บทที่ 389-390
บทที่ 389
คนไร้มารยาทขวางโลกคนหนึ่ง
หลินอี้ปินไม่ยอมแพ้ ตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อเรียกให้ สวี่จิ้งชูหันกลับมา
จวี่จืออั๋งจึงหันกลับมาและพูดขึ้นว่า
“คุณหลินครับ ที่นี่คือที่สาธารณะ ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจคำ คำ นี้นะครับ”
หลังจากพูดจบ เขาและสวี่จิ้งชูก็ก้าวขึ้นรถ
ขณะที่หลินอี้ปินฟังอีกฝ่ายพูดกลับมา เขาก็รู้สึกอารมณ์เสียในทันที
ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเอ๊ย...
เมื่อเห็นจวี่จืออั๋งสตาร์ทรถ หลินอี้ปินไม่ลังเลใจ รีบวิ่งไปขึ้นรถของตัวเอง หลังจากนั้น ขณะที่จวี่จืออั๋งกำลังขับรถไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เมื่อเขาเห็นรถของหลินอี้ปินขับตามมาจากกระจกมองหลังก็ขมวดคิ้วทันที
แต่ไม่มีทางเลือก เพราะเขาได้โทรจองร้านอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ต่อให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จะเปลี่ยนร้านอาหารก็ไม่ทันซะแล้ว
หลินอี้ปิน คุณต้องการอะไรกันแน่? ไม่ใช่ว่าคุณคบอยู่กับดาราสาวคนนั้นหรอกเหรอ แล้วนี่คุณเลิกกับซ่งเนี่ยนหยานรึยัง?
เขานึกสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหลินอี้ปินถึงกลับมาตามตอแยสวี่จิ้งชู ทั้งที่วันนี้เขาควรได้ทานมื้อเย็นอย่างสงบกับสวี่จิ้งชูแท้ ๆ แต่หลินอี้ปินกลับมาทำลายบรรยากาศลงซะได้
ร้านอาหารตะวันตกระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่งในเมืองหลวง
จวี่จืออั๋งและสวี่จิ้งชูเดินตามพนักงานต้อนรับ มายังโต๊ะที่เขาโทรจองไว้
โดยโต๊ะรอบข้างพวกเขานั้น
เต็มไปด้วยคู่รักนั่งทานอาหารด้วยกันอย่างหวานชื่น บางเวลาก็มีเสียงหวาน ๆ จากคู่รักดังแว่วมา ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งแปลกหน้าเดินตามเข้ามานั่งโต๊ะของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง
หนุ่มสาวทั้งสองต่างมองหน้ากัน ก่อนหันกลับมามองชายหนุ่มอีกคนที่ดูเหมือนไม่ได้ถูกรับเชิญให้มาด้วยกัน
พนักงานต้อนรับจึงรีบพูดกับหลินอี้ปินที่วิสาสะเดินเข้ามานั่งโดยไม่ได้รับอนุญาตว่า
“คุณครับ! คุณ! โต๊ะนี้เป็นของแขกทั้งสอง ไม่ทราบว่าท่านได้จองไว้หรือเปล่าครับ? ถ้าไม่ โปรดรอด้านนอกก่อนครับ”
หนุ่มสาวทั้งสองมองหน้าเขาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็แอบหวังให้เขาลุกเดินจากไป
หลินอี้ปินยิ้มให้พนักงานต้อนรับแล้วมองไปยังหนุ่มสาวทั้งสองก่อนพูดว่า
“พอดีเรารู้จักกันครับ”
พนักงานต้อนรับมองไปที่หลินอี้ปินและหนุ่มสาวทั้งสอง แม้เขาจะรู้สึกว่าทั้งสามคนดูเหมือนไม่ได้มาด้วยกันเลย แต่หลินอี้ปินตอบกลับมาแบบนั้น เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก จึงกล่าวขอโทษและเดินจากไป
ทำให้หนุ่มสาวทั้งสองตกตะลึงมาก
ชายหนุ่ม “ที่รัก คุณรู้จักผู้ชายคนนี้ด้วยเหรอ” น้ำเสียงของเขาดูไม่พอใจเท่าไหร่
หญิงสาวหันมาตอบว่า “ที่รักคะ อย่าไปสนใจอะไรไร้สาระแบบนี้เลย! คุณก็รู้ว่าฉันไม่รู้จักคนแบบนี้แน่ ๆ”
ชายหนุ่มได้ฟังก็คาดเดาว่า ชายหนุ่มอีกคนที่ดูไร้มารยาทคนนี้คงมาเพื่อสร้างปัญหาอะไรสักอย่าง
แต่หลินอี้ปินไม่สนใจทั้งสอง หลังจากนั่งลง เขายังคงแอบมองสวี่จิ้งชูและจวี่จืออั๋งเป็นครั้งคราว ท่ามกลางสายตาของความไม่พอใจของหนุ่มสาวทั้งสองที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“คุณครับ โต๊ะนี้เราสองคนโทรมาจองไว้นานแล้ว คุณช่วยออกไปนั่งที่อื่นได้ไหมครับ?”
ชายหนุ่มทนไม่ไหว จึงพยายามหาทางให้หลินอี้ปินลุกออกไป แต่ยังคงน้ำเสียงสุภาพ
นี่มันเรื่องบ้าอะไร? เราสองคนวางแผนมาทานมื้อเย็นสุดหรูตั้งนาน วางแผนมาหลายวันแล้วด้วย แล้วเจ้าคนไร้มารยาทขวางโลกคนนี้โผล่มาจากไหนกัน?
เมื่อหลินอี้ปินได้ยินคำร้องขอจากอีกฝ่าย จึงค่อย ๆ หันหน้ากลับมาแล้วพูดกับชายหนุ่มว่า
“ถึงยังไงโต๊ะของที่นี่ก็นั่งได้ตั้งสามถึงสี่คน และพวกคุณก็มีกันแค่สองคนเอง ผมก็เลยมาช่วยนั่งให้มันครบ ๆ ไงล่ะ พวกคุณมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”
หญิงสาวทนไม่ไหวถึงขีดสุด
“ไม่ได้ค่ะ ตอนนี้คุณกำลังรบกวนเวลาส่วนตัวของพวกเราอยู่”
หลินอี้ปินจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงกวนประสาทออกไปว่า
“แปลกจัง แปลกจัง ผมแค่นั่งทานอาหารที่นี่ ไม่ได้รบกวนอะไรพวกคุณซะหน่อย ไม่มีการสัมผัสทางร่างกายหรือสบตาอะไรเลยนะครับ และก็ไม่ได้พูดคุยกันมากกว่านี้ด้วย อย่างนี้จะมากล่าวหาว่าผมมารบกวนพวกคุณได้ยังไงครับ?”
เมื่อทั้งสองเห็นว่าหลินอี้ปินหาข้ออ้างได้อย่างไหลลื่นถึงขนาดนี้ พวกเขาจึงได้แต่นั่งนิ่งข่มความโกรธเอาไว้
“ขออนุญาตเสิร์ฟครับ นี่เป็นสเต็กที่คุณลูกค้าสั่งไว้ ทานให้อร่อยนะครับ”
บทที่ 390
ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าโง่
พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับสเต็กหนึ่งจาน แล้วพูดกับหนุ่มสาวทั้งสอง
ขณะที่ทั้งสองไม่สนใจหลินอี้ปินและกำลังจะเพลิดเพลินกับสเต็ก ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะใช้ส้อมจิ้มลงไป ด้วยสายตาอันฉับไวของหลินอี้ปิน เขาหยิบส้อมตรงหน้าแล้วแทงลงบนเนื้อสเต็ก อย่างรวดเร็ว
“คุณ...” ทั้งสองโกรธมากจนแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมา เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไร้มารยาทคนนี้ นอกจากจะแย่งที่นั่งของคนอื่นอย่างไม่สนใจใคร ยังกล้าทำอะไรที่เลวร้ายมากกว่านั้น? ซึ่งพวกเขารู้สึกไม่พอใจมาก ๆ!
“คุณครับ ถ้าคุณรบกวนกันถึงขนาดนี้ เราคงต้องโทรแจ้งตำรวจแล้ว! คุณคงอยากกินข้าวในคุกมากสินะ?!” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
ขณะเดียวกันหลินอี้ปินบรรจงหั่นสเต็กออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ อย่างช้า ๆ เพื่อลิ้มรสของมันก่อนพูดขึ้นว่า
“สเต็กชิ้นนี้รสชาติดีมากนะครับ”
หลังจากนั้น เขาสังเกตปฏิกิริยาของหนุ่มสาวทั้งสองอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนก้มหน้าลงแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างไม่เร่งรีบ เขาดึงกระเป๋าสตางค์แอร์แม็สวางบนโต๊ะแล้วพูดว่า
“พอสำหรับค่าสเต็กรึยังครับ? ผมให้มากกว่านี้ได้นะ”
“นี่คุณ...” ชายหนุ่มก้มดูกระเป๋าสตางค์แอร์แม็สราคาแพงบนโต๊ะ ก่อนชี้หน้าหลินอี้ปิน แล้วแสดงสีหน้าโกรธจัดจนพูดอะไรไม่ออก
หญิงสาวข้าง ๆ รู้สึกทนไม่ไหวจริง ๆ จึงจับมือชายหนุ่มและบอกว่า
“ที่รักคะ เราอย่าไปมัวเสียเวลากับคนไร้มารยาทแบบนี้เลย ไปกันเถอะค่ะ”
หลังจากพูดจบ ทั้งสองก็พากันเดินจากไป
เมื่อพวกเขาเดินออกจากประตู ชายหนุ่มบ่นขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “สมัยนี้ยังมีคนแบบนี้อยู่อีกเหรอเนี่ย? ทำนิสัยได้น่ารังเกียจมาก!”
หญิงสาวรีบพูดปลอบว่า “ที่รักคะ แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่เราไม่ต้องจ่ายค่าอาหารนั่น?”
ชายหนุ่มได้ฟังก็เข้าใจในทันที ใช่แล้ว พวกเขายังไม่ได้ทานสเต็กชิ้นนั้น แปลว่าคนที่ต้องจ่ายบิลค่าอาหารนี้คือหลินอี้ปิน
ทั้งสองจึงเดินจากไปโดยไม่คิดอะไรมาก
ภายในร้านอาหารตะวันตก
หลินอี้ปินเพลิดเพลินกับสเต็กชิ้นใหญ่บนโต๊ะ เขาหั่น สเต็กทานอย่างมีความสุขโดยเหลือบมองสวี่จิ้งชูเป็นครั้งคราว
ทางสวี่จิ้งชูก็คอยสังเกตหลินอี้ปินตั้งแต่ตอนที่เขาปรากฏตัวในร้านอาหารแห่งนี้เหมือนกัน เพราะเธอถูกเขาจ้องมาด้วยสายตาอันร้อนแรง ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ส่วนจวี่จืออั๋งเองก็คอยระมัดระวังคำพูดและท่าทีอยู่เสมอ
นอกจากเรื่องสวี่จิ้งชูแล้ว จวี่จืออั๋งก็ต้องการเอาชนะ หลินอี้ปินเหมือนกัน
ไม่คิดเลยว่าเขาจะบ้าดีเดือดได้ขนาดนี้!
อดทน อดทนไว้ ต่อหน้าจิ้งชู ฉันจะหยาบคายต่อหน้าเธอไม่ได้
ดังนั้นจวี่จืออั๋งจึงพยายามทำตัวสุภาพและอ่อนหวานที่สุด และคิดหัวข้อพูดคุยกับสวี่จิ้งชู เพื่อหวังทำแต้มสูงในคืนนี้ โดยเขานึกขึ้นได้ว่าสวี่จิ้งชูอาจชอบเรื่องตลกก็ได้
“จิ้งชู รู้ไหมว่าทำไมน้ำทะเลถึงเป็นสีน้ำเงิน?”
จวี่จืออั๋งยังไม่ลืมระมัดระวัง ดังนั้นเขาจึงถามด้วยเสียงเบา ๆ เพื่อให้สวี่จิ้งชูได้ยินคนเดียว โดยไม่ให้หลินอี้ปินที่นั่งอยู่ ข้าง ๆ ได้ยินพวกเขาคุยกัน
สวี่จิ้งชูส่ายหัวแล้วตอบว่า “ไม่รู้ค่ะ”
จู่ ๆ คำตอบของมุกตลกนี้ก็ดังขึ้นจากโต๊ะข้าง ๆ โดยไม่คาดคิด
“เพราะปลาในทะเลมักจะโผล่หัวขึ้นมาพูดว่า ‘บลู’ (Blue) และ ‘บลู’ (Blue) ตอนที่พวกมันขึ้นมาหายใจ”
จวี่จืออั๋ง “...” หลินอี้ปิน ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าโง่หรอกนะ ให้ตายเถอะ การได้ยินของคุณดีเกินไปแล้ว!
สวี่จิ้งชูรีบก้มหน้าดื่มน้ำ แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อหลินอี้ปินเห็นการแสดงออกอย่างหน้าแตกของจวี่จืออั๋ง เขาก็รู้สึกขำขันมาก ยิ่งทำให้สเต็กอร่อยมากขึ้นไปอีก
ซึ่งจวี่จืออั๋งได้เตรียมเรื่องตลกและมุกตลกไว้มากมาย แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากพูดมันออกมาแม้แต่มุกเดียว
ในเวลานี้ พนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามาที่โต๊ะของจวี่จืออั๋ง
“สปาเกตตีชีส ฟีแลมีญง* ฟัวกราส์**... อาหารของลูกค้าทั้งสองพร้อมแล้วครับ โปรดทานให้อร่อยครับ”
*ฟีแลมีญง = สเต็กสันในวัว
**ฟัวกราส์ = สเต็กตับห่าน
หลินอี้ปินเหลือบมองจานบนโต๊ะทั้งสอง ก่อนกวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟเพื่อสั่งอาหารเพิ่ม