บทที่ 37-38
บทที่ 37
อับอาย
ความร้อนที่แผดเผาในฤดูร้อนมักทำให้ผู้คนรู้สึกฉุนเฉียวเสมอ แม้ว่าจะอยู่ใต้ร่มเงาเหล่าพฤกษาก็ยังคงสูญเสียความสดใสไป เหลือเพียงความเหี่ยวแห้งที่น่าเบื่อ และบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความหงุดหงิด
ทันใดนั้นเสียงแหลมของผู้หญิงก็ทำลายความเงียบสงบของตำหนัก “ชิงหลัว ชิงหลัว แตงโมของข้าอยู่ที่ไหน”
“ไท่จื่อเฟย ท่านเสวยไปสองลูกแล้ว หยุดเสวยก่อนดีหรือไม่เพคะ? หากท่านเสวยเยอะกว่านี้ท้องจะแตกนะเพคะ”
“ไม่เอา ข้าเบื่อมาก เพราะคิดไม่ออกว่านอกจากเรื่องกินแล้ว ข้าจะทำอะไรดี”
“ไท่จื่อเฟย เช่นนั้นเราไปฝึกแส้กันเถอะเพคะ!”
“ร้อนเกินไป”
“เช่นนั้นไปอ่านหนังสือกันเถอะเพคะ!”
“ไม่อยากอ่าน”
“เช่นนั้น...”
เมิ่งอวิ๋นเสียงทนไม่ไหวอีกต่อไป เหตุใดหลังจากที่นางทะลุมิติมา นางถึงไม่สามารถพลิกเมฆด้วยมือซ้ายและสั่งฝนด้วยมือขวาได้ ใช้ไหวพริบบริหารราชสำนัก หรือเพลิดเพลินไปกับหนุ่มหล่อสามพันคนในฮาเร็ม? เหตุใดหลังจากที่ทะลุมิติมาแล้วนางจึงเป็นเพียงปลาเค็มที่ถูกกักบริเวณอยู่แค่ที่นี่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าการเดินทางมาตลอดชีวิตของนางจะต้องมาจบลงเช่นนี้?
ชิงหลัวครุ่นคิดหาวิธีทำให้เมิ่งอวิ๋นเสียงอารมณ์ดีขึ้นต่อไป ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เห็นเมิ่งอวิ๋นเสียงที่นอนอยู่บนเสื่อลุกขึ้นนั่ง
“ชิงหลัว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า!”
เมิ่งอวิ๋นเสียงสงสัยว่านางจะปล่อยให้ตัวเองขึ้นราที่นี่ได้อย่างไร นางต้องการออกไปข้างนอก เพราะนางไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักได้ อย่างน้อยนางก็ต้องได้นั่งอยู่ในฮาเร็มของชายหนุ่มรูปงาม ไม่ได้ นางต้องออกไปหาหนุ่มหล่อของนาง
หลังจากได้รับคำเตือนจากจิ่งหรง นางก็กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งตำหนัก และย่อมไม่สามารถออกไปนอกประตูได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเมิ่งอวิ๋นเสียงจึงจะออกไปทางประตูหลัง แต่นางก็คาดไม่ถึงว่าเจ้าวายร้ายจิ่งหรงจะถึงกับสั่งให้ยามมาคอยเฝ้าประตูหลังไว้ด้วย เมิ่งอวิ๋นเสียงเห็นเช่นนั้นก็เกือบจะสติแตก
“ไท่จื่อเฟย เราไม่ออกไปข้างนอกจะไม่ดีกว่าหรือเพคะ?” ชิงหลัวมองเมิ่งอวิ๋นเสียงแล้วพูดอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่าไท่จื่อเฟยจะถูกไท่จื่อกักบริเวณอยู่ในตำหนัก แล้วถ้าหากไท่จื่อ ทราบว่าไท่จื่อเฟยแอบออกไปได้ นางก็ไม่รู้ว่าตนจะถูกถลกหนังออกไปกี่ชั้น
“ไม่ มันต้องมีวิธีอื่น” เมิ่งอวิ๋นเสียงหลบมุมสังเกตสถานการณ์ นางไม่เชื่อว่าตำหนักบูรพาเล็ก ๆ แห่งนี้จะสามารถพันธนาการเทพผู้ยิ่งใหญ่เช่นนางได้
เมื่อพูดจบนางก็เหลือบมองหางตาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมาทันที นางลาก ชิงหลัวที่กำลังคร่ำครวญให้วิ่งไปที่นั่น
“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะออกไปก่อนนะ แล้วเจ้าค่อยตามออกมา” โชคดีที่วันนี้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดบุรุษ หากเป็นชุดสตรีก็จะออกไปข้างนอกไม่สะดวก
ชิงหลัวมองไปยังทางออกที่เมิ่งอวิ๋นเสียงบอกด้วยความอับอาย สีหน้าของนางแย่ยิ่งนัก “ไท่จื่อเฟย ท่านแน่ใจหรือเพคะว่าต้องการออกไปด้วยทางนี้?”
“ชิงหลัว คนเราสามารถตรงและงอได้ แล้วเหตุใดสาวน้อยอย่างพวกเราจะทำไม่ได้” เมื่อพูดจบนางก็พับแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้น ก่อนจะหายใจเข้าลึก ๆ แล้วนอนราบกับพื้นและคลานไปข้างหน้า
ใช่แล้ว ทางออกที่เมิ่งอวิ๋นเสียงบอกก็คือประตูสุนัข
ชิงหลัวไม่อาจทนดูท่าทางของไท่จื่อเฟยของนางในตอนนี้ได้ มันไม่เหมาะสมและดูไม่งามอย่างยิ่ง
เมิ่งอวิ๋นเสียงนอนราบอยู่ที่ประตูสุนัขด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ประตูนั้นดูเหมือนจะใหญ่มาก แต่ความเป็นจริงแล้วมันยากสำหรับคนที่คิดจะมุดออกไป แต่เมิ่งอวิ๋นเสียงเป็นคนที่คิดสิ่งใดแล้วจะต้องทำจริง
“ชิงหลัว อย่าลืมช่วยดันข้าออกไปที!” ก่อนที่ชิงหลัวจะทันได้ตอบ เมิ่งอวิ๋นเสียงก็พยายามมุดออกไปจากประตูนั้น
ก่อนจะได้คำตอบจากชิงหลัว นางก็ได้ยินเสียงผู้ชายดังก้องราวกับฟ้าผ่า ชายผู้นั้นพูดขณะกลั้นหัวเราะว่า “อาเสียง เจ้าจะออกไปเช่นนี้จริงหรือ?”
.
บทที่ 38
ฮ่าฮ่า ช่างบังเอิญเสียนี่กระไร ท่านก็คลานเข้ามาด้วย
เมื่อได้ยินเช่นนี้เมิ่งอวิ๋นเสียงก็หันหน้าไปมอง แล้วนางก็เห็นรองเท้าหนังสีดำคู่หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้านาง เมื่อนางมองขึ้นไปอีกก็เห็นจิ่งฮวายืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุในฤดูร้อน ผิวของเขาขาวราวกับหิมะ ดวงตาของเขาเปล่งประกาย สดใส จมูกโด่งเป็นสันและมีรอยยิ้มจางบนริมฝีปากของเขา เขามองนางด้วยสายตาขบขัน
เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงได้สติก็รีบลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าตบสิ่งสกปรกบนร่างกายของนาง แล้วคลี่ยิ้มกว้างให้จิ่งฮวาและกล่าวว่า “ฮ่าฮ่า ช่างบังเอิญเสียนี่กระไร ท่านก็คลานเข้ามาด้วย... ท่านก็มาเยี่ยมเยือนที่นี่ด้วยหรือเพคะ?”
หลังจากพูดจบ นางก็ถลึงตาใส่ชิงหลัวที่ยืนมองอย่างไร้เดียงสาอยู่ด้านข้าง โทษฐานที่เห็นว่ามีคนมาแต่กลับไม่ส่งเสียงเตือน ตอนนี้คนทั้งโลกจึงรู้แล้วว่าเจ้านายของเจ้ากำลังคลานเข้าไปในประตูสุนัข
เมื่อชิงหลัวเห็นเช่นนั้นนางก็เอียงศีรษะ และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เมิ่งอวิ๋นเสียงหงุดหงิด เมื่อนางหันหน้าไปเห็นว่าจิ่งฮวายังคงมองนางด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เมิ่งอวิ๋นเสียงก็รู้สึกว่ารอยยิ้มของชายหนุ่มช่างสดใสยิ่งนัก แล้วแก้มของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว
จิ่งฮวาไม่สนใจ เขาเดินไปข้างหลังเมิ่งอวิ๋นเสียง ก่อนจะลูบคางครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริงประตูสุนัขนี้มีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและงดงามยิ่งนัก”
“อาฮวา เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือ?” เมิ่งอวิ๋นเสียงแปลกใจ และต้องการแค่กลบเกลื่อนเรื่องน่าอายนี้ให้เร็วที่สุด
เมื่อได้ยินเช่นนี้จิ่งฮวาก็พยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อืม นอกจากความจริงที่ว่าช่องมันเล็กเกินกว่าที่คนจะคลานเข้าไปได้แล้ว มันก็แทบไม่มีข้อบกพร่องอื่นเลย”
ปากร้าย ช่างปากร้ายยิ่งนัก เมิ่งอวิ๋นเสียงเคยคิดว่าชายผู้นี้เป็นแกะขาวตัวน้อยที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา แต่ใครจะรู้ว่ามีหมาป่าสีดำร้ายกาจแอบซ่อนอยู่ใต้ขนแกะนั้น เมิ่งอวิ๋นเสียงส่ายหน้าด้วยความอับอาย และพูดซ้ำ ๆ ในใจว่านางมองคนผิดไป มองคนผิดไปจริง ๆ
เมื่อเห็นท่าทางอับอายของเมิ่งอวิ๋นเสียง จิ่งฮวาก็รู้สึกว่านางน่ารักยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะหยอกล้อนางอีกต่อไป แต่ก้าวเข้าไปคว้าเอวของเมิ่งอวิ๋นเสียง ก่อนจะก้มหน้าลงจนเข้าใกล้หูของนาง ลมหายใจอุ่นที่พ่นจากปลายจมูกของเขากระทบใบหูของเมิ่งอวิ๋นเสียง นางรู้สึกราวกับว่ามันทะลุผ่านผิวหนังของนาง แล้วลงไปสู่ก้นบึ้งหัวใจจนทำให้รู้สึกหวั่นไหว
“หากคราวหน้าเจ้าต้องการออกไปข้างนอกอีกก็เรียกข้าเถิด” เสียงของชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ก่อนที่เมิ่งอวิ๋นเสียงจะตอบสนอง นางก็รู้สึกเพียงแค่ว่าร่างกายของตนเบาหวิว และรู้สึกหวาดเสียวในใจ ภายในชั่วพริบตานางก็ได้ออกมาอยู่นอกกำแพงแล้ว
“นี่คือวิชาตัวเบาในตำนานหรือ?” หลังจากยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง เมิ่งอวิ๋นเสียงก็มองจิ่งฮวาด้วยความประหลาดใจ ภายในใจของนางยังคงรู้สึกสั่นไหวจากความรู้สึกเมื่อครู่นี้ ดังนั้นนางจึงแสดงออกมาเช่นนี้
ก่อนที่จิ่งฮวาจะปล่อยมือ จู่ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาและมีเสน่ห์ของเขาก็เข้ามาใกล้นาง และสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมประหลาดที่ดูเหมือนจะเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของนาง เมื่อเขาสูดกลิ่นนั้นเขาก็เผลอบีบมือของเมิ่งอวิ๋นเสียงไว้แน่น จน เมิ่งอวิ๋นเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แล้วมองไปจิ่งฮวาอย่างไม่พอใจ “อาฮวา เจ้าบีบมือข้าทำไม?”
“ข้าขอโทษ มือข้าสั่น” จิ่งฮวาปล่อยเมิ่งอวิ๋นเสียงอย่างเขินอายทันที แล้วยกมือขึ้นแตะจมูกของตนและแสร้งทำเป็นไอออกมา
เมิ่งอวิ๋นเสียงแปลกใจ “เจ้ามีอาการมือสั่นหรือ?”
เช่นนี้ก็ท่าไม่ดีแล้ว เขามีอาการมือสั่นตั้งแต่ยังอายุยังน้อย เขาจะไม่เป็นโรคลมชักใช่หรือไม่? ได้ยินมาว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอาการของโรคพาร์กินสัน หากถึงตอนนั้นจะช่วยเขาอย่างไรได้บ้าง...
เมิ่งอวิ๋นเสียงรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าตนกังวลเรื่องจิ่งฮวา เหตุใดจู่ ๆ นางก็คิดมากเรื่องเขาถึงเพียงนี้ เมิ่งอวิ๋นเสียงรีบส่ายหน้าไล่ความคิดนั้นไป ก่อนจะดึงตัวจิ่งฮวาให้เดินออกไป
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมไปแล้วว่ายังมีอย่างอื่นที่จะต้องทำอยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพง