บทที่ 35-36
บทที่ 35
จิ่งหรงโกรธจัด
ทันใดนั้นชิงหลัวก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ จู่ ๆ ตาของนางที่มีขนตางอนก็โตขึ้นเป็นสองเท่า และเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “ไท่จื่อเฟย วันนี้ไท่จื่อเสด็จกลับมาแล้วเพคะ”
ทุกวันนี้เนื่องจากต้องเดินทางไปชี่ตัน ไท่จื่อจึงยุ่งมากจนสับสน อู๋ถงเป็นเพียงองครักษ์ที่อยู่ข้างกายไท่จื่อ ไม่ได้มีหน้าที่ช่วยเหลือเรื่องการเมือง ดังนั้นเขาจึงมีเวลาสอนศิลปะการต่อสู้ให้ไท่จื่อเฟย แต่ได้ยินมาว่าการสำรวจนั้นได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และวันนี้ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ดังนั้นตอนนี้ไท่จื่อต้องกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่โดยไม่ยอมหยุดพักเป็นแน่
ชิงหลัวเดาถูก หลังจากที่นางพูดจบ ประตูข้างหลังนางก็ถูกเปิดออกอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงคำรามของจิ่งหรง
"เมิ่งอวิ๋นเสียง ออกมาหาเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้"
ใบหน้าของเขาแสดงออกว่ากำลังโกรธจัด คิ้วของเขาขมวดแน่น ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาสวมชุดราชสำนักสีน้ำเงินเข้มตัดกับสีทอง เมื่อเขาเข้ามาก็เห็นว่าชุดของเขายังคงเปื้อนฝุ่น แต่เขาก็ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ราวกับว่าเป็นเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วนที่ต้องรีบมา
เวลานี้เขาควรจะยังอยู่ในวัง.วันนี้ขณะที่เขากำลังคุยเรื่องงานกับผู้อื่น เขาก็ถูกสาวใช้ของเจียงหลูเยวี่ยเข้ามาขัดจังหวะระหว่างการสนทนา แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เขาฟัง จิ่งหรงตกใจมากเพราะคิดว่าเจียงหลูเยวี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงทิ้งงานทั้งหมดแล้วรีบกลับมา
ออกไปอะไรกัน ท่านไม่ได้อยู่ในห้องอยู่แล้วหรือ? เมิ่งอวิ๋นเสียงกลอกตาพลางคิดเช่นนั้นในใจ แต่นางก็ยังคงยกยิ้มสดใสอยู่ พลางมองจิ่งหรงอย่างประจบสอพลออย่างยิ่ง “อะไรเป็นสาเหตุทำให้ไท่จื่อเป็นเช่นนี้? ท่านรีบเสด็จมาหาหม่อมฉันครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านเริ่มมองเห็นความงามของหม่อมฉันบ้างแล้วเพคะ?”
จิ่งหรงคาดไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้จะไร้ยางอายถึงเพียงนี้ แต่รอยยิ้มที่มีเสน่ห์บนริมฝีปากของนางทำให้เขาตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อได้สติเขาก็แสร้งทำเป็นไอเบา ๆ ก่อนจะขมวดคิ้วจ้องมองเมิ่งอวิ๋นเสียง
“เจ้าไม่ต้องแสร้งทำเป็นเฉไฉให้เปิ่นหวางสับสนเลย เปิ่นหวางได้ยินมาว่าทุกวันนี้เจ้าฝึกอาวุธหรือ? ในฐานะที่เจ้าเป็นสตรี เจ้ากลับประพฤติตัวไม่เป็นกุลสตรีเอาเสียเลย สตรีที่เล่นกับอาวุธเช่นนี้เสียขนบธรรมเนียมยิ่งนัก”
เขาบอกว่านางไม่มีความรู้และความเป็นกุลสตรีเท่า เยวี่ยเอ๋อ ช่างเข้าอกเข้าใจคนอื่นดีเสียจริง
เมิ่งอวิ๋นเสียงได้ยินเช่นนั้นก็วางแอปเปิลในมือลง ก่อนจะเหลือบมองจิ่งหรงแล้วพูดอย่างเหยียดหยามว่า “นี่ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว คิดว่ามีเพียงพวกผู้ชายเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เล่นกับอาวุธ แต่กลับห้ามผู้หญิงอย่างพวกเราแตะต้องอาวุธ ช่างโง่เง่าเสียจริง”
จิ่งหรงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากของเมิ่งอวิ๋นเสียง เขาจ้องมองเมิ่งอวิ๋นเสียงด้วยความไม่เชื่อ ริมฝีปากบางของเขาเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาว่า เปิ่นหวางเช่นนี้”
“แล้วมันไม่จริงหรือ ท่านเป็นไท่จื่อย่อมต้องคุ้นเคยกับกฎหมายของราชอาณาจักร แล้วท่านเห็นหรือไม่ว่ามีกฎข้อใดห้ามสตรีแตะต้องอาวุธ? บัดนี้ท่านไม่อนุญาตให้ข้าแตะต้องอาวุธ ซึ่งถือว่าเป็นการตั้งกฎใหม่ขึ้นมาเองใช่หรือไม่?” เมิ่งอวิ๋นเสียงสงสัย
หลังจากเจอสองคำถามติดต่อกัน จิ่งหรงก็พูดไม่ออก “เปิ่นหวางไม่อนุญาต ให้ผู้หญิงของเปิ่นหวางแตะต้องสิ่งเหล่านี้”
“ช่างไร้เหตุผลนัก”
“......”
“เมิ่งอวิ๋นเสียง!” มีเสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง
“เรียกทำไมบ่อยนัก ไท่จื่อผู้มีเกียรติเสียงดังยิ่งกว่าเทพเจ้าแห่งสายฟ้าลุ่ยกง ท่านกลัวว่าจะไม่ได้กลับสวรรค์หรืออย่างไร?”
“เจ้ากล้าสาปแช่งเปิ่นหวางให้ตายเลยหรือ?”
“......”
เมิ่งอวิ๋นเสียงไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขาต่อไปอีก นางจึงลุกขึ้นเดินไปที่เตียงพลางพึมพำว่า “หากไม่มีอะไรทำก็อย่ามารบกวนการพักผ่อนของข้า” ไม่รู้ว่าไท่จื่อองค์นี้มีปัญหาอะไรนักหนา เขามักจะมารบกวนนางเมื่อนางต้องการพักผ่อนเสมอ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ใบหน้าอันหล่อเหลาของจิ่งหรงก็มืดมนราวกับก้นหม้อ สตรีผู้นี้ช่างเหลือเกินจริง ๆ
บทที่ 36
ข่มขู่
เมื่อพูดจบเมิ่งอวิ๋นเสียงก็ไม่ได้ยินเสียงใดข้างหลังนาง นางจึงคิดว่าจิ่งหรงคงจะเชื่อฟังและออกไปจริง ๆ และสงสัยว่าเหตุใดวันนี้ตัวเองถึงได้พูดเก่งนัก นางกำลังจะหันหลังไปบอกราตรีสวัสดิ์เขาก่อนที่เขาจะออกไป
ขณะที่นางกำลังจะพูดก็รู้สึกว่าข้อมือของนางถูกจับ และเสียงมืดมนของจิ่งหรงก็ลอยเข้าหูนาง เมิ่งอวิ๋นเสียงตกใจมาก ชายผู้นี้มาอยู่ข้างหลังนางตั้งแต่เมื่อใด นางไม่รู้สึกตัวเลยว่าเขาขยับเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้
“เมิ่งอวิ๋นเสียง เจ้าคิดว่าเจ้าพูดกับเปิ่นหวางดีแล้วใช่หรือไม่? คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะโง่เขลาถึงเพียงนี้ เจ้าอย่าคิดว่าจะสามารถทำตามใจชอบในตำหนักบูรพาของเปิ่นหวางได้ โดยอาศัยจวนเสนาบดีของเจ้า เปิ่นหวางจะบอกเจ้าว่าหากเจ้าล้ำเส้นพื้นฐานของเปิ่นหวางเมื่อใด เปิ่นหวางจะส่งเจ้าไปลงนรกพร้อมกับจวนเสนาบดีของเจ้า” ชายหนุ่มพูดขณะแผ่ความเย็นยะเยือกออกมา เขากระซิบข้างหูของนางด้วยเสียงอันแผ่วเบา ทำให้นางรู้สึกว่าผมบนศีรษะของตนตั้งชันทันที
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งอวิ๋นเสียงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้าควรอยู่ในตำหนักบูรพาของเปิ่นหวางอย่างเชื่อฟังตลอดเช้าจรดค่ำ มิฉะนั้นเปิ่นหวางจะไม่รังเกียจที่จะส่งเจ้าไปพบกับยมบาล”
ชายผู้นี้กำลังข่มขู่นาง แต่เมิ่งอวิ๋นเสียงไม่ใช่คนที่จะยอมจำนนอยู่แล้ว หากเขาบอกให้นางไปทางตะวันออก นางก็จะไปทางตะวันตก เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งอวิ๋นเสียงก็แสยะยิ้ม ดวงตาคู่งามของนางกระตุกก่อนจะหันกลับไปหยิบของบางอย่าง เมื่อหันกลับมานางก็สะบัดแส้โลหิตอสรพิษเงิน แล้วฟาดออกไปราวกับจะตีคนที่อยู่ข้างหลังเขา
มีเสียงดังเพียะ ภายในชั่วพริบตาโต๊ะด้านข้างที่ถูกแส้โลหิตอสรพิษเงินก็พังทลายลงทันที และคนที่อยู่ข้างหลังนางก็ตกตะลึงมากยิ่งขึ้นไปอีก
เขาเป็นผู้มีวรยุทธ์ ปกติแล้วหากฝั่งตรงข้ามมีการเคลื่อนไหว เขาก็จะตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทว่าครั้งนี้เขากลับไม่รู้สึกเลย
นางว่องไวยิ่งนักและใช้แส้อย่างคล่องแคล่วจนเขาไม่อาจหลบหนีได้ทัน แต่โชคดีที่เป้าหมายของนางไม่ใช่เขา จิ่งหรงคิดว่าหากแส้ไม่ได้ฟาดโต๊ะแต่ฟาดเขาแทนก็คงจะแย่แน่นอน
“เมิ่งอวิ๋นเสียง เจ้าเสียสติไปแล้ว” จิ่งหรงตกตะลึง เขาคาดไม่ถึงว่าเมิ่งอวิ๋นเสียงจะลงมือกับเขา ซึ่งยิ่งช่วยยืนยันคำพูดของปี้เหลียนที่เขาได้ยินมาในวันนี้
“ไท่จื่อ เนื่องจากวันนี้ท่านได้ให้ข้อเสนอแนะมากมายแก่ข้า แล้วเหตุใดไม่ให้ข้าให้ข้อเสนอแนะแก่ท่านบ้างเล่า ท่านเกลียดข้าและข้าก็เกลียดท่านเช่นกัน จากนี้ไปน้ำบ่อจะไม่ยุ่งกับน้ำคลองอีก ท่านข้ามสะพานไม้แผ่นเดียวของท่านไป ส่วนข้าก็จะเดินไปตามทางที่สะดวกของข้า ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็ไม่ต้องการให้ท่านมาสนใจ และข้าก็จะไม่ล้ำเส้นท่านอีก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าหวังว่าไท่จื่อจะต้องรับรู้ไว้ นั่นก็คือข้าจะไม่ปล่อยให้ผู้อื่นมาทำร้ายคนข้างกายข้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม”
นางเน้นย้ำประโยคสุดท้ายอย่างหนักแน่น ความแน่วแน่ในดวงตาของนางทำให้จิ่งหรงรู้สึกราวกับว่าเป็นภาพลวงตาที่แปลกประหลาด ราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าสตรีที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นใคร
นางดูแตกต่างไปจากเมื่อก่อนยิ่งนัก
หลังจากพูดจบ เมิ่งอวิ๋นเสียงก็เพิกเฉยต่อเขา นางหันหลังกลับและผล็อยหลับไปด้วยท่าทางที่นุ่มนวลและอ่อนโยน ราวกับว่านางได้ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นออกไปแล้วจนหมดสิ้น
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เมิ่งอวิ๋นเสียงก็ไม่เคยเห็นจิ่งหรงมาหาเรื่องนางอีกเลย ทุกครั้งที่นางเดินออกจากห้อง นางก็อดไม่ได้ที่จะยังคงพูดว่าข้าจะไม่ปล่อยให้เขาทำร้ายเจ้าได้อีก
เมื่อชิงหลัวเห็นเช่นนั้นก็แทบจะลุกขึ้นยืนไม่ได้ ไท่จื่อเฟยงี่เง่าอีกแล้ว
เมิ่งอวิ๋นเสียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและผ่อนคลาย นางกินนอนเต็มที่และรู้สึกดี ผิวของนางเปล่งปลั่งขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่ทำให้นางยังไม่พอใจก็คือนางต้องการที่จะฝึกแส้ต่อไป นางจึงสั่งให้คนไปชวนอู๋ถงมา แต่ไม่ว่าจะถูกเกลี้ยกล่อมอย่างไรอู๋ถงก็ปฏิเสธที่จะมา ต้องเป็นเพราะคนใจแคบอย่างจิ่งหรงเป็นแน่ เขาคงอิจฉาทักษะการใช้แส้ของนางที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงไม่ปล่อยให้อู๋ถงสอนนางต่อไป