บทที่ 379-380
บทที่ 379
เด็กผู้ชายไร้เดียงสาคนหนึ่ง
แม่บ้านลังเลอีกครั้งหนึ่ง ก่อนชี้นิ้วออกไปที่สนามหญ้าหน้าบ้าน แล้วพูดว่า “อยู่ที่เจ้าพุดดิ้งค่ะ...”
ยังไม่ทันที่แม่บ้านจะพูดต่อ หลินอี้ปินก็วิ่งจากไปราวกับสายลมกระโชกแรง อย่างกับหายตัวไปในพริบตา ทิ้งให้เธอยืนนิ่งและตกใจจนตาค้างอยู่อย่างนั้น
ในไม่ช้าก็มีเสียงสุนัขเห่าดังไปทั่วสนามหญ้า
ขณะที่หลินจือฮุ่ยกำลังดื่มชา เธอก็ตกใจมากเมื่อได้ยินเสียงสุนัขเห่า
“เกิดอะไรขึ้นกับพุดดิ้งน่ะ? มีขโมยเหรอ?”
พุดดิ้งเป็นสุนัขพันธุ์ซามอยด์แท้ไม่มีลูกผสม ครอบครัวของพวกเขาเลี้ยงดูสุนัขตัวนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งมันเป็นสุนัขที่เชื่อฟังและฉลาดมาก ๆ
แม้แต่ติงอวี้หรงก็วิ่งมาดูสถานการณ์ด้วยเช่นกัน
เมื่อทั้งสองมาถึงที่เกิดเหตุ พวกเธอก็ตกตะลึงมาก ๆ
ปรากฏว่าหลินอี้ปินกำลังดึงผ้าพันคอบนลำคอของเจ้าพุดดิ้งอย่างดุเดือด ราวกับว่าเขากำลังห้ำหั่นกับสัตว์ดุร้าย
แต่ดูเหมือนว่าเจ้าพุดดิ้งจะชอบผ้าพันคอผืนนี้มาก จึงไม่เต็มใจให้หลินอี้ปินเอาออก แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้สุนัขตัวนี้เช่นกัน จึงอ้าปากงับปลายผ้าพันคอในทันที
กลายเป็นภาพหนึ่งคนหนึ่งสุนัขกำลังแย่งสิ่งของกัน ซึ่งดูน่าเวทนาไม่น้อย
“คืนให้ฉัน!” หลินอี้ปินขู่เจ้าพุดดิ้งด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย
แต่เจ้าพุดดิ้งไม่ยอมง่าย ๆ ดังนั้นศึกชิงผ้าพันคอยังคงดำเนินต่อไป รวมถึงสภาพดินรอบข้างที่มีแต่รอยเท้าทั้งสองฝ่ายเต็มไปหมด จนโคลนบนพื้นเลอะเทอะไปทั้งตัว
ติงอวี้หรง “...”
หลินจือฮุ่ย “...”
ทันใดนั้นเองหลินจือฮุ่ยรู้สึกอับอายมาก ที่เพิ่งรู้ว่ามีพี่ชายเล่นเป็นเด็กไร้เดียงสาขนาดนี้
ติงอวี้หรง “จะหาเรื่องให้หนักใจไปถึงไหน ทำไมจู่ ๆ พี่ชายของลูกถึงไปแย่งผ้าพันคอเจ้าพุดดิ้งล่ะ? เขา... เขาสับสนเผ่าพันธ์ุรึไงเนี่ย!?”
ไม่นานหลินจือฮุ่ยก็นึกออก ขณะที่ติงอวี้หรงแสดงสีหน้ากลุ้มใจ
หลินจือฮุ่ยจึงเข้าไปกระซิบแม่ของเธอว่า “แม่คะ หนูรู้แล้วล่ะ เหตุผลที่พี่ชายไปกัดกับเจ้าพุดดิ้ง ก็เพราะพี่จิ้งชูเป็นคนถักผ้าพันคอให้พี่ชายค่ะ”
ติงอวี้หรงเข้าใจในทันทีเมื่อได้ยิน ลูกชายคนนี้เดาใจยากจริง ๆ ตอนแรกเกลียดผ้าพันคอผืนนี้จะตาย แต่ตอนนี้อยากจะได้มันคืนจนต้องไปกัดกับสุนัข
คือผลกรรมสินะ
ติงอวี้หรงส่ายหัว และรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาทันที ก่อนตะโกนขึ้นว่า “พุดดิ้ง มานี่ซิลูก!”
เจ้าพุดดิ้งหันไปมองตามเสียงของติงอวี้หรง ขณะนั้นเองหลินอี้ปินก็นึกแผนอะไรขึ้นได้ก่อนเดินเข้าไปอย่างเงียบ ๆ
ทันทีที่เจ้าพุดดิ้งอ้าปากเห่า “โฮ่ง โฮ่ง” ตามปกติเมื่อได้ยินติงอวี้หรงขานเรียก หลินอี้ปินก็คว้าผ้าพันคอไว้อย่างรวดเร็ว
หลินอี้ปินทำจังหวะได้ดีมาก ในที่สุดเขาก็ได้ผ้าพันคอกลับคืนมาแล้ว ก่อนฮัมเพลงเบา ๆ เยาะเย้ยเจ้าพุดดิ้ง
เจ้าพุดดิ้งไม่สามารถแย่งกลับมาได้ จึงวิ่งไปหลบหลัง ติงอวี้หรงด้วยความไม่พอใจ ก่อนส่งสายออดอ้อนให้เธอราวกับต้องการฟ้องว่าหลินอี้ปินทำให้มันต้องเจ็บปาก
ทำตัวเป็นเด็กหวงของกันทั้งคู่เลย! แล้วนี่ฉันจะจัดการยังไงเนี่ย? ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจออะไรแบบนี้ คนกับสุนัขกัดกันเรื่องผ้าพันคอ!
ถึงอย่างนั้นติงอวี้หรงเป็นคนรักสุนัขมาก ๆ จึงบอกกับเจ้าพุดดิ้งไปว่า “เดี๋ยวแม่ซื้ออันใหม่ให้นะลูก อย่าไปกัดกับเจ้าลูกชายของแม่ให้เหนื่อยเลย!”
ดูเหมือนเข้าพุดดิ้งจะเข้าใจ ก่อนหันหน้าไปทางหลินอี้ปินแล้วเห่าเสียงดังใส่หนึ่งครั้ง และเชิดหน้ากลับ
หลินอี้ปินไม่สนใจ เพราะเขาได้ผ้าพันคอที่สำคัญผืนนี้กลับคืนมาแล้ว ต่อมาเขารีบตรวจดูว่าผ้าพันคอมีรอยขาดตรงไหนบ้าง
ปรากฏว่าไม่มีรอยขาดใด ๆ แต่เขาเพิ่งสังเกตว่าลวดลายนี้สวยมาก ราวกับถูกปักขึ้นมาอย่างตั้งใจ
เมื่อเขานึกย้อนไปตอนครั้งแรกที่ได้รับมา เขาดันพูดออกไปอย่างหน้าตาเฉยว่าไม่สวยเลย...
ช่างเป็นคำพูดที่โง่เขลาจริง ๆ...
สิ่งที่เขาเสียใจมากกว่านั้นคือเสื้อผ้าหลายสิบชุดที่สวี่จิ้งชูออกแบบให้เขาเป็นการส่วนตัว ไม่เพียงแต่เขาไม่เคยใส่มันเท่านั้น เขาแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแต่ละตัวนั้นมีหน้าตาเป็นยังไง และตอนนี้ เขาไม่สามารถเอากลับคืนมาได้แล้ว ต่อให้ตายเป็นหมื่นครั้งก็คงชดเชยไม่ได้
ต่อมา หลินอี้ปินกลับมาครุ่นคิดอีกครั้งเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้สวี่จิ้งชูยอมยกโทษ
“คุณแม่ น้องสาว ขอตัวก่อนนะ” หลินอี้ปินพูดไม่กี่คำ ก่อนเดินตรงไปที่รถส่วนตัวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
บทที่ 380
ชาตินี้จะไม่รักใครอีก
ติงอวี้หรงถาม “ลูกจะไปไหน?”
หลินอี้ปินหันกลับมาตอบว่า “ผมจะไปเอาลูกสะใภ้ของแม่กลับมาครับ”
ติงอวี้หรงขมวดคิ้วและต้องการถามว่าเขาจะไปตอนนี้จริง ๆ เหรอ แต่หลินจือฮุ่ยเข้ามาแล้วห้ามไว้ว่า
“คุณแม่ ดูสีหน้าพี่ชายสิคะ จริงจังขนาดนั้น คงตั้งใจไปหาสวี่จิ้งชูให้ได้”
นอกจากนี้ ผ้าพันคอผืนนั้นมีสีแดง ซึ่งบ่งบอกได้ว่าคนรับคือคนสำคัญ ใช่ว่าใครจะได้รับของแบบนี้ง่าย ๆ
“งั้นแม่หวังว่าอี้หลินจะตั้งใจจริง ๆ นะ… ไม่อย่างนั้น จิ้งชูคงไม่ให้โอกาสอีกแล้ว” ติงอวี้หรงบ่นระหว่างเฝ้ามองหลินอี้ปินเดินขึ้นรถ
บ้านพักตากอากาศตระกูลเซียว
ช่วงนี้ฝางเสวี่ยหลานรู้สึกกระสับกระส่ายมาหลายวันแล้ว เพราะเธอกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เฉียวซิวทำนายไว้
เธอพยายามโน้มน้าวตัวเองสุดชีวิตว่าคำทำนายนั้นเชื่อถือไม่ได้ แต่เฉียวซิวทำนายไว้ว่าเซียวเฉินเยวียนจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกไม่นานนี้ และเขาจะไม่สามารถหลีกหนีไปได้
เดิมทีเธอรู้เรื่องว่าที่เมือง A ได้เกิดเหตุร้ายกับ เซียวเฉินเยวียน เพียงแค่ไม่รู้รายละเอียดนอกจากนั้น
ฝางเสวี่ยหลานครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่หลายวัน เมื่อเธอคิดถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างหลานชายกับถังซือซือ เธอก็ตัดใจไม่ได้และอยากบอกเรื่องคำทำนายของเฉียวซิว เพราะเธอคิดว่าชีวิตและความตายของหลานชายเพียงคนเดียวกำลังตกอยู่ในอันตราย หัวใจของเธอจึงปั่นป่วนมาสักพักแล้ว
ฝางเสวี่ยหลานไม่สามารถทำใจนั่งนิ่ง ๆ ได้เลย ในที่สุดเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาเซียวเฉินเยวียน
เธอรอสายอยู่ไม่กี่วินาที ปลายสายกดรับสาย
“คุณยายครับ”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยของหลานชาย ฝางเสวี่ยหลานแสดงรอยยิ้มโล่งอกขึ้นมา แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ต้องการจะพูด เธอก็รู้สึกว่ามันโหดร้ายเกินไป
เพราะไม่ง่ายเลยที่หลานชายจะได้พบหญิงสาวที่รักเขาจริง ๆ และอีกฝ่ายยังสัมผัสใกล้ชิดกับเขาได้อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอ
หลังจากลังเลอยู่นาน ฝางเสวี่ยหลานตัดสินใจพูดออกไปว่า
“เฉินเยวียน… ยายเพิ่งพบหมอดูเมื่อสองสามวันก่อน…”
คิ้วของเซียวเฉินเยวียนกระตุกในทันทีเมื่อได้ยิน หมอดูเหรอ? นอกจากหมอดูฮวงจุ้ยแล้ว ยายไม่เชื่อหมอดูอย่างอื่นเลยนี่นา?
“หมอดูคนนั้นบอกว่า... เขาได้รับรู้ถึงภาพในอดีตของพ่อและแม่ของหลาน ซึ่งมีจุดจบที่ไม่ดีนัก... แล้วบอกว่าสาเหตุมาจากผู้หญิงที่หลานคบหาล่าสุด เธอไม่น่าเชื่อถือและไม่เหมาะสม ถ้ายังคบกันต่อ หลานจะเดือดร้อน...
ตอนแรกยายก็ไม่เชื่อ แต่แล้ว... เขาก็บอกว่าหลานไปประสบอุบัติเหตุที่ต่างเมืองเมื่อไม่นานมานี้ และเกือบไม่ได้กลับมา... เพราะหลานคบกับคนที่ไม่เหมาะสม... และไม่คู่ควร...”
เมื่อฝางเสวี่ยหลานพูดจบ หัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย
แม้ว่าเธอตั้งหน้าตั้งตารอจะอุ้มหลานมานาน แต่น่าเสียดายจริง ๆ ที่เรื่องนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้แล้ว
ตอนนี้เธอคิดว่าหลังจากเซียวเฉินเยวียนได้ยิน คงทำใจได้ยาก...
เซียวเฉินเยวียนพอคาดเดาถึงคำทำนายได้ ขณะตรวจสอบเอกสารบนโต๊ะกับงานในคอมพิวเตอร์ เขาก็ตอบอย่างใจเย็นว่า
“คุณยายครับ ผมเดินทางไปทำธุรกิจเมือง A และประสบอุบัติเหตุก็จริง ถึงอย่างนั้น ผมขอยืนยันว่าหมอดูทำนายผิดนะครับ ผมไม่ได้โชคร้ายเพราะคบหากับซือซือ ตรงกันข้าม ถ้าผมไม่พาเธอไป ผมคงไม่ได้กลับมา...”
เซียวเฉินเยวียนตัดสินใจค่อย ๆ อธิบายเรื่องราวในวันนั้นอย่างละเอียดให้ฝางเสวี่ยหลานรู้ว่าเป็นมายังไง
เขาอธิบายว่าตอนนั้นตัวเองมีอาการแพ้ได้ยังไง สถานการณ์ตอนนั้นมีวิกฤตร้ายแรงแค่ไหน และถังซือซือต้องเสี่ยงอันตรายขนาดไหนที่แอบเข้าไปช่วยเขาด้วยตัวเอง แล้วพาเขาออกไปอย่างปลอดภัย เขาเล่าเรื่องด้วยท่าทีที่สงบมาก แต่คนฟังกลับรู้สึกตกใจอย่างมาก
เป็นครั้งแรกที่เซียวเฉินเยวียนตั้งใจอธิบายบางสิ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“คุณยายครับ ชาตินี้ผมจะไม่รักใครอีกนอกจากเธอ และผมจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นด้วย”
ไม่มีการตอบกลับเป็นเวลานาน