ตอนที่แล้วบทที่ 5-6
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9-10

บทที่ 7-8


บทที่ 7

คาดไม่ถึง

เมิ่งอวิ๋นเสียงเอนตัวลงนั่งอย่างแผ่วเบา ขาและเท้าของเจียงหลูเยวี่ยเป็นเหน็บชาจากการคุกเข่า บัดนี้ร่างกายของนางสั่นเทาเล็กน้อยและไม่อาจทนได้อีกต่อไป

ก่อนที่นางจะล้มลง เมิ่งอวิ๋นเสียงเผยรอยยิ้มจาง “ทำงานหนักหน่อยนะน้องสาว ข้าค่อนข้างพิถีพิถัน”

เจียงหลูเยวี่ยรับคำ น้ำเสียงของนางอ่อนโยนไม่มีอะไรผิดปกติ

เมิ่งอวิ๋นเสียงโบกมือให้เจียงหลูเยวี่ยลุกขึ้น ปี้เหลียนที่ยืนอยู่ข้างนางรีบก้าวเข้ามาพยุงนางไว้ทันที

ปี้เหลียนระมัดระวังอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้ผิดพลาด แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะแอบบีบมือของเจียงหลูเยวี่ย จากนั้นก็ผ่อนแรงลง

เจียงหลูเยวี่ยลุกขึ้นยืนโซเซ เมื่อจิ่งหรงเห็นเช่นนี้เขาก็รีบก้าวมาข้างหน้าทันที ก่อนจะวางมือลงบนแขนของนาง แล้วร่างกายที่อ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกของนางก็ตกลงสู่อ้อมแขนของเขาอย่างแผ่วเบา

“ไท่จือโปรดประทานอภัย เยวี่ยเอ๋อหมดแรงจริง ๆ เพคะ...” นางทรุดตัวลงในอ้อมแขนของจิ่งหรงแล้วพูดทั้งน้ำตา ใบหน้าของนางราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน ผู้คนเห็นแล้วย่อมรู้สึกสงสาร

“ไม่เป็นอะไรเลย” จิ่งหรงยกยิ้มอย่างโล่งใจ ก่อนจะจ้องไปยังเมิ่งอวิ๋นเสียงอย่างดุดันและหวาดระแวง

จากนั้นเขาก็โอบเอวเจียงหลูเยวี่ยแล้วรีบเดินทางกลับตำหนัก ทิ้งคนอื่นที่เหลือไว้ข้างหลัง

เมื่อพ่อบ้านเห็นบรรยากาศน่าอึดอัดเช่นนี้ก็ทักทายทุกคนในงานเลี้ยงทันที เมื่อแขกเริ่มแยกย้ายกันไป เมิ่งอวิ๋นเสียงก็หมดความสนใจจึงตบก้นยืนขึ้น ทันใดนั้นเสียงหัวเราะที่ชัดเจนก็ลอยเข้ามาในหูของนาง คำพูดไร้สาระและขี้เล่นของเขากระตุ้นความสนใจของนาง

“วันนี้ไท่จือเฟย ช่าง... ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

เมิ่งอวิ๋นเสียงเงยหน้าขึ้นมอง พลันก็พบว่ามีสายตาสดใสราวดอกท้อคู่หนึ่งจ้องมองมาที่นาง พร้อมรอยยิ้มมีเสน่ห์

ชายคนนั้นถือพัดกระดาษที่มีตัวอักษรแนวนอนวาดด้วยหมึกอยู่บนนั้น ท่าทางของเขาดูสง่างาม คิ้วคมและใบหน้ามีเสน่ห์น่าดึงดูด

เมิ่งอวิ๋นเสียงตาเป็นประกาย นางหรี่ตามองอย่างระมัดระวัง ดวงตาของเขาเป็นประกายราวดวงดารา ผิวขาวผ่อง  และใบหน้าเนียนราวประทินโฉมด้วยผงแป้ง นางอดอุทานในใจไม่ได้ว่า ช่างขาวผุดผ่องและหล่อเหลาเสียจริง

ไป๋เฉารีบก้าวเข้ามากระซิบข้างหูของนาง “นี่คือจิ่งฮวา หวงจื่อลำดับที่หกผู้มีเสน่ห์ เป็นการดีกว่าหากไท่จือเฟยจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวเพคะ”

เมิ่งอวิ๋นเสียงไม่สนใจ นางเม้มริมฝีปากแล้วยกยิ้ม         “เฮ้ ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาท่านนี้มาจากที่ใดหรือ?”

พัดกระดาษในมือของจิ่งฮวามีน้ำหนักเบาและงดงาม ดวงตาราวดอกท้อคู่นั้นเป็นประกาย เมื่อเขามองตรงมาที่นาง เขาก็เลิกคิ้วขึ้น “ไม่แปลกใจที่ไท่จือเฟยจะไม่รู้ ในตอนที่เจ้ากับพระอนุชาอภิเษกสมรสกันข้ายังอยู่ที่หนานหยาง และไม่ได้ร่ำสุรางานอภิเษกสมรสของเจ้าเลยสักจอก”

แม้เขาจะบอกว่าเสียดาย แต่ใบหน้าของเขาปราศจากความใส่ใจ

เมิ่งอวิ๋นเสียงแสร้งทำเป็นรับรู้ทันที “ข้าก็นึกว่าบุรุษรูปงามราวเทพบุตรที่ไหน ปรากฏว่าเป็นน้องชายหวงจื่อลำดับที่หกนี่เอง”

จิ่งฮวาวางพัดกระดาษลงแล้วปลื้มปริ่มกับคำชมนั้น เขาต้องการได้ยินคำเยินยอมากเหลือเกิน

เมิ่งอวิ๋นเสียงเหน็บแนมเขาว่า “เช่นนั้นที่หนานหยางจะต้องมีสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ จึงทำให้น้องชายหวงจื่อลำดับที่หกอยู่ที่นั่นเสียจนลืมกลับมา?”

เมื่อเห็นแขกเหรื่อเดินกันพลุกพล่าน จิ่งฮวาก็เดินเข้ามาหานางด้วยรอยยิ้มแล้วกระซิบเสียงเบา แก้มของเขาเกือบชิดกับหูของนาง “ใช่แล้ว สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในหนานหยางก็คือสตรีที่นั่น พวกนางทุกคนล้วนมีรูปโฉมงามแฉล้ม เพียงแค่ได้สัมผัสใบหน้าก็สามารถสัมผัสได้ถึงความสดใส ขับร้องเพลงไพเราะเสียจนทำให้รู้สึกราวกับสูญเสียไปครึ่งร่างกาย”

เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนทะเล้น และคำพูดของเขาก็ค่อนข้างไร้สาระจนแทบทนไม่ได้ แต่รอยยิ้มมีเสน่ห์และสายตายิ้มแย้มของเขาทำให้หัวใจของผู้คนสั่นไหวได้

ความหล่อเหลาเช่นนี้ ยากที่จะควบคุมเสียจริง

เมิ่งอวิ๋นเสียงสงบลงเล็กน้อย นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและแสดงท่าทางผิดหวัง “เมื่อได้ยินน้องชายหวงจื่อลำดับที่หกกล่าวเช่นนี้แล้วข้าก็รู้สึกสงสัย สตรีในเมืองของเราไม่อาจเทียบกับสตรีโฉมงามแฉล้มแห่งหนานหยางได้เลยหรือ?”

จิ่งฮวาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา ดวงตาราวดอกท้อของเขาหรี่ลง “พี่สะใภ้ช่างสนใจเรื่องนี้เสียจริง  สุดยอด สุดยอด!”

เมิ่งอวิ๋นเสียงทำเป็นเหลือบมองเขาอย่างไม่พอใจ และพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “อย่าบอกนะน้องชาย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่มีความคิดเช่นนี้”

จิ่งฮวารู้สึกประหม่ากับสิ่งที่นางพูด เขายกพัดขึ้นปิดใบหน้า ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยแล้วส่ายหัว

บทที่ 8

ไท่จือเฟยผู้ฉาวโฉ่

เมิ่งอวิ๋นเสียงเห็นว่าเขาเสแสร้งจึงอดไม่ได้ที่จะต้อนเขา นางจ้องมองเขาเพื่อทดสอบ “น้องชาย เจ้าเพิ่งกลับมาจากหนานหยาง คงไม่ได้ออกจากวังมาเพื่อเดินเล่นใช่หรือไม่?”

“อย่างที่พี่สะใภ้บอก ก็แค่...” จิ่งฮวาพูดออกมาครึ่งหนึ่ง

เขาถูกเสียงหัวเราะของเมิ่งอวิ๋นเสียงขัดจังหวะ “หากเป็นเช่นนั้นพี่สะใภ้ก็จะเป็นผู้นำทางให้เจ้า และพาออกไปนอกวังอย่างเต็มใจ”

ในตอนนั้นเองจิ่งฮวาก็ตระหนักได้ว่านางมีความปรารถนา แต่เขาก็ยังคงยกยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้สิ เมื่อพี่สะใภ้ว่างก็ส่งจดหมายมาได้เลย แล้วน้องชายจะไปหาตามนัดหมาย”

เมิ่งอวิ๋นเสียงดูพึงพอใจด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง นางเอื้อมมือออกไปตบไหล่ของเขา “เลือกวันสู้วันที่เหมาะสมไม่ได้ พรุ่งนี้เจ้ามาหาข้าที่ตำหนักได้เลย”

เมื่อนางจะจากไปแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองและยกยิ้ม ก่อนจะบอกเขาว่า “จำไว้ จำไว้ อย่ารอช้า”

จิตใจของจิ่งฮวายังคงนึกถึงรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาของนาง

ฝูซางคนรับใช้หนุ่มกระโดดเข้ามาพูดกับเขาด้วยความสับสน “ฝ่าบาท ข้าน้อยรู้สึกว่าไท่จือเฟยผู้นี้ค่อนข้างแตกต่างจากที่ผู้คนเล่าลือกัน... แตกต่างยิ่งนัก”

จิ่งฮวาขมวดคิ้วแล้วถามด้วยความสนใจอย่างยิ่ง “แตกต่างอย่างไร?”

“มีข่าวลือฉาวโฉ่ว่าไท่จือเฟยเป็นคนขี้อิจฉาอย่างร้ายกาจ ไม่อาจทนเห็นคนอื่นดีกว่าตนได้ มีความทะนงตน เย่อหยิ่งและเอาแต่ใจตัวเอง....”

ฝูซางเริ่มพูดตำหนิเมิ่งอวิ๋นเสียงโดยไม่คิดอย่างจริงจัง คำพูดที่ไม่ดีมากมายออกมาจากปากของเขา

สุดท้ายเขาก็สงสัยว่า “บัดนี้ไท่จือเฟยผู้นี้กำลังเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของไท่จือ ทว่านางกลับยังคงสนใจที่จะเชิญชวนท่านให้เล่นด้วยกัน นางสับสนอะไรอยู่หรือไม่?”

จิ่งฮวาแสยะยิ้มมุมปากแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม “เปิ่นหวางคิดว่าพี่สะใภ้ช่างน่าสนใจกว่าข่าวลือยิ่งนัก”

เจียงหลูเยวี่ยซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของจิ่งหรงพลางร้องไห้ “ฮือฮือ” เสื้อด้านหน้าของเขาจึงเปียกทันที จิ่งหรงก้มมองเจียงหลูเยวี่ย นางแสร้งพูดด้วยความสำนึกผิดว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดของเยวี่ยเอ๋อเองเพคะ ตอนที่ยกน้ำชาให้พี่สาว หม่อมฉันคุกเข่านานเกินไป มันจึงกลายเป็นเช่นนี้...”

นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกระซิบแผ่วเบา “ไท่จือโปรดอย่าได้กล่าวโทษพี่สาว...”

เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ จิ่งหรงก็หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดด้วยความไม่พอใจว่า “มันเป็นเพราะนางเองที่สร้างปัญหา!      เยวี่ยเอ๋อ เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจนางเลย พรุ่งนี้เปิ่นหวางจะอธิบายให้นางฟังเองว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องยกน้ำชาไปให้นางทุกวัน”

เจียงหลูเยวี่ยไม่ได้เอ่ยตอบ นางซุกหน้าไว้ในอ้อมแขนของจิ่งหรงพลางสะอื้นไห้เบา ๆ เมื่อจิ่งหรงเห็นความทุกข์ของนางก็กอดนางแน่นแล้วรีบเร่งฝีเท้าเพื่อไปที่ห้อง

เมื่อเห็นเมิ่งอวิ๋นเสียงเดินหน้าเชิดมาจากปลายทางเดิน อู๋ถงก็ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะหนึ่ง เขามองเข้าไปในห้องแล้วมองดูคนที่กำลังเดินมา เหตุใดจึงมีไท่จือเฟยสองคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันได้?

เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงเดินมาตรงหน้าเขา นางก็ชี้ไปที่กุญแจใหญ่สามตัวที่หน้าประตูแล้วกล่าวว่า “บัดนี้ไท่จืออภิเษก       สมรสเรียบร้อยแล้ว การคุมขังนี้จึงถูกยกเลิก เจ้าไม้แห้ง ถึงเวลาโบกมือลากันแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้านไปหาแม่ของตัวเองเถอะ!”

อู๋ถงยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผากของตน แล้วไขกุญแจเพื่อให้นางเข้าไป จากนั้นเขาก็มองเห็น “ไท่จือเฟย” ในห้องหันกลับมา เมื่อมองอย่างชัดเจนก็พบว่าแท้จริงแล้วคือ   ชิงหลัว

ช่างสะเพร่าและประมาทเสียจริง! เมื่อนึกได้ว่าทหารองครักษ์ผู้สง่างามและถือดาบอยู่ในตำหนักบูรพาของไท่จือเช่นเขา ถูกหลอก เพราะกลอุบายเห็นแก่กินเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ก็ช่างน่าอดสู!

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้กินขนมงานแต่งแม้เพียงสักคำ อู๋ถงจ้องหน้าเมิ่งอวิ๋นเสียงด้วยความโกรธขณะใส่กุญแจสามตัวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม และพร้อมที่จะคุกเข่าหน้าตำหนักของจิ่งหรงเพื่อสารภาพผิด

เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงมองเขาก้มตัวลงแล้วก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ คนผู้นี้ช่างใสซื่อยิ่งนัก!

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้วนางก็ก้าวผ่านประตูเข้าไปโดยไม่สนใจอีกต่อไป เมื่อไปถึงเก้าอี้ยาวก็เอนตัวลงแล้วผล็อยหลับไปทันที

ไป๋เฉาขมวดคิ้วแล้วจับนางเขย่าสองสามครั้งด้วยท่าทีของคนที่ “ไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้” “เหตุใดไท่จือเฟยจึงไม่เปิดเผยต่อไท่จือว่าเจียงหลูเยวี่ยจงใจใส่ร้ายว่าท่านทำให้นางสะดุด? เหตุใดจึงทำให้ท่านเองเป็นคนผิดและทำให้ไท่จือโกรธเช่นนี้ด้วยเล่าเพคะ?”

เมิ่งอวิ๋นเสียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย “ไท่จือจะฟังคำอธิบายของข้าได้อย่างไร? มันเสียเวลาหากข้าจะเรียกร้องความยุติธรรมจากเขา เป็นการดีกว่าสำหรับข้าที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวข้าเอง เนื่องจากเจียงหลูเยวี่ยจงใจยั่วยุ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นข้าก็จะตอบแทนให้อย่างสาสมแบบฟันต่อฟัน”

นางเน้นสี่พยางค์หลังอย่างหนักแน่นพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด