บทที่ 5-6
บทที่ 5
ดอกบัวขาว
เมิ่งอวิ๋นเสียงซ่อนตัวปะปนกับฝูงชนอย่างเชื่อฟัง และมองดูจิ่งหรงลงจากหลังม้าอย่างมีความสุข
เพื่อนเจ้าสาวทักทายเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเชิญ จิ่งหรงมารับเจ้าสาวลงจากคานหาม
จิ่งหรงทักทายสตรีผู้หนึ่งที่สวมมงกุฎหงส์ และมีผ้าคลุมหน้าปกปิดใบหน้าของนางไว้ แล้วทั้งสองก็จับมือกันเดินไปบนทางเดินที่ปูด้วยผ้าสักหลาดสีแดง
เมิ่งอวิ๋นเสียงมองร่างระหงที่ย่างก้าวแช่มช้า และชั่วขณะหนึ่งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าใบหน้าใต้ผ้าคลุมหน้านั้นจะงดงามสักเพียงใด
ราวกับเทพเจ้าหยั่งรู้ความคิดของนาง จึงโบกพระหัตถ์ทำตามความปรารถนาของนาง ทันใดนั้นลมกระโชกแรงก็พัดผ้าคลุมหน้าจนเปิดออกครึ่งหนึ่ง เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงมองตรงไปก็เห็นดวงตาเป็นประกายคู่หนึ่งมองตรงมาที่นาง
ผ้าคลุมหน้าร่วงหล่นลงอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงแวบเดียวเท่านั้นก็ดูราวกับเป็นเพียงภาพลวงตาในช่วงเวลาสั้น ๆ
เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงมองเห็นดวงตาที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำ สดใสและเร้าอารมณ์ นางก็ถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่ง
เจียงหลูเยวี่ยก้าวแช่มช้าอย่างสง่างามขณะข้ามธรณีประตู เท้าของนางยื่นออกมาจากชายกระโปรงยาวที่ปักลายหงส์ ทันใดนั้นร่างกายของนางก็ทรุดลงกับพื้น
เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงเห็นนางนอนอยู่แทบเท้าของตน นางก็นึกอยากจะกระโดดออกไปจัดการ นางเห็นว่าเจียงหลูเยวี่ยดูอ่อนโยนราวกับไม่มีกระดูก แต่ขาของนางแอบออกแรงกดลงบนหลังเท้าของนาง จึงทำให้นางไม่อาจเคลื่อนไหวได้
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำให้ผู้คนแตกตื่น จิ่งหรงเกรงว่าเจียงหลูเยวี่ยจะถูกทำร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาจึงรีบเอื้อมมือออกไปช่วยให้นางลุกขึ้น
ทันทีที่เจียงหลูเยวี่ยก้มศีรษะลง ผ้าคลุมหน้าที่อยู่บนศีรษะก็ร่วงหล่นลงสู่พื้น เผยให้เห็นใบหน้าที่มีคิ้วและตาอันงดงามทันที คิ้วโก่งงาม ใบหน้าราวภาพวาด ดวงตาราวกับสระน้ำใส และความกังวลเล็กน้อยที่ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของนางยิ่งทำให้นางดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น
ทุกคนต่างพากันชื่นชมไปชั่วขณะหนึ่ง แม่นางเจียงผู้นี้งดงามสมฐานันดรศักดิ์ยิ่งนัก
จิ่งหรงย่อมแสดงความห่วงใยต่อหญิงสาวที่งดงามถึงเพียงนี้ “เยวี่ยเอ๋อ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
เจียงหลูเยวี่ยส่ายหน้าแผ่วเบา ปิ่นปักผมบนผมของนางไม่สั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย นางขมวดคิ้วมองจิ่งหรงแล้วพูดว่า “เยวี่ยเอ๋อไม่ทันระวังจึงบังเอิญสะดุดขาใครสักคนเพคะ”
ใบหน้าของจิ่งหรงเย็นชาไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ก็พบเมิ่งอวิ๋นเสียงที่ถอยเท้ากลับไป
เมื่อเห็นว่าเป็นฝีมือของเมิ่งอวิ๋นเสียงจริง ๆ ใบหน้าของจิ่งหรงก็บูดบึ้ง เขาดึงตัวนางไปด้านหน้าก่อนจะกัดฟันพูดว่า “เมิ่งอวิ๋นเสียง เจ้าต้องการจะทำอะไร?”
เมิ่งอวิ๋นเสียงยกมือขึ้นตบปกเสื้ออย่างเฉยเมย แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ท่านจะโกรธอะไรข้า แขกทุกคนต่างกำลังจับตามองอยู่”
หลังจากที่เขาเอ่ยเตือนนางแล้ว จิ่งหรงก็จำต้องระงับความคับข้องใจที่เกิดขึ้นเพราะนางเอาไว้ก่อน ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม
เมิ่งอวิ๋นเสียงหัวเราะเยาะแขกที่มารวมตัวกัน “ทุกคนต่างหัวเราะ ต้องให้น้องสาวของข้าเรียนรู้เรื่องมารยาท”
นางหันไปหาเจียงหลูเยวี่ยที่มีสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเพิ่งจะเริ่มต้น ตามกฎแล้วเจ้าต้องคุกเข่าต่อหน้าข้าสามครั้ง เมื่อสักครู่นี้คุกเข่าแล้วเจ้าก็ต้องจำเอาไว้ว่าเจ้าเป็นนางสนมและข้าเป็นชายาเอก”
เมื่อสิ้นเสียงนั้นร่างกายของเจียงหลูเยวี่ยก็แข็งทื่อด้วยความหวาดเกรง ใบหน้าของนางบูดบึ้งเล็กน้อย
เมิ่งอวิ๋นเสียงไม่ได้ใส่ใจมากนักและเหลือบมองไป๋เฉา ไป๋เฉาเข้าใจทันทีจึงแอบขว้างก้อนหินไปกระแทกขาของ เจียงหลูเยวี่ย นางจึงล้มลงคุกเข่าอยู่ที่พื้น เมิ่งอวิ๋นเสียงแสยะยิ้ม “คุกเข่าลงครั้งที่สอง เจ้าอยู่ล่าง ข้าอยู่เหนือกว่า”
ใบหน้าของเจียงหลูเยวี่ยกลายเป็นซีดเผือด นางรีบจับมือหญิงรับใช้แล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
ไป๋เฉาโยนหินอีกก้อน คราวนี้เข้าไปเต็มเปา เจียงหลูเยวี่ยล้มลงกับพื้นจนฝุ่นเข้าเต็มปากและอับอายอย่างยิ่ง
เมิ่งอวิ๋นเสียงขมวดคิ้ว ใบหน้าของนางมีความสุข “ของขวัญชิ้นใหญ่จากน้องสาวช่างจริงใจยิ่งนัก คุกเข่าลงครั้งที่สาม หากข้าสั่งให้เจ้าไปทางทิศตะวันออก เจ้าก็ไม่อาจไปทางทิศตะวันตกได้”
เมิ่งอวิ๋นเสียงคว้าไหล่ของนางและออกแรงบีบอย่างแรง เมื่อเห็นว่าเจียงหลูเยวี่ยกำลังจะขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด นางจึงแสร้งทำเป็นฉุดนางให้ลุกขึ้น
นางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสาว ข้าจะช่วยให้เจ้าลุกขึ้น”
ไม่น่าเชื่อว่าร่างกายของเจียงหลูเยวี่ยนั้นอ่อนแอราวกับต้นหลิวลิ่วลม เมื่อนางเซเล็กน้อยก็ตกอยู่ในอ้อมแขนของจิ่งหรง
บทที่ 6
พิธียกน้ำชา
เขารู้สึกฉุนเฉียวกว่าเดิมเมื่อได้ยินว่า “ไท่จื่อ พี่สาวพูดถูกแล้ว เยวี่ยเอ๋อไม่ทันระวังเอง...”
คนหนึ่งงามหยาดเยิ้ม ทำให้เขายิ่งรู้สึกเอ็นดูสงสาร ส่วนอีกคนหนึ่งหยิ่งผยองและจองหองยิ่งนัก
สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด จิ่งหรงมีคำตอบอยู่ภายในใจ เขาปลอบโยนเจียงหลูเยวี่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เยวี่ยเอ๋อ เจ้าไม่ต้องกลัว”
“ดอกบัวขาว” เมิ่งอวิ๋นเสียงกล่าวเสียงแผ่วเบา
*ดอกบัวขาว เป็นคำสแลงใช้ด่าผู้หญิงที่ภายนอกดูใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ภายในกลับร้ายกาจ
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” จิ่งหรงถามด้วยหูที่เฉียบคม
เมิ่งอวิ๋นเสียงเผยรอยยิ้มทันที “ข้าเอ่ยชมน้องสาวผู้นี้ ใบหน้าของนางสดใสราวดอกบัวขาวที่ผุดขึ้นจากโคลนตมและบริสุทธิ์ผุดผ่อง”
สายตาเย็นชาของจิ่งหรงกวาดผ่านรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง เขาไม่ต้องการมองอีกต่อไปจึงหันไปหาเจียงหลูเยวี่ย แล้วกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “เยวี่ยเอ๋อ เจ้าใจดีเกินไป อย่าได้ไว้ใจคนที่ทำได้เพียงเสแสร้งไปวัน ๆ”
เจียงหลูเยวี่ยแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วพยักหน้า ก่อนจะยกยิ้มอ่อน
เพื่อนเจ้าสาวหยิบผ้าคลุมหน้าขึ้นมาคลุมหน้านางทันที ดวงตาของจิ่งหรงมองไปยังเมิ่งอวิ๋นเสียงเพื่อเผยคำเตือน จากนั้นเขาก็จับมือเรียวยาวของเจียงหลูเยวี่ยไว้ในฝ่ามือแน่น
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันเข้าไปในห้องโถงอย่างสง่างาม
“นั่นคือไท่จือเฟยจริงหรือ?” หญิงรับใช้ตัวน้อยถามเพื่อนอย่างลังเลขณะจะขอทางเดินผ่าน เมื่อเห็นเมิ่งอวิ๋นเสียงพยักหน้าเบา ๆ เหล่าคนรับใช้และหญิงรับใช้รอบ ๆ ก็ “แยกย้ายสลายตัว” กันไปทันที
“ข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” เมิ่งอวิ๋นเสียงเบะปากอย่างไม่พอใจนัก
ไป๋เฉาเอ่ยเตือนนางว่า “ไท่จือเฟย ท่านลืมไปแล้วหรือ เพคะว่าเหล่าข้าราชบริพารในวังล้วนถอยหนีเมื่อพวกเขาเจอท่าน”
เมิ่งอวิ๋นเสียงจงใจขัดคำพูดของนางโดยแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางก้าวเท้าพร้อมที่จะเดินไปยังห้องโถงใหญ่
ไป๋เฉาค่อย ๆ เดินอย่างแช่มช้าตามจังหวะของนาง และถามเสียงดังว่า “ไท่จือเฟยจะไปไหนเพคะ?”
เมิ่งอวิ๋นเสียงเอ่ยตอบนางขณะเดินอย่างแช่มช้า “ในเมื่อทุกคนรู้แล้วว่าไท่จือเฟยเช่นข้าสบายดี แล้วข้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานอภิเษกสมรสครั้งนี้หรือ?”
ในห้องโถงใหญ่ เพื่อนเจ้าสาวตะโกนว่า “ครั้งที่หนึ่ง คำนับฟ้าดิน”
ทันทีที่เมิ่งอวิ๋นเสียงเดินผ่านเข้าประตูมา นางก็เห็นร่างสองร่างกำลังก้มตัวลงโค้งคำนับ เมื่อจิ่งหรงเงยหน้าขึ้นมาเห็นนาง ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด หากเขาไม่คำนึงถึงแขกที่มาร่วมงาน เขาก็คงจะหักคอนางไปนานแล้ว
เมิ่งอวิ๋นเสียงหัวเราะ “ฮ่าฮ่า” แล้วกล่าวว่า “ขอประทานอภัยที่เสียมารยาทกับไท่จือเพคะ” นางกล่าวก่อนจะเอนตัวเข้าหาคนที่อยู่ข้างนาง
เพื่อนเจ้าสาวตะโกนอีกครั้ง “ครั้งที่สอง คำนับพ่อแม่”
จิ่งหรงเป็นไท่จือ พ่อแม่ในที่นี้จึงเป็นฮ่องเต้จิ่ง ทั้งสองรู้มาระยะหนึ่งแล้วและพร้อมที่จะทำพิธีไหว้ฟ้าดินต่อไป
เมิ่งอวิ๋นเสียงปรากฏตัวอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เมื่อจิ่งหรงเห็นนาง เขาก็ตัวแข็งทื่อและไม่อาจก้มตัวลงได้
เมื่อเจียงหลูเยวี่ยสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา นางก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นเปิดชายผ้าคลุมหน้าออกเล็กน้อย และบังเอิญสบสายตากับเมิ่งอวิ๋นเสียงพอดี นางเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ข้าเคยได้ยินมาว่าเมื่อนางสนมเข้ามาในวังแล้วก็จำเป็นต้องยกน้ำชาให้พระชายาเอก ไม่ทราบว่าไท่จือเฟยจะยอมหรือไม่?”
สีหน้าของเจียงหลูเยวี่ยใต้ผ้าคลุมหน้าค่อนข้างเปลี่ยนไป คิ้วของนางขมวดเพราะความขุ่นเคืองเล็กน้อย
ก่อนที่จิ่งหรงจะอ้าปากปฏิเสธ เมิ่งอวิ๋นเสียงก็เลิกคิ้วขึ้นและมองไปยังเพื่อนเจ้าสาวแล้ว
เพื่อนเจ้าสาวรีบพยักหน้าแล้วอธิบายให้จิ่งหรงฟังว่า “พ่อแม่อยู่ที่นี่ไม่ครบ พระชายาเอกสามารถเข้าพิธีรับของกำนัลแทนได้”
ทันทีที่นางพูดจบ เมิ่งอวิ๋นเสียงก็ลุกขึ้นเดินมานั่งและจ้องทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม
ภายในห้องเต็มไปด้วยแขกเหรื่อ นางดูสง่างามมากเสียจนจิ่งหรงรู้สึกกระวนกระวายอยู่พักหนึ่ง
เจียงหลูเยวี่ยรู้เรื่องนี้อยู่ในใจแล้ว และคิดจะกล้ำกลืนความรู้สึกนี้ไปก่อน ตราบใดที่นางสามารถเข้าตำหนักบูรพาได้ ชาเพียงถ้วยเดียวก็เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ใช่หรือ? นางขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะเรียกหญิงรับใช้ให้ยกน้ำชามาอย่างแผ่วเบา
ความสุภาพอ่อนโยนและความมีเหตุผลของ เจียงหลูเยวี่ยทำให้จิ่งหรงรู้สึกพึงพอใจ
สายตาของเขาจับจ้องไปที่นาง เมื่อเห็นว่านางคุกเข่าลงกับพื้น เขาก็ขยับเข่าคลานตามเจียงหลูเยวี่ยไป ก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นเหนือศีรษะอย่างสั่นเทา หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล
คนที่อยู่ในใจของเขาเปราะบางเสียจนเกรงว่าจะหักคามือ และเกรงว่าจะละลายในปาก แต่บัดนี้เมิ่งอวิ๋นเสียงสมควรถูกโยนทิ้งไป!
จิ่งหรงเหลือบมองเมิ่งอวิ๋นเสียงที่นั่งบนเก้าอี้อย่างเย็นชา เขาหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
ทว่าเมิ่งอวิ๋นเสียงไม่แม้แต่จะมองเขาแม้ว่านางจะต้องการมองก็ตาม นางยกถ้วยชาขึ้นและค่อย ๆ เขี่ยใบชาก่อนจะจิบเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียง “จุ๊จุ๊” นางส่ายหัวแล้วบอก เจียงหลูเยวี่ยว่า “คราวหน้าหากเจ้าจะยกน้ำชาให้ไท่จือเฟยผู้นี้อีก ให้ใช้ยอดอ่อนสดใหม่ที่เพิ่งเก็บในเดือนมีนาคม โดยต้องเด็ดขณะที่ตากน้ำค้างยามเช้าแล้วตากให้แห้งเป็นเวลาเจ็ดวันและต้องใส่ใจอุณหภูมิของน้ำสำหรับชงชาด้วย ราวแปดนาทีจะถือว่ากำลังดี”