่ตัวเองร้องขอไป
เขาจะช่วยเราไหมนะ?
บรรยากาศชวนให้นึกถึงตอนอยู่ในคฤหาสน์ซินหยวนก่อนหน้านี้...
“ฉันไม่ต้องการเช็คเงินล้านนี้” ถังซือซือยังคงยืนยันอย่างมั่นใจด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็ง
“บอกผมเกี่ยวกับเงื่อนไขของคุณมาสิ?” เซียวเฉินเยวียนถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา โดยที่ท่าทางไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
ถังซือซือหลับตาลงแล้วเม้มริมฝีปากของเธอ ยืนสงบนิ่งสักครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาที่มั่นใจแล้วตอบกลับ
“ที่ฉันวิ่งเข้าไปขวางรถของคุณก็เพราะต้องการความช่วยเหลือ และคิดว่าคุณน่าจะช่วยพวกเราได้”
เธอรู้ว่าเจ้าของร่างเดิมประสบปัญหามากมาย ทั้งยังพยายามอย่างหนักเพื่อขจัดความยากลำบากให้ตัวเธอและแม่ แต่สุดท้าย สภาพแวดล้อมในเมืองหลวงนั้นเลวร้ายเกินไป มีแค่เซียวเฉินเยวียนเท่านั้นที่สามารถช่วยเธอได้อย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากถังซือซือพูดจบ ทุกคนรวมไปถึงกู่ชวนได้ฟังก็ขมวดคิ้วไปพร้อมกัน
พวกเขาได้รู้ความจริงกันแล้วว่า นี่คือความต้องการสูงสุดของเธอ!
แต่เพราะอยู่ต่อหน้าเซียวเฉินเยวียน จึงไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็นออกมา
“โอเค” ใบหน้าของเซียวเฉินเยวียนยังคงสงบนิ่งเช่นเคย ริมฝีปากอันเบาบางของเขาคายคำสองพยางค์ออกมาอย่างนุ่มนวล แต่คำตอบของเขานั้นทำให้ทุกคนรอบตัวต้องตกตะลึง
“กู่ชวน หลังจากนี้ให้เรียกเธอว่าคุณหนูถัง ถ้าเธอต้องการอะไรในภายภาคหน้า นายต้องหาและจัดเตรียมให้ รวมถึงช่วยเหลืออย่างเต็มที่”
ใบหน้าของกู่ชวนบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดขึ้นมาทันที จ้องมองใบหน้าถังซือซืออย่างไม่เชื่อสายตา แต่เขาก็ต้องยอมรับตามคำสั่งของเซียวเฉินเยวียน หยิบนามบัตรของตัวเองออกมาแล้วยื่นให้เธอ
ถังซือซือรับนามบัตรนั้นไว้ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์เมื่อเธอเกิดปัญหาเข้า
หลังจากนั้น แสงสว่างหนึ่งเรืองรองขึ้นจากมุมมืด เป็นแสงไฟจากรถเก๋งหรูหราสีเทาที่จอดอยู่ตรงปากซอย
ถังซือซือถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะเดียวกัน มู่ซูเสียนมีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด นี่คือเพื่อนที่ซือซือพูดถึงจริง ๆ เหรอ? ดูเผิน ๆ คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ลูกสาวของเธอไปเจอเพื่อนรวย ๆ แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ภายในรถ
เมื่อเห็นว่าถังซือซือยังอ้ำอึ้งไม่รู้จะไปที่ไหน กู่ชวนก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะหันมาบอกว่า
“ไปกันเถอะ คุณหนูถัง คุณผู้ชายหาที่อยู่ไว้ให้คุณแล้ว”
หืม? ถังซือซือประหลาดใจมากจนแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่
แผนเดิมของเธอคือแค่การขอยืมเงินหนึ่งพันหยวนเท่านั้น แล้วเอาไปเช่าบ้านหลังอื่น แต่เซียวเฉินเยวียนกลับ...
กู่ชวนดูใจร้อนมาก ถังซือซือรู้ว่าเขามีอคติต่อเธอ ดังนั้นเธอจึงรีบเรียกให้มู่ซูเสียนขึ้นรถ สัมภาระของพวกเธอไม่มากนัก จึงใช้เวลาไม่นานก็ขนขึ้นรถเสร็จ
ทันใดนั้นรถขับออกจากย่านเมืองเก่าอย่างรวดเร็ว แล้วมุ่งหน้าไปยังย่านใจกลางเมืองที่พลุกพล่าน
ใบหน้าของถังซือซือแสดงความประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
อะไรกันเนี่ย? พวกเราจะมีปัญญาเช่าบ้านใจกลางเมืองได้ยังไง? ราคาบ้านในละแวกนี้แพงจนน่าตกใจ ทำให้คู่แม่ลูกกังวลเพราะไม่สามารถจ่ายค่าเช่าที่แพงหูฉีกแบบนี้ได้
เธอคิดในใจว่ากู่ชวนต้องคิดจะทำอะไรบางอย่างแน่ ๆ! เพราะตอนนี้พวกเธอเป็นแค่คนยากไร้ ถึงแม้เดือนนี้พวกเขาจะให้ยืมเงินสักสองถึงสามพันหยวนก็ตาม แล้วต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนพวกเธอถึงจะใช้คืนได้หมด?
ผ่านไปไม่นาน รถขับมาจอดที่หน้าชุมชนหรูหราทันสมัยแห่งหนึ่ง
ใบหน้าของถังซือซือซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด เธอจ้องมอง กู่ชวนพร้อมกัดฟันแน่น นี่ต้องเป็นการแก้แค้นของตาลุงนี่แน่ ๆ!
“ไปกันเถอะครับ คุณหนูถัง เลขห้องของคุณคือ 802 อาคารที่สิบ” กู่ชวนรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าของถังซือซือซีดขาวเป็นไก่ต้ม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามดูแลเธอและยังคงมีท่าทีสุภาพเรียบร้อย
ถังซือซือกังวลใจจนเดินสะดุด ดึงมือของมู่ซูเสียนจนเสียหลักไปชนกู่ชวน
ชั้นแปด
กู่ชวนหยิบกุญแจแล้วเปิดประตูออกมา พวกเขาเห็นหน้าต่างขนาดใหญ่ที่ยาวตั้งแต่พื้นขึ้นไปจรดเพดาน ห้องโถงกว้างขวางมีบริเวณใช้สอยต่าง ๆ มากมาย ที่นี่เป็นอะพาร์ตเมนต์หรูหราที่มีการตกแต่งภายในอย่างประณีต มีสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น แถมยังมีห้องน้ำในตัวอีกด้วย