บทที่ 45-46
บทที่ 45
นางไม่เหมือนในข่าวลือ
หลังจากฟังคำอธิบายของชิงหลัวจบแล้ว เมิ่งอวิ๋นเสียงก็ขมวดคิ้วเพราะนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มาที่นี่ นางยังไม่ได้กินอาหารดี ๆ เลยสักมื้อ เดิมทีนางคิดว่าสถานะของนางคือไท่จื่อเฟย ดังนั้นนางจึงคิดว่าการแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่แย่มากนัก เพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องอาหารและที่อยู่อาศัยของนางจะไม่ดีได้อย่างไร แต่กลับไม่มีใครมีชีวิตดีไปกว่าเจียงหลูเยวี่ยแล้ว แม้แต่ตอนที่นางกินอาหารก็ยังถูกดูหมิ่น แล้วเมิ่งอวิ๋นเสียงจะอดทนได้อย่างไร เรื่องนี้จะทำให้นางสติแตกเข้าสักวันหนึ่ง!
“ไปกันเถอะ ไปที่ห้องครัวกัน” หากไม่สังเกตก็ไม่เป็นอะไร แต่เมิ่งอวิ๋นเสียงยิ่งทวีความโกรธมากขึ้น เมื่อเห็นว่าตำหนักที่ทรุดโทรมมีใยแมงมุมหลายเส้นห้อยระโยงระยางอยู่ และหน้าต่างหลายบานก็เป็นรู เมื่อมองจากข้างนอกก็เห็นแล้วว่ามันน่ากลัว แต่เมื่อเข้ามาดูข้างในก็แทบจะสำลัก เมิ่งอวิ๋นเสียงอยากจะแหงนหน้าขึ้นกรีดร้องและสาปแช่งหลายครั้ง
หม้อและกระทะหลายใบเสื่อมสภาพจนใช้งานไม่ได้แล้ว บางชิ้นได้รับการซ่อมแซมแล้วและมีใบใหม่บ้างเล็กน้อย ซึ่งได้ยินมาว่าแม่เฒ่าอิงหยิบมาจากครัวใหญ่ เพราะไท่จื่อและไท่จื่อผินไม่ชอบสีและลวดลายจึงโยนมันทิ้ง
เมิ่งอวิ๋นเสียงเกือบจะร้องไห้ ทุกวันนี้นางใช้ชีวิตอย่างยากลำบากยิ่งนัก แม้แต่ขอทานก็ยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านาง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หันไปมองชิงหลัวแล้วถามว่า “มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เจ้าไปเอาแตงโมมาจากไหน?”
เหตุใดนางจะไม่รู้ถึงความทุกข์ยากที่นางเผชิญมา เนื่องจากนางรู้สึกเบื่ออาหารเพราะความร้อน ดังนั้นนางจึงกินแตงโมเพื่อดับร้อน แต่มีหรือที่คนอย่างจิ่งหรงจะให้นางได้กินของดีอย่างแตงโม?
เห็นได้ชัดว่าชิงหลัวรู้ทันความคิดของเมิ่งอวิ๋นเสียง นางจึงส่ายหน้าและกำลังจะอธิบาย แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงอบอุ่นและสดใสดังมาจากด้านหลัง “แตงโมนี้ข้าเป็นคนปลูกเอง ก่อนที่ฤดูร้อนจะมาถึง ข้าเกรงว่าไท่จื่อเฟยจะกระหายน้ำ แตงโมนี้มีสรรพคุณดับร้อนได้ ข้าจึงคิดปลูกไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้เพื่อใช้ดับกระหายให้ไท่จื่อเฟย”
ผู้ที่กำลังพูดอยู่คือแม่เฒ่าอิง เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงหันหลังกลับไป นางก็เห็นหญิงวัยกลางคนอายุราวสี่สิบหรือห้าสิบปีเดินเข้ามาพร้อมกับแตงโมในอ้อมแขน นางก้มลงและวางมันไว้ที่ประตู ก่อนจะอธิบายให้ฟังด้วยรอยยิ้มมีเมตตาบนใบหน้าของนาง นางดูไม่เหมือนแม่เฒ่าเลย เมื่อเห็นเมิ่งอวิ๋นเสียง นางก็จ้องมองอย่างสงสัย และทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงรีบคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตกใจ “ถวายบังคมไท่จื่อเฟยเพคะ”
มีข่าวลือว่าไท่จื่อเฟยผู้นี้มีนิสัยแปลกประหลาด นางเย่อหยิ่ง เอาแต่ใจตัวเองและมีนิสัยร้ายกาจยิ่งนัก ก่อนที่นางจะมาที่นี่ ไป๋เฉาและชิงหลัวก็ทำให้นางรู้สึกสงสาร พวกนางทั้งสองเคยมีคนคอยดูแลอย่างดี แต่ตอนนี้ไม่มีใครดูแลพวกนางแล้ว นางทนดูพวกนางอดตายไม่ได้ นางจึงกัดฟันเข้ามารับใช้เจ้านายผู้นี้ ทว่าตั้งแต่วันที่เข้ามานางก็ไม่พบร่องรอยของเจ้านายผู้นี้เลย นางจึงรู้สึกโล่งใจ แต่ไม่คิดว่าวันนี้เจ้านายผู้นี้จะเสด็จมาถึงครัว นางจึงกังวลว่าตนเองเผลอทำสิ่งใดให้เจ้านายไม่พึงพอใจหรือไม่
เมิ่งอวิ๋นเสียงตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันเช่นนี้ แล้วนางก็รีบก้าวเข้าไปช่วยแม่เฒ่าอิง “โปรดลุกขึ้นเร็ว ๆ เถิด แม่เฒ่าอิงไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองถึงเพียงนี้หรอก พวกเราสามคนโชคดีที่ได้ดูแลท่าน และท่านอยู่มานานจนถึงตอนนี้ ท่านก็เปรียบเสมือนแม่ของเรา แล้วท่านทำเช่นนี้กับข้าไม่กลัวว่าเป็นการทำร้ายจิตใจข้าหรือ!”
แม่เฒ่าอิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าไท่จื่อเฟยไม่เหมือนในข่าวลือเลย ไท่จื่อเฟยเป็นผู้อ่อนโยน มีเมตตาและเห็นอกเห็นใจ แล้วนางเป็นคนนิสัยไม่ดี เย่อหยิ่งและเอาแต่ใจในสายตาของทุกคนได้อย่างไร?
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว นางก็มองชิงหลัวอีกครั้งเพื่อหาคำตอบ และเมื่อนางเห็นชิงหลัวยืนอ้าปากค้างอยู่ นางก็รู้ว่าไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้
บทที่ 46
ไปกันเถอะ ไปเอาของของเราคืนมา
หลังจากที่เมิ่งอวิ๋นเสียงช่วยแม่เฒ่าอิงให้ลุกขึ้น นางก็พูดคุยต่อด้วยรอยยิ้ม ทำให้นางรู้จากแม่เฒ่าอิงว่าอาหารทั้งหมดที่เป็นส่วนของนางถูกครัวใหญ่ยึดไป แต่โชคดีที่แม่เฒ่าอิงมาอาศัยอยู่ที่นี่ และใช้พื้นที่ขนาดเล็กในสวนหลังบ้านเพื่อปลูกผักและผลไม้ เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีวัตถุดิบเพียงพอสำหรับอาหารสามมื้อต่อวัน และไม่ได้อัตคัดขัดสนมากจนเกินไป
“ฮ่าฮ่า ช่างเป็นเรื่องราวที่งดงามเสียจริง พวกเจ้าทั้งสามยังคงแสดงความรักกันอยู่อย่างปกติ กลั่นแกล้งรังแกข้าได้ไม่เป็นอะไร แต่กล้าดีอย่างไรมาหักค่าอาหารของข้าผู้นี้ ช่างบังอาจยิ่งนัก” หลังจากฟังคำอธิบายของแม่เฒ่าอิงจบแล้ว นางก็กวาดสายตามองคนทั้งสามที่กำลังยืนอยู่ในตำหนักที่ทรุดโทรมอีกครั้ง เมิ่งอวิ๋นเสียงแทบทนรอไม่ไหวที่จะไปบุกรังของจิ่งหรง
เมื่อชิงหลัวและแม่เฒ่าอิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งกังวล ไท่จื่อเฟยกล้าเรียกแทนตัวเองว่าข้าผู้นี้กับไท่จื่อ หากบุคคลภายนอกรู้ว่านางพูดจาหยาบคายเช่นนี้ ไท่จื่อเฟยจะต้องรับโทษในข้อหากบฏ เมิ่งอวิ๋นเสียงยังคงด่าต่อไปด้วยความโกรธแค้น ทำให้หัวใจของทั้งสองสั่นสะท้าน เพราะเกรงว่าจะมีคนมาได้ยิน
“ไท่จื่อเฟย โชคดีที่แม่เฒ่าอิงมีความสามารถในการปลูกพืชผัก พวกเราจึงไม่ต้องอดอาหาร ประเดี๋ยวมันก็จะผ่านไปหากเราอดทนต่อไปเพคะ” ชิงหลัวจงใจพูดออกมาเพื่อปรามให้นางหยุดด่า เมื่อแม่เฒ่าอิงที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนั้นก็รีบพูดด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งอวิ๋นเสียงก็เหลือบมองชิงหลัวเล็กน้อย แล้วถอนหายใจก่อนพูดว่า “อดทนหรือ? เจ้าสามารถทนไปตลอดชีวิตได้หรือไม่? ผ่านไปงั้นหรือ? บอกข้าทีว่าเมื่อใดถึงจะเรียกว่าผ่านไป?”
บัดนี้ดูเหมือนว่าเมิ่งอวิ๋นเสียงจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอีกครั้ง ทำให้ชิงหลัวหวนนึกถึงช่วงเวลาที่นางแผลงฤทธิ์อย่างดุร้าย ทำให้นางอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้
“นั่น…” ชิงหลัวลังเล นางก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะผ่านไปเมื่อใด นางคิดเพียงแค่ว่าหากนางติดตามไท่จื่อเฟยองค์ปัจจุบัน นางเชื่อว่าในอนาคตนางจะไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป
“ชิงหลัว ไปเรียกไป๋เฉามา” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมิ่งอวิ๋นเสียงก็สั่งอย่างรวดเร็ว นอกจากเดินเข้ามาในครัวแล้ว นางก็ยังไม่ลืมจุดประสงค์ของสิ่งที่จะทำตอนนี้
เมื่อได้ยินเสียงเรียก ไป๋เฉาก็รีบเข้ามา นางกำลังผ่าฟืนอยู่ในสวนหลังตำหนัก และไม่คิดว่าไท่จื่อเฟยจะมาที่ครัวด้วยตนเอง ทันทีที่นางเห็นไท่จื่อเฟย นางก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
“ข้าต้องการเขียนจดหมาย วันนี้เจ้าจงนำจดหมายไปส่งที่เจ้าสำราญราวเมามายในความฝัน โดยบอกว่ามันเป็นของหญิงสาวที่ชื่อเหยาจี” หลังจากสั่งไป๋เฉาแล้ว เมิ่งอวิ๋นเสียงก็หันกลับมาบอกแม่เฒ่าอิงว่า “แม่เฒ่าอิง วันนี้ท่านรออยู่ในครัวก่อน แล้วอีกสักครู่มีคนนำของมาให้ อย่าลืมไปรับด้วย”
ทุกคนต่างประหลาดใจเมื่อเห็นเมิ่งอวิ๋นเสียงสั่งการอย่างเฉียบขาดและรวดเร็ว แม้ว่าพวกนางจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็รีบปฏิบัติตามคำสั่ง
“ไปกันเถอะ ชิงหลัว ไปเอาของของเราคืนมา”
หลังจากพูดจบ นางก็หันหลังเดินไปทันที
“ไท่จื่อเฟย เราจะไปที่ไหนกันเพคะ?” ชิงหลัววิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังเจ้านายของนาง ส่วนเมิ่งอวิ๋นเสียงก็ดูราวกับว่ากำลังแผ่รังสีอำมหิตออกมาขณะรีบเดินไปข้างหน้า
“ไปคิดบัญชีใครบางคน!” ดวงตาของเมิ่งอวิ๋นเสียงแน่วแน่ราวกับทหารผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์เพียงหนึ่งเดียวในหัวใจ ในโลกนี้มีเพียงเรื่องอาหารเท่านั้นที่ไม่อาจยอมกันได้