บทที่ 189-190
บทที่ 189
มีสิทธิ์รู้ความจริงทุกอย่าง
คนกลุ่มใหญ่ ต่างพูดซุบซิบกันขณะถ่ายคลิปวิดีโอด้วยโทรศัพท์มือถือ และแอบส่งไปยังกลุ่มแชทของแต่ละคน
คุณป้าคนหนึ่งขมวดคิ้ว ส่ายหัวแล้วถอนหายใจ
“สังคมตกต่ำมากพอแล้ว! เกิดอะไรขึ้นกับคนหนุ่มสาวทุกวันนี้กัน มาดูความสัมพันธ์ของพวกเขาและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องรักสามเส้ากันเถอะ!”
“สาว ๆ สมัยนี้ไม่รู้จักดูแลตัวเองกันรึยังไง?! การไม่ดูแลตัวเองแล้วปล่อยให้ท้องมันเสี่ยงมากเลยนะ! ทุกคนควรระวังตัวไว้ด้วย อบรมเลี้ยงดูลูกหลานกันดี ๆ!”
“เลอะเทอะ มันเลอะเทอะมาก ๆ! ศีลธรรมเสื่อมกันไปหมดแล้ว! ถ้าฉันเป็นพ่อแม่ของเด็กพวกนี้ ฉันไม่อยากมีหน้าไปเจอใครเลย!”
“หนุ่มสาวสองคนนี้ไม่ใช่เด็กดีอย่างที่นึกเอาไว้เลย! ฉันว่าแล้วไม่มีผิด ก็ไม่ได้ติดใจเรื่องความรักของหนุ่มสาวหรอก แต่ก่อนจะรักกันก็ต้องต่างคนต่างโสดสิถึงจะถูกต้อง!”
เมื่อพันหม่าลี่ถูกทุบตีจนล้มลงกับพื้น โม่หลางก็ตื่นตระหนกมาก แต่เมื่อเห็นดวงตาของหวยปิงที่ดุร้ายราวกับจะฆ่าพวกเขาทั้งสองให้ได้ ตอนนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปขัดขวางเลย
ฉันคิดผิดจริง ๆ ที่ไปหลงใหลกับคำพูดหวานแหววของผู้หญิงคนนี้ เพราะหลวมตัวไปแอบคบกับคนอย่างเธอ ฉันถึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้!
พันหม่าลี่รู้สึกเจ็บที่ท้องส่วนล่างหลังจากล้มลงกับพื้นอย่างแรง ในตอนแรกเธอคาดว่าอย่างน้อยโม่หลางจะเข้ามาช่วยเธอ ท้ายที่สุด เธอต้องรู้สึกผิดหวังที่พบว่าเขาไม่ได้รักเธอจริง ๆ เลย ตอนนี้เธอรู้สึกสิ้นหวังและหดหู่
จากโม่หลางคนที่เคยพูดต่อหน้าเธอว่า หวยปิงทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายมาก และตัวเองชอบอยู่กับพันหม่าลี่มากกว่า
ตอนนี้กลายเป็นแค่คนขี้ขลาด! อีกทั้งหลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ แม้แต่โฉวฮ่าวก็ไม่ต้องการเธออีกต่อไปแล้วด้วย
สุดท้ายเป็นตัวเธอที่ทำลายชีวิตของตัวเองลง!
นาทีนี้เธอเพิ่งได้เข้าใจถึงผล ‘กรรม’ ที่ได้ก่อเอาไว้
หวยปิงถือรองเท้าส้นสูงแล้วหันไปเรียกโม่หลาง
“ฉันไม่รู้ว่าคุณตาบอดหรือไปหลงนังนี่ได้ยังไง! แต่ระหว่างที่คุณพูดว่ารักฉัน คุณดันมานอกใจลับหลังฉันแบบนี้! คิดว่ามันถูกต้องแล้วเหรอ? นังนี่เทียบอะไรกับฉันได้ด้วยเหรอ? อะไรในตัวมันที่ทำให้คุณหลงใหลได้ขนาดนี้?”
เธอไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะด้อยค่าไปกว่าใคร แต่เธอกลับแพ้ให้กับมือที่สาม ทั้งยังเป็นเพื่อนของตัวเองอีกด้วย!
โม่หลางก้มหน้าลง เขานั่งอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้หวยปิงทุบตีจนกว่าจะพอใจ แล้วเอาแต่พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าออกมาว่า “ฉันขอโทษ”
เสียงฝีเท้ากลุ่มใหญ่ดังขึ้นจากที่ไกลใกล้ตามทางเดิน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนรีบวิ่งเข้ามาควบคุมตัวกลุ่มวัยรุ่นอย่างรวดเร็ว พันหม่าลี่ได้รับความช่วยเหลือจากพยาบาลในวอร์ด ขณะที่อีกสามคนถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลเนื่องจาก ‘รบกวนความสงบเรียบร้อยกลางที่สาธารณะ’
ละครน้ำเน่าเรื่องนี้ได้สิ้นสุดลง แต่ความคับข้องใจและแค้นใจระหว่างสี่คนยังไม่จบลงง่าย ๆ
คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าทุกอย่างจะลงรอย!
เพราะเป็นเรื่องปกติที่ทั้งสี่จะต้องวนเวียนกลับมาพบหน้ากันอีก
ในวอร์ดของเฉินเหวินจือ
มีเสียงฝีเท้าหลายคนดังขึ้น
หลินฟางอินพาคนชราสองคนมาด้วย พวกเขาคือพ่อแม่ของเฉินเหวินจือ ชื่อว่าเฉินลี่ฉวินและหลงเป้ยหลาน ตามด้วย เฉินเยวี่ยจือที่เดินตามเข้าวอร์ดมา
เมื่อเห็นหลินฟางอินพาครอบครัวฝั่งอาเดินเข้ามา เฉินเมิ่งอวี่ก็รีบลุกขึ้นในทันทีก่อนพูดขึ้นว่า
“แม่...”
หลินฟางอินถูกหญิงสาววิ่งเข้ากอดที่เอว เธอตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ครอบครัวทั้งสามที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตกใจเช่นกัน รวมถึง เฉินเหวินจือที่นอนอยู่บนเตียงก็เกิดสงสัยว่าอะไรขึ้นกับลูกสาว?
“ฮือ!” เฉินเมิ่งอวี่ร้องไห้จนน้ำตาไหลพราก เธอร้องไห้อย่างหนักราวกับโลกทั้งใบและหัวใจกำลังจะแตกสลาย
เธอร้องไห้ได้น่าเศร้ามาก ใครเห็นก็ยังต้องน้ำตาซึม
เพียงการแสดงตบตาเล็กน้อยนี้! รางวัลตุ๊กตาทองช่างเหมาะสมกับเธอจริง ๆ!
ครอบครัวทั้งสามคนที่เพิ่งมาถึงต่างมองหน้ากันด้วยความมึนงง
หลินฟางอินรีบถามเฉินเมิ่งอวี่ที่กำลังร้องไห้
“เป็นอะไรเหรอลูกแม่? พอคุณปู่คุณย่ากับคุณอามา หนูถึงกับร้องไห้ยกใหญ่ มีอะไรรึเปล่า ไม่ดีเหรอที่ได้เจอคุณปู่และคุณย่า?”
เฉินเมิ่งอวี่ร้องไห้หนักมากกว่าเดิมจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว และยังร้องดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนนี้เสียงร้องของเธอดังก้องไปทั่ววอร์ด
“แม่คะ! ต่อจากนี้ไม่ต้องปิดบังอะไรแล้ว! หนูเข้าใจนะที่แม่ก็ไม่กล้าบอก แต่หนูอายุยี่สิบเอ็ดแล้วนะ หนูมีสิทธิ์รู้ความจริงทุกอย่างในครอบครัวของเรา!”
บทที่ 190
อยากให้ครอบครัวของเราถูกหัวเราะเยาะ
ความจริงอะไรของลูก?
ใบหน้าของเฉินเหวินจือเปลี่ยนไปทันที เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา สีหน้าเริ่มซีดขาว
“ละ.. ลูกแม่ หนู... หนูกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”
เฉินเมิ่งอวี่สะอื้นเล็กน้อยและหยุดร้องไห้ ก่อนเหลือบมองไปที่เฉินลี่ฉวินและย่ากับอาด้วยแววตาลังเล ไม่นานเธอก็ขมวดคิ้วพร้อมกัดฟัน ราวกับว่าตัดสินใจดีแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองหลินฟางอิน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ว่า
“แม่คะ จะปิดบังความจริงไปถึงเมื่อไหร่คะ? หมอบอกหนูหมดทุกอย่างแล้ว ว่าพ่อมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกแค่สามเดือน!”
จากคำพูดของเฉินเมิ่งอวี่ เธอจงใจพูดออกมาเสียงดังเพื่อให้ครอบครัวฝั่งอาได้ยินอย่างชัดเจน รวมไปถึงคนอื่น ๆ ในวอร์ดเดียวกันอีกด้วย
อะไรนะ?!
หลังจากคำพูดนี้ออกมา เฉินเหวินจือที่นอนซมอยู่บนเตียงก็ตัวสั่นจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกสิ้นหวังมาก ๆ ในตอนนี้ จากสีหน้าที่ซีดขาวอยู่แล้วก็ยิ่งซีดลงไปอีก เขาถามอย่างตะกุกตะกักขึ้นว่า
“ฟางอิน… เมิ่งอวี่ หมอบอกอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ? ฉะ... ฉันเหลือเวลาอีกแค่สามเดือนเองเหรอ?”
เมื่อถึงคำพูดในท่อนสุดท้าย ในหัวของเขาเหมือนมีเสียงวิ้ง ๆ ตลอดเวลา
หลินฟางอินมองเฉินเหวินจือด้วยสายตาที่เศร้าโศก เขาเบือนหน้าหนีเธอทันที คงเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ ใบหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปความเศร้าและเจ็บปวด
“ฉันยอมแล้ว... คือเรื่องจริง... แต่เพราะฉันไม่กล้าบอกคุณตรง ๆ และอยากให้คุณดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อยืดเวลาออกไป ในเมื่อมาถึงขนาดนี้... และลูกสาวของเราก็รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ฉันจะไม่ปิดบังมันอีกต่อไป สิ่งที่คุณคิดว่าเป็นลำไส้เล็กอักเสบธรรมดาจริง ๆ แล้วมันคือมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย!”
เฉินเหวินจือได้ยินแบบนั้น การหายใจเริ่มถี่มากขึ้น และยังสำลักไอสองถึงสามครั้ง
“ถ้าฉันตายไป แม่กับลูกจะอยู่กันยังไง?”
ขณะเดียวกัน ใบหน้าของเฉินเยวี่ยจือยิ้มออกมาได้น่าเกลียดมาก เขาพูดด้วยความตกใจว่า
“ที่พี่สะใภ้พูดนี่เป็นความจริงเหรอ?! พี่ชายมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่สามเดือนเองเหรอ? ไหนตอนแรกบอกว่าพี่อาการดีขึ้น เลยบอกให้มาเยี่ยม ช่างเถอะ... ว่าแต่ ฉันขอเงินของเดือนนี้ก่อนละกัน
เดือนนี้ขอสักพันหยวนได้ไหม?!”
ผู้ป่วยอีกสองคนในวอร์ดและสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ
บ้าเอ๊ย! พูดจากับพี่ตัวเองในเวลาแบบนี้มันสมควรแล้วเหรอ? ขอเงินพี่เนี่ยนะ? ผู้ชายคนนี้ก็ดูอายุมากกว่าสี่สิบแล้วไม่ใช่เหรอ? ตอนพี่ลำบากทำไมถึงยังกล้าขอเงิน? นี่เป็นเรื่องตลกร้ายที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย!
หลินฟางอินเช็ดน้ำตาของเธอแล้วพูดอย่างเศร้าใจว่า
“คุณพ่อคุณแม่คะ น้องเขยด้วย ต้องขอโทษด้วยที่เดือนนี้เราคงให้ไม่ได้! บอกตามตรงเลยว่าเดือนนี้ครอบครัวของเราเอาเงินเก็บออกมาใช้เยอะมาก! เพื่อมารักษาเหวินจือ ส่วนฉันก็เพิ่งลาออกจากงาน! ตอนนี้พวกเราไม่มีเงินให้จริง ๆ!
ทางเราจำเป็นต้องใช้เงินรักษาอย่างต่อเนื่อง เราช่วยอะไรทางนู้นไม่ได้แล้ว! ฉันจึงโทรหาพวกคุณให้มาที่นี่ เพื่อบอกว่าเราไม่มีเงินให้เพราะต้องเก็บให้เหวินจือใช้ทำเคมีบำบัดครั้งต่อไป!”
ใบหน้าของเฉินลี่ฉวินและหลงเป้ยหลานบิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด ถังซือซือที่ยืนหลบอยู่ตรงมุมห้องพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองเข้าไปยุ่ง ขณะเดียวกันเธอก็แอบสังเกตการแสดงออกของคนอื่น ๆ ในห้อง เหมือนกำลังสงสัยว่า ในฐานะพ่ออย่าง เฉินลี่ฉวินจะพูดอะไรกับเฉินเหวินจือ?
ไม่นานเฉินลี่ฉวินก็พูดขึ้นมา แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นทำให้คนอื่นในห้องตกใจ
“ในเมื่อหมอบอกว่าแกเหลือเวลาอีกแค่สามเดือน ยังจะมามัวยื้อชีวิตอยู่เนี่ยนะ?! จะพักในวอร์ดต่อไปเพื่ออะไร? แทนที่จะเสียเงินจ่ายค่าวอร์ดในแต่ละวัน สู้เอามาให้พ่อกับแม่ไม่ดีกว่าเหรอ! ทั้งลูกและเมียเยวี่ยจือยังต้องใช้เงินนะ รู้ไว้ด้วย! จู่ ๆ จะผลาญเงินเล่นแล้วปล่อยให้พวกเราอดตายเหรอ?!”
อะไรนะ?
นี่คือสิ่งที่คนเป็นพ่อพูดกับลูกแท้ ๆ เนี่ยนะ?!
นี่เขายังมีความเป็นคนอยู่ไหม?!
คนอื่น ๆ ในวอร์ดเหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงกลางใจ พวกเขารู้สึกสงสารคนเป็นลูกจับใจ
ฉันไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าในสมัยนี้ยังจะมีพ่อแม่ทัศนคติแปลก ๆ และยังเห็นแก่ตัวกับลูกในไส้ได้ลงคอ!
หลังจากนั้นเฉินเยวี่ยจือพูดเสริมต่อทันที
“พี่สะใภ้! คุณพ่อพูดถูกนะ! รีบพาพี่ชายไปทำเรื่องจ่ายเงินที่เหลือแล้วออกจากโรงพยาบาลไปเถอะ! ถ้ายังรักษาต่อไปค่าใช้จ่ายจะไม่สูงเกินไปกว่านี้เหรอ? รีบออกมาแล้วเอาเงินที่เหลือมาช่วยครอบครัวดีกว่า!
วันส่งท้ายปีเก่าจะมาถึงในอีกสองเดือน! พี่สะใภ้กับพี่ชายอยากให้ครอบครัวของเราถูกคนในหมู่บ้านหัวเราะเยาะเอาเหรอ?!”