ตอนที่ 1270 หมาเฝ้าบ้านลืมเอากระดูกให้เจ้า
บันไดสวรรค์ชั้นที่สิบ
ที่นี่คือมิติแตกสลายที่ไม่มีสัญญาณสิ่งมีชีวิต
เนื่องจากมีการสู้รบที่รุนแรงหลายครั้งที่นี่แม้ว่าจะมีกฎสวรรค์และกฎแห่งโลก พื้นที่จะทำการเยียวยาตัวเองโดยอัตโนมัติ แต่หลายพันปีที่แล้วบันไดสวรรค์ชั้นที่สิบยังคงมีมิติแตกไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ สามารถเติบโตที่นี่ได้
ท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีฟ้าสดใสมีหลุมดำเล็กใหญ่ที่น่ากลัวมากมาย
เป็นเช่นนี้มาตลอดเวลา
รอยแยกในท้องฟ้าเหล่านี้กลืนกินพลังงานทั้งหมดที่จำเป็นต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ไม่ต้องพูดถึงร่างกายที่มีชีวิตเลือดเนื้อต่อให้เป็นก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้าเมื่อตกลงไปในนี้ก็สลายกลายเป็นผุยผง
บนพื้นไม่ได้เป็นดินที่อุดมสมบูรณ์มีภูเขาเนินเขาและสายน้ำไหลริน เกาะนับไม่ถ้วนถูกรอยแยกมิติเวลาแบ่งออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยอยู่ข้างหน้าพวกเขา
เหนือเกาะแต่ละแห่งจะมีรอยแยกมิติตัดขาดนอกจากดินที่ใช้ไม่ได้แล้วยังเป็นขยะเสีย
บนพื้นที่เกาะขนาดใหญ่
เงียบสงัด
กลุ่มทหารเกราะทองยืนหยัดมั่นคงดุจภูเขาหนักแน่นมั่นคง
ทหารเพียงสองสามร้อยคนแต่พลังของพวกเขาเพียงพอต่อการกัดกินทุกอย่างในโลกและเชื่อได้ว่าธงชัยของพวกเขาไม่มีใครสามารถหยุดลงได้
ทหารเกราะทองแต่ละคนทรงพลังพวกเขาได้รับการปกป้องโดยเต็นท์ขนาดเล็กที่มองแทบไม่เห็น ดูเหมือนว่าเต็นท์ขนาดเล็กที่ชำรุดทรุดโทรมนี้เป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษมีค่ามากกว่าชีวิตพวกเขาและมีค่ามากกว่าสมบัติใดๆ ด้านหลังของทหารเกราะทองคำเป็นกลุ่มผู้อาวุโสชุดทอง ทุกคนมีหนวดเคราขาวโพลนถือคทาเงินอยู่ในมือนั่งล้อมรอบเต็นท์เล็กอย่างสบายๆ มีหัวหน้าคนหนึ่งมองดูสะดุดตา
ผู้อาวุโสที่ดูทรงปัญญาน่าเคารพแตกต่างทหารเกราะทองที่มีสีหน้าสำรวมเคร่งครัดแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในกลุ่มสังคมเดียวกัน แต่พวกเขาแต่ละคนแตกต่างห่างไกล
ในสองกลุ่มต่างระดับกันนี้
ไม่ว่ามองดูผิวเผินเหมือนจะเข้ากันได้แต่ความจริงเป็นกลุ่มที่ขัดแย้งกันไม่สามารถรวมกันหรือตัดขวางกันได้
เมื่อจักรพรรดินีราตรีลงมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาเพียงมองแวบแรกนางก็พบเห็นความแตกต่างของคนทั้งสองกลุ่มและเห็นความตั้งใจที่แท้จริงของผู้เป็นหัวหน้าที่อยู่ในกระโจมโทรมๆ เจ้านายที่ซ่อนตัวอยู่นั้นไม่ได้สนใจความสามัคคีและความร่วมมือเลย เขาต้องการแค่การแข่งขันและดิ้นรน ยิ่งทั้งสองฝ่ายไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรงก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการปกครองของเขา
“เจ้าเป็นใคร?” จักรพรรดินีราตรีซ่อนตัวอยู่กลุ่มดวงดาวเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ข้าผู้นี้ชื่อจางเว่ยแห่งตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ฉายาว่า ‘เทพทวารบาล’ ผู้อาวุโสสามสุดยอดยังอยู่ด้านหลังข้าถ้าเจ้าไม่มีความสามารถเอาชนะผ่านข้าไปได้เจ้าก็ไม่มีทางได้พบกับสามผู้อาวุโสสูงสุด สำหรับนักรบหอทงเทียนข้าผู้นี้คาดหวังมาตั้งแต่หกพันปีก่อนคิดว่าจะได้ระบายอารมณ์โกรธด้วยดาบที่ทรงพลังนี้มันกำลังหิวโหยและแทบทนไม่ได้!” ในกระโจมเล็กมีเสียงแค่นที่ทรงพลังดังออกมา
“อา..เจ้าคือสุนัขเฝ้าบ้านของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์หรือ? ข้าลืมเอาเนื้อติดกระดูกมาให้เจ้าแทะกิน” จักรพรรดินีราตรีแค่นเสียงเยาะเย้ย
“ไม่เป็นไร ข้าผู้นี้จะใช้เนื้อติดกระดูกของเจ้าแทน!” เสียงน่าเกรงขามที่ดังมาจากในกระโจมโต้กลับทันที
“สุนัขแก่ไม่มีเขี้ยว เจ้ายังไม่ตื่นอีกหรือ?”ปกติจักรพรรดินีราตรีไม่ใช่คนดุร้ายวาจาจัดจ้านแต่เพื่อดึงดูดความเกลียดชังของศัตรูและดึงดูดความสนใจของสุดยอดนักสู้อย่างตงฟางและราชันย์ไร้ใจนางพยายามเลียนแบบน้ำเสียงเย่ว์หยางโจมตีศัตรูที่อยู่ข้างหน้านาง ด้วยสถานการณ์ที่ยากลำบากนางหวังว่าจะเอาชนะช่วงเวลาสามวันให้เย่ว์หยางและจื้อจุนยิ่งทอดเวลานานยิ่งดียิ่งขึ้น
ข้างหน้านางคือเทพทวารบาลจางเว่ยแห่งตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์เหมาะให้นางรับมือ
นางไม่กังวลเรื่องการต่อสู้ของนางกับราชันย์ไร้ใจ
กังวลแค่เวลาอย่างเดียว
ต้องไม่สั้นจนเกินไป
ระยะเวลาสามวันไม่นานนัก แต่จักรพรรดินีราตรีรู้สึกว่าภายใต้การต่อสู้รุมล้อมของนักสู้ระดับเทพทั้งสามอาจเกิดอุปัทวะได้ เพราะเวลานี้การต่อสู้เกินกว่าที่ราชันย์ไร้ใจคาดไปมากเป้าหมายคือนักสู้ระดับเทพคนเดียว
ตอนนี้ไม่ทราบว่าเทพทวารบาลจางเว่ยโผล่ออกมาจากที่ใดทั้งยังเข้าแทรกแซงการต่อสู้ของสงครามเทพ ตามปกติถือว่าเหมาะสมกับจักรพรรดินีราตรี
“เฮอะ! นักรบของหอทงเทียนน่าเบื่อยิ่งนักพวกเขาดีแต่เล่นกลอุบาย นอกจากความสามารถนี้แล้วในช่วงหกพันปีที่ผ่านมาหอทงเทียนไม่ได้มีความก้าวหน้าเลยใช่ไหม?” จางเว่ยเทพทวารบาลดูเหมือนจะดูถูกจักรพรรดินีราตรีว่าเพิ่งเลื่อนเป็นนักสู้ระดับเทพ
“ก่อนเจ้าตายข้าค่อยบอก” จักรพรรดินีราตรีเคลื่อนไหว
ดวงดาวนับไม่ถ้วนฉายประกายอยู่ในท้องฟ้า
เริ่มปรากฏทีละดวงๆ
และกลายสภาพเป็นฝนดาวตกภายในทางช้างเผือกและเข้าถล่มทหารเกราะทองและเหล่าผู้อาวุโสข้างหน้า แน่นอนว่ากระโจมที่มีนักสู้ระดับเทพจางเว่ยอยู่ในนั้นก็รวมอยู่ด้วย
ดาวตกที่ใช้โจมตีราชาสองหัวเผ่ามังกรฟ้าซ่างหลง ข่งหลงกระจายเต็มท้องฟ้าอีกครั้ง
ตอนนี้จักรพรรดินีราตรีเสริมพลังเทพเข้าไปด้วย
มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถทำลายกองทหารเกราะทองที่ยืนอยู่ข้างหน้าให้กลายเป็นฝุ่นสลายหายไปในจักรวาล
นางไม่เข้าใจแม้แต่น้อยสงครามเทพไม่จำเป็นต้องทำให้รูปลักษณ์น่าดึงดูดก็ได้ แค่ใช้ทหารเกราะทองที่มีพลังนักสู้ปราณฟ้าที่ไม่ได้มีพลังใกล้เคียงระดับเทพ ซึ่งยังห่างไกลจากระดับกึ่งเทพ?
ในท้องฟ้าแยกออกมีมือยักษ์ข้างหนึ่งปรากฏทันที
สีทอง
ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์เหนือดวงอาทิตย์
ทันทีที่มันโผล่ออกมาก็ฉายแสงกระจายไปทั่วทั้งโลก
พลังสูงส่งของเทพส่งแรงกดดันนักรบเกราะทองที่ยืนกัดฟันอยู่บนพื้น
จักรพรรดินีราตรีตั้งข้อสังเกตอย่างระมัดระวังขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับทหารเกราะทองเหล่านี้ กลุ่มนักปราชญ์ชุดยาวดูเจ้าเล่ห์มากกว่า พวกเขาไม่เป็นไรเพราะพวกเขาหลีกเลี่ยงพลังกดดันของฝนดาวตก แต่แรงกดดันของยักษ์สีทองทำให้พวกเขาไม่สามารถทำตัวสบายๆ ได้อีกต่อไป ร่างของแต่ละคนต้องอดทนต่อแรงอัดกระแทกของพลังจากเทพทั้งสอง เมื่อเทียบกับทหารเกราะทองกับบัณฑิตเฒ่าแล้ว มีนักสู้ที่มีพลังมากกว่าไม่กี่คน ความแข็งแกร่งของพวกเขาสูงกว่าหนึ่งระดับหรือสองระดับ
มือยักษ์สีทองครอบคลุมท้องฟ้าครึ่งหนึ่งมือนั้นเหยียดออกและตบลงที่ฝนดาวราวกับสายฟ้า
ไม่เพียงเท่านั้น
แต่ยังคงบังคับทิศทางของอุกกาบาตเหล่านั้น
แทนที่จะปล่อยให้พวกมันเข้าไปในรอยแยกมิติหลุมดำ
มือยักษ์ทองบดขยี้อย่างไม่หยุดหย่อนและอุกกาบาตเหล่านั้นแตกกระจายเป็นผุยผงร่วงลงบนฝ่ามือยักษ์ทอง.....เมื่อเห็นฉากภาพนี้ทหารเกราะทอง ที่ถูกตรึงจากพลังกดดันของเทพไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เห็นความคลั่งไคล้ในสายตาของพวกเขา พวกเขามีระเบียบวินัยที่เข้มงวดเมื่อหัวหน้าไม่พูด พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหว แม้ว่าพลังเทพจะมาถึงตัว พวกเขาก็ยังไม่กล้ากระพริบตา เพื่อชัยชนะของเจ้านาย พวกเขาได้แต่ตะโกนเงียบๆ ในใจ
พวกผู้อาวุโสชุดทองไม่ได้ทำอะไร
สีหน้าของพวกเขาตกใจพอๆกันแต่ลึกลงไปในดวงตาของพวกเขายังคงมีประกายปัญญา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ยอมแพ้เทพทวารบาลจางเว่ยผู้หยิ่งยโสพวกเขาไม่ได้เป็นคนของพวกนี้ แต่การลงมือครั้งนี้พวกเขาต้องมารวมตัวกันและต้องเชื่อฟังเขา
จักรพรรดินีราตรีซ่อนตัวอยู่ในทางช้างเผือกและสังเกตอย่างระมัดระวัง
สำหรับคลื่นโจมตีฝนดาวตกนางไม่เพียงแต่แสดงฝีมือเท่านั้น แต่ยังมีความหมายที่ซ่อนเร้น แน่นอนว่าหัวหน้านายกองทหารผู้เรียกตนเองว่าเทพทวารบาลมีพลังแข็งแกร่งระดับเทพสมควรที่เขาจะหยิ่งยโสได้
ก็แค่
เขาเป็นนักสู้ระดับเทพที่หยิ่งยโสเท่านั้น
เขาทำหน้าที่องครักษ์เฝ้าประตูได้อย่างไรทั้งที่เขามีสถานะเช่นนี้?
ราชันย์ไร้ใจหรือเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้แข็งแกร่งขนาดจัดให้นักสู้ระดับเทพเป็นคนเฝ้าประตูหรือ?
ราชันย์ไร้ใจส่งคนผู้นี้มาทดสอบเขามองแผนถ่วงเวลาของนางออกหรือ? หรือว่าราชันย์ไร้ใจและเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้กำลังต่อสู้กันอย่างลับๆในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนได้สมบัติลับแดนล่มสลายแห่งทวยเทพราชันย์ไร้ใจไม่ยินดีจะสิ้นเปลืองกับการใช้พลังเทพ เพราะเขากำลังแข่งกับเทียนอี้
หัวหน้านายกองเทพทวารบาลที่อยู่ข้างหน้านาง
เป็นศัตรูที่ทรงพลังอย่างแน่นอน!
“กลับเป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่เห่าเสียงดัง” จักรพรรดินีราตรียังคงเยาะเย้ยยั่วโมโหเพราะเรื่องการแข่งต่อสู้กันระหว่างราชันย์ไร้ใจและเจ้าตำหนักสูงสุดไม่ใช่เรื่องที่แย่สำหรับนาง
ยิ่งทอดเวลานานยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการฝึกปรือของเย่ว์หยางและจื้อจุน
อย่างไรก็ตามราชันย์ไร้ใจไม่ลงมือกลับใช้ตัวเล่นเพิ่มอย่างหัวหน้าทหารฝีมือระดับเทพ ไม่ว่ายังไงก็ตามนักสู้ระดับเทพมากกว่าสองคนไม่สามารถล้มลงและพ่ายแพ้ได้โดยไม่สนใจเทพทวารบาลก็ได้! ในปัจจุบัสนี้แนวทางที่ดีที่สุดก็คือการต่อสู้กับเทพที่หยิ่งยโสให้นานเป็นการดีที่สุดและควรจะต้องสู้กันสองวันสามคืนเพื่อให้เย่ว์หยางและจื้อจุนมีเวลามากขึ้น... “หมื่นปีที่แล้วตัวข้าได้ฆ่าคนโง่ที่เพิ่งเลื่อนเป็นระดับเทพและทำให้มันจมอยู่กับความตายอย่างไร้ความปราณีมาแล้ว เมื่อหกพันปีก่อน ที่นี่มีคนงี่เง่าคนหนึ่งขอให้ตัวข้ายกเลิกการต่อสู้ บอกว่าความกระหายเลือดจะทำให้จิตใจของคนแข็งกร้าวเกินไปทำให้ส่งผลต่อการฝึกฝน ฮะฮะ เจ้ารู้ไหมว่าเราผู้เป็นเทพทำยังไง?เราผู้เป็นเทพบิดหัวเจ้าผู้นั้นเหยียบมันไว้ใต้ฝ่าเท้าและปัสสาวะราดใส่มันผู้นั้นอีกครั้ง! คนโง่แบบนั้นแม้จะเป็นโถฉี่ให้เทพก็ยังไม่คู่ควร! เจ้าคิดว่าเราผู้เป็นเทพเป็นสุนัขเฝ้าบ้านของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ?นั่นเป็นเรื่องตลก เป็นหลานโดยตรงของผู้สร้างตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์นั้นมีสายเลือดสูงส่ง พวกเขาจะย่ำแย่เลวร้ายจะแย่ยิ่งกว่าราชันย์ไร้ใจและเทียนอี้ได้อย่างไร? เหตุผลที่เราผู้เป็นเทพพร้อมจะรับที่ปกป้องข้าชอบการหมุนเวียนเปลี่ยนหน้าที่ เป็นไปได้อย่างไรที่คนโง่ของหอทงเทียนจะเข้าใจได้...ข้าผู้เป็นเทพมีเกียรติมากที่สุด ความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าผู้เป็นเทพก็คือเมื่อหมื่นปีที่แล้วนางพญาผู้พิชิต สตรีนั่นถูกผนึกที่หน้าประตูตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ไปเสียก่อน มิฉะนั้นคงได้ปะทะกัน และนางจะได้เรียนรู้กับความล้มเหลวพ่ายแพ้!” หัวหน้าทหารผู้เรียกตัวเองว่าเป็นเทพทวารบาลส่งเสียงดังสั่นสะเทือนไปทั้งโลก
“คำสั่งเสียของเจ้ายาวจริงๆ!” จักรพรรดินีราตรีหาวอย่างหงุดหงิด
“นังบ้า! นักรบหอทงเทียนเป็นเช่นนี้เรื่อย เหลืออยู่แค่ปากเดียว เจ้าเห็นกระโจมเล็กนั่นไหมนั่นคือสินสงครามของข้าผู้เป็นเทพ เมื่อหมื่นปีที่แล้วข้าผู้นี้ได้ก่อสงครามทำลายล้างเข่นฆ่าได้สินสงครามของนักรบหอทงเทียนครั้งแรก เจ้าโง่นั่นนำกระโจมนี้เข้ามาในสนามรบ ภายในมีแต่ภรรยาและสนมรัก เขาคิดว่าการต่อสู้คือการละเล่นของเด็กและเขาสามารถเอาชนะได้ตลอดเวลา เขาชอบอวดโอ่ศักดิ์ศรีตัวเองต่อหน้าภรรยาและนางบำเรอ นับว่าโง่จริงๆข้าผู้เป็นเทพใช้ดาบฟันและสังหารเขาภรรยาและสนมที่อยู่ภายในข้าตัดศีรษะมาทำแก้วเหล้า..ข้าผู้เป็นเทพยังคงรักษากระโจมหลังน้อยเอาไว้เป็นสัญลักษณ์แห่งความน่าอับอายของนักรบหอทงเทียนเป็นพยานที่น่าอับอายแต่เชิดชูศักดิ์ศรีข้าผู้เป็นเทพ! เห็นศีรษะของเจ้าแล้วกระโจมน้อยของข้ายังขาดเครื่องประดับที่สวยงาม
“ข้าจะไม่สนทนากับคนเสียสติอีก” จักรพรรดินีราตรีรู้สึกว่ายิ่งนางคุยกับคนอย่างนี้นางรู้สึกสติปัญญาของนางจะถูกลดทอนอย่างรวดเร็ว หากไม่ใช่เพราะต้องถ่วงเวลาล่าช้านางอาจพังกระโจมน้อยที่เบื่อโดยใช้ฝนดาวตกพันดวง หมื่นดวง
แม้ว่าเวลาจะช้าไปโดยไม่จำเป็นแต่จักรพรรดินีราตรีตัดสินใจแล้ว
ไม่คุยกับเทพทวารบาลอีกต่อไป
คนแบบนี้
เป็นแค่คนบ้าวิกลจริตโรคจิตและไร้เหตุผล