ตอนที่ 1272 ดั่งวันวาน
บันไดสวรรค์
ขั้นที่ล้าน
เวลามีเพียงสามวันแต่เย่ว์หยางจำเป็นต้องเข้าใจและควบคุมพลังของยักษ์เทพชะตาให้ได้
ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้นี้ กลายเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ราชันย์ไร้ใจ เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางเจ้าหนักสูงสุดเทียนอี้ จักรพรรดิไร้เทียมทานจิ๋วซื่อแต่ละคนเป็นนักสู้ไร้เทียมทาน ทั้งสามวันนี้จักรพรรดินีราตรีก็ต้องใช้พลังต่อสู้เพื่อถ่วงเวลา ดังนั้นเขาต้องสำเร็จอย่างเดียว ผิดพลาดไม่ได้
ถ้าล้มเหลวเย่ว์หยางเชื่อว่าเขาจะต้องเริ่มดำเนินการแก้แค้นที่เขาไม่ต้องการเห็นอย่างแน่นอน
ในใจของเขาไม่ต้องการให้มีวันเช่นนั้น
ดังนั้นการรู้แจ้งต้องทำให้สำเร็จ!
“ในขั้นเริ่มต้นของการสืบทอดต้องเข้ามาสู่โลกความรู้แจ้งของข้าเสียก่อน บางทีอาจช่วยเจ้าได้บ้างเล็กน้อย” จื้อจุนเหยียดนิ้วชี้ที่ระหว่างคิ้วของเย่ว์หยางเบาๆ
ทั่วทั้งบันไดสวรรค์ระเบิดปังแตกสลาย ทุกอย่างสูญสลายหายไป
เย่ว์หยางไม่สามารถแม้แต่จะรู้สึกถึงร่างกายของเขามีแต่สำนึกรู้ แต่ไม่ใช่การหลับลึกเป็นสภาวะที่ยอดเยี่ยมที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และแม้แต่ความคิดก็ช้ามากเงียบสงบมากความรู้สึกเหมือนอยู่ในอ้อมอกมารดาในตอนที่ยังเป็นเด็กทารก ความรู้สึกนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นความสะดวกสบายและสงบสุขประเภทหนึ่งไม่มีความรู้สึกถึงร่างกาย
ราวกับว่าร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกับโลกและสวรรค์ตลอดไป
เหมือนกับว่าวิญญาณที่สงบสุขนี้มีอยู่มาเป็นพันๆปีแล้ว แต่หลังจากที่มีร่างกายเป็นอมตะ ความเป็นไปทุกอย่างในโลกนี้จรเข้ามายั่วเย้าหลอกล่อจนปกปิดแหล่งที่มาของอิสรภาพและความสุขคิดว่าร่างกายมนุษย์ ความเจ็บป่วย ความตายเป็นภาระการแสวงหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตคือสิ่งที่มีความหมายหลังจากหนีจากร่างกายมนุษย์นี้ได้แล้วรอให้จิตสำนึกของวิญญาณที่อยู่ใกล้แหล่งกำเนิดความรู้ ทำให้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงแล้วคือแสงสว่างและนั่นคืออิสรภาพแห่งความเงียบสงบ
สังสารวัฏของชีวิตดำเนินไปครั้งแล้วครั้งเล่าสั่งสมประสบการณ์ซ้ำๆกัน ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการกลับไปสู่ตัวตนดั้งเดิม แต่กลับสูญหายไปจากโลกและเข้าไม่ถึงความจริงของชีวิตอีกต่อไป
มีแต่เพียงขณะนี้เท่านั้น
ในที่สุดเย่ว์หยางก็ตระหนักว่าสิ่งที่เขาต้องการและไล่ไขว่คว้าก็คือกระบวนการหลุดพ้นสูงสุดกลับไปสู่ความเป็นตัวตนดั้งเดิม
นี่คือจิตสำนึกที่จื้อจุนมอบให้กับตัวเขาเองหรือไม่? ไม่ เหมือนกับว่ามารดาผู้ลึกลับนั้นเป็นผู้มีแรงบันดาลใจในตนเองอาจเป็นพี่สาวของแม่สี่หรืออาจเป็นเทพธิดากระบี่ฟ้าที่มอบแนวทางการฝึกฝนอย่างแท้จริง
แต่ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นแรงบันดาลใจ สิ่งที่สำคัญคือเขาเข้าใจเป้าหมายสูงสุดได้
และเขาเข้าใจความหมายที่ตนเองมี
ในทันใดนั้นเย่ว์หยางรู้สึกตกใจสะท้านไปทั้งวิญญาณภาษาใดๆ ในโลกทั้งหมดยากจะอธิบายและแสดงความตื่นเต้นและปลาบปลื้มเป็นสุขแบบนั้นได้ เหนืออื่นใดรวมถึงโชคชะตาเวลาและสถานที่ทุกอย่างในโลก...ขณะที่เย่ว์หยางพร้อมจะอุทิศใจทั้งหมดเพื่อมีส่วนร่วมอย่างกลมกลืนผสานกับแหล่งกำเนิดอย่างแท้จริง เมื่อกลับมาที่นี่ซึ่งเป็นตัวตนเอง ลึกลงไปในใจความคิด ความสนใจต่างๆ รวมทั้งวิญญาณต่างถูกหลอมรวมอยู่ในนั้น
จิตวิญญาณที่เบาพลันจมดิ่งลงไป
จมลึกลงไปทุกขณะ
ในห้วงเหวมิติเวลาไม่มีที่สิ้นสุดจมดิ่งลึกลงไปจนกระทั่งความสว่างและความมืดฟ้าและดินปรากฏขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกของร่างกายปรากฏเย่ว์หยางตระหนักว่าเขาหลุดออกมาจากสภาพดั้งเดิมของวิญญาณที่สุขที่สุดกลับสู่สภาพจิตวิญญาณที่วุ่นวายทั้งกายและใจ
ในสภาวะเช่นนี้มีอารมณ์และความคิดต่างๆ ในชีวิต มีเครือญาติ ความรัก ความคิดคำนึงถึง มีวิวัฒนาการความรู้ความสามารถที่ได้รับจากอสูรศึก คนรักอารมณ์สัมพันธ์สมาชิกครอบครัว สหาย ความคิดภายในมีซับซ้อนมากมาย จนบุคคลที่มีสติปัญญาสูงก็ยังไม่สามารถกำจัดออกไปได้ไม่สามารถขุดลงไปจนถึงรากเหง้าได้ เย่ว์หยางมีแรงกระตุ้นส่วนตัวอย่างหนึ่งเขาอยากร้องไห้ ในฐานะบุคคลเขาสามารถชักนำให้เกิดกระบวนการวิวัฒนาการของการเกิดและความตายในชีวิตของตัวเองแม้ว่าจะไม่ใช่ร่างกายหลักของเขา วิวัฒนาการร่างกายของญาติสนิทมิตรสหายในครอบครัวเขาก็สามารถกระตุ้นได้ เพื่อความแข็งแกร่งของโชคชะตา...การเสียชีวิตของอาสี่และความตายของแม่นางฟงผู้ให้กำเนิดทารกน้อยที่อาสี่และแม่นางฟงทิ้งไว้ทำให้เกิดชะตาชีวิตทั้งเกิดใหม่และแตกดับ
ตั้งแต่โบราณกาล
ภูตอัจฉริยะเย่ว์กงวีรบุรุษในยุครุ่งเรืองสามร้อยปีก่อน ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ เย่ว์ซาน เย่ว์ถิง การตกทอดของทายาทตระกูลเย่ว์คนอื่นๆ จากรุ่นสู่รุ่นล้วนแต่เป็นพลังของโชคชะตา
ไม่มีใครควบคุมได้และไม่สามารถดำเนินการตามความต้องการของใครๆและความต้องการของตนเองได้แต่ในเวลาเดียวกัน ทุกคนมีส่วนร่วม
มีความมุ่งมั่นเพื่อเลื่อนระดับ
พลังแห่งโชคชะตากว้างใหญ่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้และไม่มีใครแยกออกจากมันได้
ตรงกันข้ามทุกคนถูกผลักดันด้วยพลังต่างๆไปสู่ความเจ็บปวดด้วยชะตากรรมที่มิอาจคาดเดาได้ ยกเว้นแต่เทพ แทบจะไม่มีใครสามารถหลบหนีจากโชคชะตาเมื่อเกิดแล้วก็ดำเนินไปสู่ความตายอย่างไม่หยุดยั้ง
แม้แต่ทวยเทพในสวรรค์บนก็ไม่สามารถหนีพ้นชะตากรรมจากเทพผู้ยิ่งใหญ่กว่า
เพียงแค่นั้นเขาจึงเข้าใจทุกอย่างกลายเป็นเทพราชันย์อมตะสามารถกำจัดสัญญาณรบกวนจากภายนอกและสร้างชีวิตที่แท้จริงที่เป็นของตน
“เทพจอมราชันย์ที่แท้จริงคือใคร?พลังนิรันดร์ที่สามารถก้าวข้ามทุกสิ่งทุกอย่าง รู้แจ้งตนเองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยพลังของตนเองข้าจะทำเช่นนั้นได้หรือไม่? ข้าไม่ได้เป็นนักสู้ระดับเทพข้าจะสามารถก้าวข้ามการเกิดและการตายควบคุมชะตากรรมของตนเองด้วยมือข้าเองด้วยพลังจิตสำนึกและเอาชนะตัวเองได้หรือไม่? แม้ว่าข้าสามารถทำได้ ข้าจะทำและควบคุมชะตากรรมของผู้อื่นได้อย่างไร?” เย่ว์หยางตกอยู่ในความคำนึงที่ไม่รู้จบ
ดูเหมือนว่าเขาเห็นว่าเจ้าอ้วนไห่เย่คงและสหายอื่นๆ กำลังต่อสู้อาบเลือดกับศัตรู
ถ้าเขาไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของพวกนั้น
อย่างนั้นเจ้าอ้วนไห่และเย่คงและคนอื่นจะไม่สามารถหลบหนีผลของการเกิดเจ็บ ตายได้ พวกเขาไม่ใช่ผู้มีชีวิตนิรันดร์พวกเขาจะต้องเสียสละตลอดเวลาภายใต้การโจมตีของศัตรู.... อู๋เสีย เชี่ยนเชี่ยน โล่วฮัว อู๋เหิน พี่หวี่หลิวเย่ เซี่ยอี เป่าเอ๋อ สาวใช้ลูกครึ่งเอลฟ์ แม้แต่อสูรพิทักษ์อย่างเสี่ยวเหวินหลี อาหง อาหมัน เจี้ยงอิงอิคคาและเว่ยหลาย พวกนางก็เหมือนกันหากพวกนางไม่สามารถควบคุมพลังแต่โชคชะตาได้พวกนางอาจล้มลงพลาดท่าเช่นเดียวกับความพ่ายแพ้ของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี ที่กำลังจะตายอยู่ในผนึกกลายเป็นความหายนะโดยไม่ต้องคำนึงถึงการต่อสู้เกียรติยศ และทำลายล้าง ในท่ามกลางเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนตลอดเวลา
ต้องปล่อยให้เป็นไป
มีเพียงทางเดียว
นั่นคือทำให้ทุกอย่างเป็นนิรันดร์
ฟันฝ่าชะตาชีวิตแยกชีวิตออกมาภายนอกสร้างและบรรลุชีวิตนิรันดร์ใหม่ที่มีการควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ด้วยเจตจำนงอิสระเสรี จากนั้นจึงจะสามารถควบคุมพลังแห่งโชคชะตาได้อย่างแท้จริง มิฉะนั้นแม้ว่าเขาจะบรรลุถึงระดับเทพแต่ก็ยังเป็นระดับเล็กน้อยและยังสามารถตกลงไปในห้วงกระแสเวลาอันยาวนานได้
“ใครจะช่วยข้าได้ ใครจะยื่นมือช่วยข้า ตอนนี้ข้ายังอ่อนแอเกินไป ใครจะมอบความแข็งแกร่งให้ข้าได้ ใครจะทำให้ข้ามีสติปัญญามากขึ้นได้ ใครจะทำให้ข้ารู้แจ้งได้มากขึ้น...” ในหัวใจของเย่ว์หยาง ความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นเขาเห็นตัวเองและตระหนักถึงชะตากรรมของเขา สิ่งที่เขาขาดตอนนี้คือการพัฒนาความก้าวหน้าของตนเอง
“ปัง!”
ปรากฏว่ามีแสงสว่างและความมืดโลกและสวรรค์แตกสลายอีกครั้ง
เหมือนกับว่ามีบางคนกำลังหัวเราะอยู่ในหูของเขาโบกมือแล้วหลุดออกมา
เย่ว์หยางไม่มีเวลาจับความรู้สึกว่าคืออะไร
เขารู้แต่เพียงว่าเขาได้ออกมาจากสภาวะแห่งการรู้แจ้ง ไม่เพียงแต่เขาไม่สามารถมองเห็นได้ แม้แต่พลังแห่งโชคชะตาก็ยากที่จะเข้าใจคนทั้งหมดในทันที ดูเหมือนว่าเขาไม่รู้ตัวแต่สมองของเขาไม่สามารถปรับได้ทัน เขายังคงสับสน
ทำไมถึงเป็นแบบนี้
ทำไมเขาถึงสูญเสียสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้วทำไมจู่ๆ ถึงโง่ขึ้นมาทันที?
ก็แค่บางคนเพิ่มภูมิปัญญาที่สูงส่งเป็นพิเศษให้พวกเขาไม่ใช่หรือ? หรือว่านั่นไม่ใช่ความเข้าใจที่แท้จริงของตนเอง
เจ้าอ้วนไห่กำลังต่อสู้ เขามีตระกูลของเขาและแนวคิดของเขามีคัมภีร์อัญเชิญของตน และรูปแบบการต่อสู้ของตัวเอง ชะตาของเขาไม่สามารถควบคุมได้จะก้าวไปข้างหน้าหรือต่อไป หรืออาจพลาดพลั้งร่วงลงห้วงเหวแห่งความตาย....เย่คงกำลังต่อสู้ ชะตากรรมของเขา ไม่อาจควบคุมล่วงหน้าได้... ทุกคนที่รู้จักอยู่ในสถานที่เดียวกันและเวลาเดียวกันมีการดำเนินชีวิตโดยพวกเขาเองรวมทั้งศัตรูอย่างเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางและผู้ที่ยังซ่อนตัวอยู่อย่างเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ พวกเขาไม่นิ่งเฉย พวกเขายังคงต่อสู้อย่างเปิดเผยด้วยวิธีการต่างๆเพื่อส่งเสริมชะตากรรมของตนเองหรือคนอื่นด้วยพลังที่หลากหลาย
ถ้าเขาต้องการหยุด
ก็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งมากมาย
นั่นคือต้องสูงกว่าบรรพตลึกกว่ามหาสมุทร ต่อให้บรรจุเต็มท้องฟาและแผ่นผืนดินสติปัญญาจะต้องล้นเกินยิ่งกว่านั้น ด้วยวิธีนี้จึงจะสามารถควบคุมโชคชะตาของญาติสนิทมิตรสหายและของศัตรูทั้งหมดในฝ่ามือ
ขณะที่เย่ว์หยางมีสติใจของเขาก็ตระหนักได้ว่าเขามองเห็นความรู้ขั้นสูง
หรือว่าจื้อจุนมอบความรู้แจ้งทั้งหมดให้เขา
ตอนนี้
เพิ่งเริ่มต้นอย่างแท้จริง!
ดังนั้นสิ่งที่เขาเห็นก่อนนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาอย่างนั้นหรือ? หรือว่ามารดาผู้ลึกลับ เทพธิดากระบี่ฟ้าลอบแนะนำทางรู้แจ้งให้เขา?
“โอ๊ว!” เย่ว์หยางเห็นเด็กทารกล้มลงกับพื้นและจากนั้นมีใบหน้าของหญิงสาวผู้งดงามเข้ามากอดจูบปลอบโยนลูกเบาๆไม่หยุด นางยิ้มในขณะที่สมาชิกในครอบครัวกล่าว “ดูตาของเจ้า ดวงตาทิพย์ มีความฉลาดไม่สิ้นสุด ลูกแม่! ต่อไปเจ้าจะได้ตำแหน่งนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด เจ้าต้องหลุดพ้นจากโชคชะตาและแม่คิดว่าเจ้าจะควบคุมชีวิตได้อย่างอิสระ”
“ใช่แล้ว ความคาดหวังในหลายพันปีในที่สุดข้าก็สมหวังได้สิ่งที่ต้องการในวันนี้ ด้วยศักยภาพของเธอตราบใดที่เดินตามเส้นทางไม่ผิดพลาด ข้าหวังว่าต่อไปเจ้าจะทำให้หอทงเทียนรุ่งเรืองเป็นเทพจอมราชันย์แห่งหอทงเทียน!” สหายของหญิงงามเหยียดนิ้วหยอกล้อทารกที่เพิ่งเกิด
“น่าเสียดายที่เป็นสตรี ถ้าเป็นบุรุษจะดีเพียงไหน” บางคนรู้สึกเสียดาย
“ไม่เป็นไรเราจะอธิษฐานขอให้มีเด็กผู้ชายที่มีศักยภาพเท่ากัน และประสบความสำเร็จแม้จะเป็นเทพจอมราชันย์ก็ต้องอยู่เป็นคู่ จะได้ไม่เหงาในชีวิตอันยืนยาวนานเราจะมองหาเพื่อนตัวน้อยๆ ให้เธออีก ให้กำเนิดลูกน้อยที่เป็นบุรุษอีกครั้ง ดีไหม? ไม่ดีเหรอ?” ในระหว่างที่หยอกล้อเด็กทารกที่เพิ่งร้องไห้ก็สงบลงและมองพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นดวงตากลมโตใสราวกับว่าเธอเกิดมารับรู้ทุกสิ่งในโลกด้วยดวงตาของเธอ
ดวงตะวันตกดวงจันทราก็ขึ้นหมุนเวียนสลับกันไป
เย่ว์หยางเห็นภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวทารกคนที่สองถือกำเนิด
ครั้งนี้ยังคงเป็นทารกหญิงต่างจากพี่สาว ทำให้มารดาและสหายกระสับกระส่าย
“เธอมีพลังทำลายล้างอยู่ในร่างของเธอแต่ไม่มีร่องรอยที่ชัดเจน ข้าเกรงว่าข้าเธอจะเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางที่ไม่อาจคาดเดาได้ในอนาคต” สหายหญิงที่มีนิ้วขาวดุจหยกถอนหายใจ
“สบายใจได้ ข้าจะดูแลเธอในอนาคตด้วยชะตาข้านางจะไม่หลงทาง ข้าจะใช้พลังของข้าเปลี่ยนแปลงเธอในหอทงเทียน! เนื่องจากไม่มีน้องชายที่จะรับช่วงต่อจากนั้น ข้าจะรับผิดชอบต่อไปข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!” เด็กสาวคนหนึ่งมีสีหน้ามุ่งมั่น นางกำหมัดของนางแน่น “ข้าจะเป็นคนแรกของหอทงเทียนที่จะบรรลุพลังสูงสุดให้ได้แม้ข้าจะเป็นสตรีก็ตาม ตราบเท่าที่ข้ามุ่งมั่นอย่างหนัก ข้าจะทำให้ได้!”
“อย่าพยายามจนเกินไปนัก เจ้ายังเป็นเด็กอายุน้อยและอยู่เพียงคนเดียวจะเปลี่ยวเหงาเกินไป เราจะภาวนาให้เจ้าได้มีน้องชาย! ครั้งนี้จะต้องสำเร็จ บางทีอาจใช้เวลาสิบปี อาจเป็นร้อยปีหรืออาจเป็นพันปี ต่อให้เราไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป ก็ยังมีพฤกษาอธิษฐานไม่ใช่หรือ?มันจะต้องสำเร็จ ป้าๆ รักเจ้าที่สุด และจะไม่ปล่อยให้เจ้าเดียวดาย...”
***