บทที่ 41-42
บทที่ 41
การต่อรอง
หลังจากที่จิ่งฮวาจากไป เมิ่งอวิ๋นเสียงที่ไม่สามารถทนได้อีกก็รีบขยับไปหาเหยาจีทันที ดวงตาที่ดูชาญฉลาดคู่นั้นของ เหยาจีมองนางอย่างหวาดระแวงเล็กน้อย ขณะที่จ้องนางก็เผยรอยยิ้มขณะครุ่นคิดไปด้วย สำหรับสายตาคนนอกนั้นดูเสียมารยาทยิ่งนัก
รูปร่างหน้าตางดงามเป็นอันดับหนึ่ง ทรวดทรงองค์เอวก็ขยี้ใจชาย ด้วยรูปลักษณ์และพรสวรรค์ของนางแล้วก็ไม่เลวหากคู่กับจิ่งฮวา เมิ่งอวิ๋นเสียงรู้สึกเสมอว่ารูปลักษณ์ของจิ่งฮวานั้นงดงามจนแม้สตรีก็ยังต้องอาย ไม่ต้องพูดถึงแตงบิดเบี้ยวและพุทราแตก ซึ่งนางคิดว่าคงไม่มีใครในโลกนี้มีรูปโฉมที่คู่ควรกับจิ่งฮวา แต่เมื่อมองดูพวกเขาในวันนี้ นางก็รู้สึกว่ามีความเหมาะสมกันเล็กน้อย
เมื่อเหยาจีถูกเมิ่งอวิ๋นเสียงจ้องมองอย่างจริงจัง นางก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่านางไม่เคยถูกจ้องมองมาก่อน แต่นางไม่เคยถูกจ้องเขม็งอย่างโจ่งแจ้งถึงเพียงนี้ ดวงตามีเสน่ห์คู่นั้นดูเหมือนจะสามารถมองทะลุผ่านจิตวิญญาณของนางได้
“คุณชาย ว่าแต่ท่านต้องการฟังเพลงอะไรหรือเจ้าคะ?” นางรู้สึกว่าตนไม่อาจทนการถูกจ้องมองเช่นนี้ต่อไปได้ เหยาจีจึงพูดเสียงแผ่วเบา หากถูกบุรุษจ้องมองก็จะไม่รู้สึกอะไรนัก แต่เมื่อถูกสตรีจ้องมองเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
เมื่อรู้ตัวว่าตนจ้องมองอย่างโจ่งแจ้งเกินไป เมิ่งอวิ๋นเสียงก็ละสายตาจากนางและอดไม่ได้ที่จะแสร้งทำเป็นไอ ก่อนจะหันหลังกลับไปนั่งที่ตำแหน่งเดิม แล้วจิบชาพลางเหลือบมองนางเล็กน้อย “เจ้าเล่นเพลงอะไรได้บ้างเล่า?”
“ข้าน้อยนั้นโง่เขลาและมีทักษะการเล่นกู่ฉินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่โชคดีที่ความขยันหมั่นเพียรมีประโยชน์ ข้าน้อยได้ฝึกฝนทักษะกู่ฉินจนคุ้นเคยกับบทเพลงกู่ฉินทุกเพลง เพียงแค่คุณชายบอกชื่อเพลงมา ข้าน้อยก็จะเล่นให้ได้เจ้าค่ะ”
เมิ่งอวิ๋นเสียงเห็นว่านางพูดจาถ่อมตัวยิ่งนัก ในตอนที่นางเข้ามาที่นี่ แม่เล้าได้อธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดแล้วว่าทักษะการเล่นกู่ฉินของเหยาจีนั้นล้ำเลิศที่สุด ซึ่งในอาณาจักรนี้ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้แล้ว และสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือความจำของนางเมื่อต้องจดจำบทเพลงกู่ฉิน เพราะตราบใดที่นางได้อ่านมันแม้เพียงครั้งเดียว นางก็จะไม่มีวันลืมมัน ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางได้อ่านบทเพลงกู่ฉินที่รวบรวมมาจากที่ต่าง ๆ ทั้งในอาณาจักรนี้และจากดินแดนอื่นด้วย
ไม่น่าแปลกใจที่เหยาจีจะกล่าวว่านางสามารถเล่นได้ทุกเพลงที่นางบอก เมิ่งอวิ๋นเสียงได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็ยกยิ้ม “มันฟังดูยิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่ข้าพูดนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเล่นอย่างจริงจังก็ได้”
“คุณชายบอกมาเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยเต็มใจที่จะลองดู” เหยาจีก้มศีรษะลงแล้วพูดอย่างแช่มช้า
เมิ่งอวิ๋นเสียงยังคงไม่ตอบนางตามตรง แต่ยกชาขึ้นจิบแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าเหยาจีสนใจรวบรวมบทเพลงกู่ฉินให้มากที่สุด และคุณชายผู้นี้ก็บังเอิญมีบทเพลงกู่ฉินที่ไพเราะเพลงหนึ่ง หากแม่นางเหยาจีต้องการ ข้าก็จะให้ แต่ข้าไม่เคยทำธุรกิจที่ขาดทุน ข้าให้บทเพลงนี้แก่เจ้าได้ แต่...” หลังจากหยุดไปชั่วคราว นางก็มองเหยาจี แม้ว่าคำพูดนั้นจะฟังดูเหมือนเปิดโอกาสให้เหยาจีเลือก แต่ก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในสายตาของนาง
เมื่อได้ยินเช่นนี้เหยาจีก็ขมวดคิ้ว เมิ่งอวิ๋นเสียงพูดถูก แม้ว่าบทเพลงกู่ฉินส่วนใหญ่ในโลกจะถูกนางรวบรวมไว้แล้ว แต่ถ้านางพลาดบทเพลงกู่ฉินที่ดีจนไม่มีใครเทียบได้สักหนึ่งหรือสองบทเพลง นางก็จะเสียใจ แต่นางก็รู้ดีว่าการยอมรับข้อตกลงที่ไม่รู้ชัดเจนจะทำให้เกิดปัญหามากเพียงใด นางจึงกล่าวว่า “ข้าน้อยเป็นคนขยัน ชีวิตถูกบีบบังคับให้ต้องมาแสดงที่นี่ ข้าน้อยเกรงว่าข้าน้อยจะไม่มีสิ่งที่คุณชายต้องการเจ้าค่ะ”
“แน่นอน ข้ารู้ดีว่าการต่อรองย่อมต้องมีการแลกเปลี่ยน ข้ารู้ว่าเจ้ามีสิ่งที่ข้าต้องการ ข้าจึงคิดจะต่อรองกับเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้”
นางแค่ต้องการสนองความอยากรู้ของตัวเองไม่ใช่หรือ สตรีผู้นี้งดงามแต่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์ที่น่ารำคาญนัก เมื่อเห็นเหยาจียังคงลังเลอยู่ เมิ่งอวิ๋นเสียงก็ไม่คิดจะพูดอ้อมค้อมอีกต่อไป นางจ้องตาแล้วพูดว่า “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว มันขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง”
บทที่ 42
เล่นกู่ฉิน
หลังจากที่นางพูดจบก็แสร้งจะหันหลังจากไป แต่เมื่อนางหันหลังกลับและเดินออกไปได้เพียงครึ่งก้าว นางก็ได้ยินเสียงเรียกให้หยุดจากข้างหลังนาง เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งอวิ๋นเสียงก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาของนางดูราวกับหยั่งรู้จิตใจของเหยาจี
นางไม่สนใจเหยาจี และหันหลังเดินไปยังตำแหน่งที่นางเล่นกู่ฉินเมื่อครู่นี้แล้วนั่งลง นิ้วมือเรียวงามลูบไล้กู่ฉินแล้วทดลองดีดสายสองสามสาย หลังจากมองดูอย่างละเอียดแล้ว นางก็ยกย่องในใจหลายครั้งว่า สิ่งที่อยู่ในเจ้าสำราญราวเมามายในความฝันช่างมีรสนิยมยิ่งนัก แม้แต่สายกู่ฉินที่สาวน้อยผู้นี้เล่นยังทำด้วยเส้นไหมแท้ที่ขดแน่น
“แม่นางเหยาจี โปรดตั้งใจฟังให้ดีเพราะมีครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อแลกเปลี่ยนแล้วจะไม่มีการคืนเงิน” เมื่อนางพูดจบแล้วก็หายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นนิ้วเรียวงามก็เริ่มแกว่งไปมาบนสายของกู่ฉิน นางบรรเลงได้อย่างพลิ้วไหว แล้วเสียงเพลงกู่ฉินที่สง่างามและอ่อนโยนก็ค่อย ๆ ดังขึ้นอย่างแช่มช้า
เสียงกู่ฉินนั้นทำให้ผู้ฟังรู้สึกราวกับอยู่ท่ามกลางคลื่นสีฟ้าและหมอกควัน จากนั้นเสียงกู่ฉินก็เปลี่ยนไปเป็นเศร้าสร้อย ทำให้เหยาจีเกิดความรู้สึกหดหู่และวิตกกังวล และอดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งและโศกเศร้าเพราะการเปลี่ยนท่วงทำนองนี้
ในช่วงเวลาแห่งความหดหู่ใจนี้ จู่ ๆ เสียงเพลงกู่ฉินก็เปลี่ยนไปให้ความรู้สึกหนักอึ้งและปั่นป่วน ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของเหยาจีตอนนี้คือภาพเมฆหมอกและสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก แล้วภาพชวนอึดอัดนี้ก็เลือนหายไป จากนั้นเสียงของกู่ฉินก็เร่งเร้าขึ้นเรื่อย ๆ ราวไร้ขีดจำกัด อันเกิดจากการผสมผสานอันชาญฉลาดของท่วงทำนอง ก่อให้เกิดเป็นภาพของแสงยามรุ่งอรุณบนท้องฟ้าที่ฉาบลงบนเมฆจนเกิดเป็นเงา ราวกับว่าเสียงของกู่ฉินที่เปลี่ยนแปลงไป ก่อให้เกิดภาพแม่น้ำและภูเขาอันยิ่งใหญ่ที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาตรงหน้านาง
ในช่วงท้ายของเพลง เสียงเพลงเปลี่ยนเป็นจังหวะเนิบช้า ชวนให้นึกถึงหมู่เมฆขาวและสายน้ำที่ไหลรินอย่างแผ่วเบา ซึ่งทำให้ผู้ฟังรู้สึกได้ถึงอารมณ์อันไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากบรรเลงจนจบเพลงแล้ว เมิ่งอวิ๋นเสียงก็ลุกขึ้นแล้วยกยิ้มหวาน “ไม่ทราบว่าคุณชายผู้นี้ได้บรรเลงเพลงที่ไร้ซึ่งความไพเราะไปหรือไม่ แม่นางเหยาจีเคยได้ยินเพลงนี้หรือไม่?”
เหยาจียังไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากเสียงเพลงกู่ฉินนั้นได้ เมื่อนางได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าของนางก็กลายเป็นสีแดงก่ำทันที นางรู้สึกเขินอายจนเลือดแทบจะไหลจากแก้ม “นั่น... ข้าน้อยไม่เคยได้ยินมาก่อน หวังว่าคุณชายจะให้อภัยนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร...” เมิ่งอวิ๋นเสียงโบกมือไปมา ที่นางสามารถเล่นเพลงนี้ได้ต้องขอบคุณความตั้งใจของตัวเองในตอนนั้น นางเคยตั้งใจฝึกเล่นกู่ฉินมาก่อน โดยจุดประสงค์ของการฝึกเล่นกู่ฉินคือต้องการปรับปรุงอารมณ์ หลังจากเสียค่าเล่าเรียนไปแล้วมากมาย และได้เรียนกับครูหลายคนก็มีเพียงนางคนเดียวที่เล่นเพลงนี้ได้ แม้ว่าจะเจ็บมือราวกับมือจะหักก็ตาม ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้ทักษะในวันนี้
“ข้าน้อยขอบอกคุณชายว่าบทเพลงนี้ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่ทราบว่าชื่อเพลงนี้...”
“อยู่ในตำราเสินฉีมี่ผู่ ข้าพูดไปแล้วนะ แม่นางเหยาจีไม่รู้จักหรือ?” เมิ่งอวิ๋นเสียงยังคงไม่ลืมจุดประสงค์ของการทำเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะต้องการค้นหาความลับของจิ่งฮวาแล้ว เหตุใดนางต้องมาแสดงฝีมือของนางในรอบหลายปีด้วย อันที่จริงนางหลงลืมไปมากแล้ว แต่โชคดีที่นางยังพอรื้อฟื้นความจำขึ้นมาได้
“คุณชายโปรดบอกข้าน้อยเถิดนะเจ้าคะ” นางเรียนรู้ท่วงทำนองเพลงที่อ่อนโยนและโศกเศร้ามาโดยตลอด แม้ว่านางจะสามารถเล่นท่วงทำนองนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่นางก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก บทเพลงที่เมิ่งอวิ๋นเสียงบรรเลงให้นางฟังเป็นดั่งบ่อน้ำใสท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ จินตภาพที่ปรากฏต่อหน้านางทำให้นางรู้สึกมีพลังและสดใสขึ้นมาทันที เพียงได้ยินเพลงนี้สักครั้งในชีวิต นางก็ไม่เสียใจอีกแล้ว