ตอนที่ 1262 ข้าเลือกควบคุมชะตาตนเอง
มิติหมากรุก
โต๊ะหินข้างหน้า
บัณฑิตวัยกลางคนถือตัวหมากสีขาวอยู่หน้ากระดานหมากรุกมองดูอยู่เป็นเวลานั้น ลึกลงไปในดวงตาของเขาแฝงไปด้วยแววโกรธเลือนลาง
เขาสะบัดแขนเสื้อเบาๆและฉากภาพต่างๆ หลายสิบฉากในพื้นที่ก่อนหน้านี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เมื่อเขาเห็นนางโคเถื่อนวิ่งไล่ตามขุนพลเทพเทียนหม่าเข้าไปในทางผ่านโบราณและพิชิตขุนพลเทพเทียนหม่าผู้เป็นหนึ่งในสิบแปดขุนพลเทพของเขา บัณฑิตวัยกลางคนอดพึมพำอย่างช่วยไม่ได้ “เป็นเจ้าจริงๆ จักรพรรดิทอง! เจ้าทำได้ลงคอ!”
อสูรพิทักษ์ของเย่ว์ไตตันยังมีชีวิตอยู่
อย่างนั้นนางโคเถื่อนอสูรพิทักษ์ของคุณชายสามไม่ได้ตาย
กล่าวคือจักรพรรดิทองไม่ได้ฆ่าเย่ว์หยางเย่ว์ไตตันนี้เลย ได้แต่หลอกตาด้วยรัศมีสว่างเจิดจ้า!
“บัดซบ..” บัณฑิตวัยกลางคนไม่ใช่คนที่โกรธใครง่ายๆ แต่บัดนี้เขาอดใจไม่ไหวที่จะหยิบชิ้นหมากสำคัญที่เป็นตัวแทนของจักรพรรดิทองบนกระดานและบีบแหลกกระจาย!
ถ้าเป็นแค่เพียงเพื่อป้องกันจักรพรรดิทองคงไม่อาจหักใจฆ่าเย่ว์ไตตันเขาใช้แสงสุริยันต์อัดเย่ว์หยางไปไว้ในมิติที่ไม่รู้จักและทำให้คุณชายสามตระกูลเย่ว์ไม่มีทางได้กลับมายังหอทงเทียนได้อีก นั่นแทบจะไม่ตรงกับบรรทัดฐานขั้นต่ำสุดในใจของเขา
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ดูเหมือนไม่ได้เกิดขึ้น
จักรพรรดิทองใช้รังสีสุริยันต์ควรจะใช้ส่งเย่ว์ไตตันไปไว้ในที่ซึ่งหาตัวไม่พบนอกจากปกป้องเขาแล้ว เขายังมีความตั้งใจส่งเสริมให้ความรู้นักสู้ระดับเทพผ่านสำนึกเทพ
คำที่เขาพูดขณะลงมือฟังผิดปกติมาก
สหายเก่าคนนี้เป็นหนี้บุญคุณยิ่งใหญ่ของเขายอมเพิกเฉยมิตรภาพที่มีมานานเป็นพันปี ไม่คำนึงถึงการทำงานหนักของเขาที่พยายามวางแผนรบมาเป็นพันปี กลับช่วยให้เจ้าเด็กหนุ่มผู้โชคดีรู้แจ้งระดับเทพอย่างน่าอิจฉา ยอมมองผ่านสถานการณ์เสี่ยงของเขาใช้พลังเทพส่งเด็กหนุ่มไปไว้ในสถานที่ปลอดภัยต่อการพัฒนาก้าวหน้า..สหายเก่าทำกันอย่างนี้ได้ยังไง?
ถ้ารู้เร็วกว่านี้เขาคงไม่เรียกจักรพรรดิทองมาจากแดนสวรรค์ดีกว่า
ความรู้สึกโปรดปรานนี้
มาผิดเวลาจริงๆ!
ตอนนี้หลังจากสูญเสียหมากสำคัญที่เป็นตัวแทนของจักรพรรดิทองบนกระดานช่องว่างที่ถูกทิ้งไว้ทำให้เกิดข้อบกพร่องนับไม่ถ้วนที่ไม่อาจคาดเดาได้และเป็นอันตรายที่มิอาจแก้ไขได้ โชคดีที่สถานการณ์โดยรวมของหมากรุกฝ่ายสีขาวของเขายังมีข้อได้เปรียบแน่นอน แม้ว่าตัวหมากที่เป็นตัวแทนของจักรพรรดิทองหายไป
“อย่านึกว่าไม่มีเจ้าแล้วข้าจะล้มเหลว!”
“จักรพรรดิทอง เจ้าสำคัญน้อยกว่าที่เจ้าคิด! หากเจ้าต้องการเล่น นั่นเป็นไปไม่ได้เลย!”บัณฑิตวัยกลางคนวางหมากอีกตัวหนึ่งไว้บนกระดาน ท่าทีของเขาสงบลง “ภายใต้แผนของข้าไม่มีใครพลิกสถานการณ์ได้ ในการเดินหมากข้ามักเป็นผู้ไร้เทียมทานเสมอ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต”
ในขณะเดียวกันนั้น
เย่ว์หยางลืมตาขึ้นและพบว่าตัวของเขาเองกำลังนอนอยู่บนบันไดหิน
พลังกฎสวรรค์โบราณทำให้เขารู้สึกตัวหนักอึ้งและเขาไม่สามารถขยับร่างกายได้ง่าย ราวกับว่าแค่กระดิกนิ้วหรือกระพริบตาต้องใช้พลังงานแทบทั้งตัว
นี่ที่ไหน?
ทำไมเขาไม่เคยเห็นภาพที่นี่มาก่อน?
นอกจากนี้นี่คล้ายกับโลกพฤกษาบันไดสวรรค์ได้อย่างไร?
เขารู้สึกปวดหัวและความทรงจำที่มีคือเขาถูกจักรพรรดิทอง แห่งเผ่ากาทองสามขา หุบเขาสุริยันต์ต่อยกระเด็น จักรพรรดิทองตั้งใจมาที่นี่? นอกจากนี้เขาคิดว่าเขาถูกโยนลงไปในรอยแยกมิติเวลา สถานที่ๆ เขาจะไม่พบทางกลับไปที่หอทงเทียนคิดไม่ถึงว่าเขายังไม่ได้จากไป โลกพฤกษา นี่คือโลกพฤกษาในบันไดสวรรค์แน่นอน แต่ต้องขึ้นมาอีกกี่ขั้นถึงจะมาที่ขั้นนี้ได้และที่นี่มีพลังกล้าแข็งหนักหน่วงแบบนี้ได้อย่างไร? มันแข็งแกร่งพอๆ กับตัวเขาเองและเกินความแข็งแกร่งของระดับเทพแท้ แต่เขายังไม่ได้เลื่อนเป็นระดับเทพทางการดังนั้นเขาจึงหายใจลำบาก นี่เป็นระดับเหนือขั้นที่ห้าแสนไม่ใช่หรือ?
“นี่คือขั้นที่หนึ่งล้าน!”
เสียงหนึ่งดังหนึ่งอย่างน่าประหลาดใจแทบจะทำให้เย่ว์หยางลุกพรวดพราดเมื่อได้ยิน
เย่ว์หยางพยายามดิ้นอย่างแรงหันกลับไปข้างหลังและเงาหลังของคนที่เหมือนคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยยืนอยู่กับที่เงียบๆ
ความคุ้นเคยก็คือหลังของผู้นี้เขาไม่มีทางลืมได้ ส่วนที่ไม่คุ้นเคยจากการมองด้านหลังเท่าที่จำได้ก่อนหน้านี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่น่าเชื่อและเขาคาดไม่ถึงจึงมีความรู้สึกขัดแย้งอยู่ภายในเป็นภาพลวงตาที่ทั้งคุ้นเคยและทั้งไม่คุ้นเคย
นั่นคือจื้อจุน!
นางคือจื้อจุนสตรีที่ทุกคนนับถือ
นางไม่ได้หันมามองเหมือนเมื่อก่อน นอกจากการปรากฏตัวครั้งแรกในค่ายซางอู่นางมักหันหลังให้เขาเสมอ อาจเป็นเพราะศักดิ์ศรีของนางเอง นางไม่ยินดีจะปรากฏตัวในฐานะผู้สอนไม่เต็มใจจะพบเขาผู้ไม่สามารถเอาชนะตนเองได้
นางสามารถดูแคลนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้
แต่นางไม่ต้องการเห็นเขาอยู่ในกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีระดับต่ำกว่าเหล่านั้น
ไม่มีใครอยากให้เย่ว์หยางเติบโตก้าวหน้ารวดเร็วเหมือนนาง
เพียงแต่เมื่อเขาเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นราชันย์ผู้ครองโลกคนใหม่ทำหน้าที่ผู้ปกป้องหอทงเทียนแทนนางได้ นางจึงรู้สึกโล่งใจ
“ข้าบอกแล้วว่าจะไปรอเจ้าที่บันไดขั้นที่ล้าน” จื้อจุนพูดเช่นนี้ เย่ว์หยางค่อยจำได้ ใช่แล้ว นางพูดอย่างนี้ หลังจากทำได้สำเร็จแล้วเขาจะมีโอกาส
“อะแฮ่ม, ข้าสับสนจริงๆ ข้าไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเกิดอะไรขึ้น” เย่ว์หยางลูบหลังศีรษะและยิ้มเขินอาย
“เจ้านี่โง่ไปได้ ข้านำเจ้าขึ้นมา เจ้าปล่อยให้จักรพรรดิทองต่อยเจ้ากระเด็นเข้าไปในรอยแยกมิติเวลาของบันไดสวรรค์ ข้าใช้ความพยายามมากมายจึงดึงเจ้ากลับมาได้ เจ้าคิดว่าจักรพรรดิทองใจดีนักหรือถึงได้ส่งเจ้ามาที่นี่? นอกจากนี้ เขาไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น! ไม่มีใครสามารถผ่านเข้ามกฎสวรรค์แห่งบันไดสวรรค์ได้ ข้าดึงเจ้ามาได้เพราะ... นี่คือความลับเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ความจริง” จื้อจุนพูดว่าเป็นความลับ จากนั้นเย่ว์หยางไม่สงสัยต่อไป นางลังเลจะพูด เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์สำหรับการรับรู้ความจริงจากปากของนาง
“เหรอ? อย่างไรก็ตาม ข้าก็ยังมาถึงเป้าบันไดสวรรค์ขั้นที่ล้าน!” เย่ว์หยางจับจุดสำคัญได้เมื่อมาถึงขั้นที่ล้าน เขาสามารถไล่ตามนางได้ไม่ว่านางจะไปทางไหน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเล่นบทโกง
“ไม่สำคัญ เจ้าต้องกลับไปอีกครั้ง” จื้อจุนรู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่ไม่จริงใจ
“อ๊า..ไม่เหรอ?” เย่ว์หยางงง
กลับไปปีนใหม่หรือ
ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด?
อย่าว่าแต่ไต่จนถึงขั้นที่ล้าน แม้ว่าจะทำได้ก็ไม่รู้ต้องใช้เวลานานเท่าใดอาจไม่จำเป็นต้องชนะปณิธานของบรรพบุรุษยุคโบราณที่นี่ อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้วกลับไม่นับช่างน่าสมเพชเหลือ
เย่ว์หยางกำลังมองหาข้ออ้างอย่างเช่นแดนสวรรค์รุกรานเลยไม่ว่างปีนบันได
แน่นอนว่านี่ไม่อาจนับว่าเป็นเหตุผลที่ดี
ตอนนี้เขาไม่มีความพยายามจะปีนอีกครั้ง
นอกจากนี้ไม่ว่าเขาจะอ้างว่าฝึกฝนหรือไม่ก็ไม่มีเหตุใดที่จะบอกว่าไม่ควร
ขณะที่เย่ว์หยางไม่รู้ว่าจะโน้มน้าวใจอย่างไรทันใดนั้นจื้อจุนโบกมือให้เขาเบาๆ “ยังไม่ต้องพูดเรื่องนี้ตอนนี้ก่อน ตอนนี้มาคิดหาวิธีจัดการกับวิกฤตหอทงเทียนก่อน! ตงฟางคนทรยศได้วางแผนมาหลายพันปีแล้วและเกือบจะหมื่นปีไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะเขา เขาคงจะมีคนหนุนหลังที่เรายังไม่รู้ เราต้องมีพลังแข็งแกร่งมากกว่านี้มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถสู้เขาได้! นอกจากนี้แม้ว่าเราจะเอาชนะตงฟางได้แต่เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ที่ยังซ่อนตัวอยู่ เขาจะต้องออกมาลงมือทันที.... เจ้ายังไม่เติบโตเต็มที่และเราจะอ่อนแอที่สุดหลังจากสงคราม นั่นจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดให้เขาโจมตี”
“ข้ารู้ว่าศึกครั้งสู้ได้ยากมาก” เย่ว์หยางพยักหน้า แต่เขาไม่ท้อ “ต้องกัดฟันสู้ฝ่าฟันความลำบากด้วยกันข้ากล้าพูดว่าในอดีตเราไม่มีภัยคุกคามเพียงพอ พวกเขายังไม่ได้โจมตีเราล่วงหน้ามากนัก ตราบใดที่เราใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบของเรา ตราบนั้นชัยชนะสุดท้ายจะเป็นของเรา!”
“เจ้ามีผู้พิทักษ์จากเผ่าอมตะคอยปกป้องข้ารู้เรื่องนี้แน่นอน” จื้อจุนลังเลเล็กน้อยจากนั้นปฏิเสธเสียงนุ่ม “ชัยชนะสุดท้ายจะตกเป็นของเจ้า นี่เป็นเรื่องจริงแน่นอนแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นของหอทงเทียน”
“อะไรนะ?” เย่ว์หยางตกใจหลังจากได้ยิน
“ตาทิพย์ของข้าไม่สามารถเห็นอนาคตนี้ได้ชัดเจน แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะชนะในท้ายที่สุด อย่างไรก็ตามราคาที่ต้องจ่ายไปในระหว่างนั้นข้าไม่สามารถเห็นได้.... บางทีอาจมีคนตายหลายคนบางทีคนเหล่านั้นอาจมีข้า อาจมีจักรพรรดินีราตรี หรืออาจเป็นสาวน้อยรอบๆตัวเจ้า... ฟังข้าให้ดีเย่ว์หยาง ถ้าเจ้าแข็งแกร่งไม่พอ เจ้าจะไม่สามารถเข้าใจพลังโชคชะตาได้ เมื่อเจ้าไม่สามารถเชี่ยวชาญพลังโชคชะตา อย่างนั้นเจ้าจะปล่อยให้โชคชะตาครอบงำเจ้าจะต้องดิ้นรนต่อสู้ภายใต้พลังเทพของคนอื่น เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าจะรับรองความปลอดภัยของคนที่เจ้ารักได้อย่างไร?”
“ไม่ ไม่ ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น!” เย่ว์หยางกลัวจนหลั่งเหงื่อเยียบเย็น เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลย แม้แต่คนที่อยู่รอบตัวเขาก็ตกอยู่ในการต่อสู้ครั้งนี้ผลเช่นนั้นเขายอมรับไม่ได้แน่นอน
“ดังนั้นเจ้าไม่เพียงแต่ต้องมีอำนาจควบคุมชะตาของเจ้าเอง แต่ต้องมีพลังในการควบคุมชะตาของคนอื่นด้วย ไม่เพียงแค่เจ้าและคนที่เจ้ารักเท่านั้นยังรวมถึงบริวารเจ้า คนที่ยืนหยัดเคียงข้างเจ้าคนที่หนุนหลังเจ้าญาติสนิทมิตรสหายของเจ้าอีกเป็นพัน ชะตาของคนเหล่านี้อยู่ในมือของเจ้า พวกเขาจะปลอดภัยเจ้าเข้าใจความหมายของข้าไหม? เจ้าเข้าใจหน้าที่ของตนเองหรือไม่เจ้าเข้าใจความหมายที่แท้จริงและกระบวนการชีวิตที่เป็นไปหรือไม่? ถ้าเจ้าเข้าใจแล้ว อย่างนั้นเจ้าต้องเข้าใจจุดอื่นด้วยนั่นคือเจ้ามีพลังจะปกป้องและควบคุมชะตากรรมของผู้อีกมากมายแค่ไหน”
คำพูดของจื้อจุนำให้เย่ว์หยางหลั่งเหงื่อเยียบเย็น เขารู้ว่าเขามีพลังที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ
แต่ต้องบอกตามตรงเขาไม่รู้จริงๆ ว่าเขาทรงพลังมากมายขนาดไหน
จนกระทั่งบัดนี้เวลาที่เขาอยู่ในสภาพคลั่งควบคุมตนเองไม่ได้ พลังของเขาจะน่ากลัวมากกว่าปกติ!
สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทุกวันนี้ตัวของเขาเองเลื่อนระดับพลังจนมาถึงระดับนี้ ยังอยู่ห่างไกลขีดจำกัดของพลังห่างจากกการเข้าถึงพลังทั้งหมดที่เขาควรจะเชี่ยวชาญ..
มีศักยภาพเพื่อความไม่มีที่สิ้นสุด แต่กลับไม่มีวิธีแสดงออกมา
แต่เขาต้องมาคอยดูคนทรยศหอทงเทียนอย่างเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางและเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ข่มเหงญาติสนิทมิตรของตนเองโดยไม่สามารถช่วยได้หรือ?
ไม่ ไม่เรื่องนี้เขาไม่ต้องการเห็นอย่างแน่นอน
นี่ไม่ใช่เกมจะไม่มีทางฟื้นคืนชีพได้ หากเขาต้องการให้คนที่เขารักอยู่กับเขาได้ตลอดเวลา เขาต้องทำให้คนเหล่านั้นอยู่รอด เขาต้องใช้พลังอำนาจที่เขายังไม่เชี่ยวชาญนั้นให้ได้เพื่อโค่นล้มศัตรูและโจมตีผู้รุกรานปกป้องชีวิตคนในบ้านเกิดตนเอง ดูแลคนในครอบครัวและคนรักของตนเอง
เย่ว์หยางกำหมัดแน่นสูดหายใจลึก พยายามสงบอารมณ์ตนเองกลับไปสู่สภาวะว่างเปล่าจากนั้นมองหน้าจื้อจุนโดยตรง “โปรดสอนข้า ข้าควรจะทำอย่างไร”
“นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการบอกเจ้า วันหนึ่งมีมารดาวัยสาวเก่งกาจไร้เทียมทานนางมาพบข้าและบอกความจริงเกี่ยวกับอนาคตบางประการที่ทำให้ข้างงงวยในเวลานั้นจนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่ข้าไต่ระดับไปถึงบันไดขั้นที่ล้าน ข้าจึงได้ทราบความหมายทั้งหมดที่นางทิ้งไว้ที่นี่ ในที่สุดข้าจึงได้รู้ความลับทั้งหมดที่อยู่ต่อหน้าต่อตาข้าและข้ารู้ว่าข้าควรจะทำอย่างไร.... ในบันไดขั้นที่ล้านนี้ข้าจะสอนทุกอย่างที่มารดาสาวผู้นั้นบอกข้าไว้ให้กับบุตรของนางโดยข้าจะไม่สงวนเอาไว้ นอกจากนี้ข้าจะช่วยเหลือบุตรของนางตามคำขอของมารดาสาวผู้นั้นจนกว่าเขาจะเป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ของหอทงเทียนที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์อย่างไม่เคยมีมาก่อนนักสู้เทพจอมราชันย์!”
จื้อจุนหันหน้ากลับมาหาเขา “นั่นคือเจ้า”นางยิ้มให้เขาจนเขารู้สึกสั่นสะท้านในวิญญาณ
ตาทิพย์ของนางสามารถมองลึกเข้าไปในหัวใจของเขาและผสานเข้ากับจิตวิญญาณของเขาโดยไม่ต้องพูดอะไรและเย่ว์หยางสามารถรับความคิดและจิตสำนึกของนางได้เต็มที่ “พลังแห่งโชคชะตานั้นเตรียมไว้ให้เจ้า เจ้าพร้อมจะรับผิดชอบพลังแห่งโชคชะตาที่เจ้าควรจะมีหรือยัง?”
เย่ว์หยางเดินผ่านเข้าไปโดยไม่มีการเหนี่ยวรั้งหรืออิทธิพลใดๆส่งผลต่อเขาอีกต่อไป เขาสำรวมใจโอบกอดสุดยอดนักสู้แห่งหอทงเทียนผู้ที่ชาวโลกเรียกว่าจื้อจุน “ข้าเลือกเป็นเจ้านายแห่งโชคชะตา กำหนดชะตาของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นของข้าเองหรือของท่านหรือจักรพรรดินีราตรี ฝ่าบาทข้าจะไม่ปล่อยให้อู๋เสียและเชี่ยนและคนอื่นต้องตายไปต่อหน้าข้า พวกนางคือคนของข้าตลอดไป!”