บทที่ 33-34
บทที่ 33
นางไม่แยแส
“เจ้านายของเจ้าไม่พอใจ แต่ใบหน้าของคนรับใช้ของข้าเต็มไปด้วยเลือด หากเป็นดังที่เจ้าพูดก็แสดงว่าเจ้าต้องการให้คนรับใช้ของข้าได้รับความคับข้องใจด้วยเช่นกัน ดังนั้นข้าควรประทับรอยแผลลงบนใบหน้าของเจ้านายของเจ้าด้วยใช่หรือไม่?”
“นั่น...”
เมื่อเจียงหลูเยวี่ยได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ ตอนนี้นางไม่สามารถทำอะไรสตรีผู้นี้ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่านางได้รับการสนับสนุนจากจวนเสนาบดีอยู่เบื้องหลัง หากมีความขัดแย้งโดยตรงกับนาง ก็จะมีเพียงตัวเองเท่านั้นที่จะต้องทนทุกข์ อีกไม่นานก็จะขอให้จิ่งหรงหย่ากับนางแล้ว
เมื่อเจียงหลูเยวี่ยคิดได้ดังนั้นนางก็เปลี่ยนสีหน้า ท่าทางชั่วร้ายของนางหายไปในบัดดล เมื่อนางมองเมิ่งอวิ๋นเสียงที่น่าหวาดเกรง สายตาอันแข็งกร้าวของนางก็อ่อนลงและกระซิบว่า “พี่สาว”
เมิ่งอวิ๋นเสียงกำแส้เงินในมือแน่น ทันทีที่นางเห็นรอยแผลบนใบหน้าของชิงหลัว สตรีผู้นี้ก็ถูกนางทุบจนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในหัวใจของนางหลายร้อยครั้ง
“ว่าอย่างไร เจ้าพร้อมแล้วหรือ? ตั้งแต่ได้แส้นี้มามันก็ยังไม่เคยได้ลิ้มรสเลือดเลย ข้าไม่รังเกียจที่จะให้เจ้าเป็นคนแรก” เมื่อนางพูดเช่นนั้น เจียงหลูเยวี่ยก็ก้าวถอยหลังด้วยความหวาดระแวง
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ นางก็หลับตาลงอีกครั้ง คิ้วของนางเต็มไปด้วยความคับข้องใจ เสียงพูดของนางสั่นเครือเล็กน้อยและเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า “ทั้งหมดเป็นความผิดของน้องเอง น้องไม่รู้ว่านี่คือคนของพี่สาว หากรู้ว่านี่คือคนของพี่สาว ต่อให้น้องจะต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด น้องก็จะไม่เถียงเลยแม้สักคำ”
สำหรับพี่สาวเมิ่งอวิ๋นเสียงผู้เย่อหยิ่งนั้นสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้ แม้ว่าคนรอบข้างของนางจะต้องถูกไท่จื่อผิน กลั่นแกล้งก็ตาม แต่ตอนนี้เมิ่งอวิ๋นเสียงไม่สนใจ ทุกคนในโลกสามารถกลั่นแกล้งนางได้ แต่นางไม่อนุญาตให้ใครมาแตะต้องคนของนาง
“หากเป็นดังที่เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจ เช่นนั้นข้าก็จะทำทุกอย่างตามที่ข้าต้องการ” เมื่อกล่าวจบนางก็ยกแส้โลหิตอสรพิษเงินในมือขึ้นมา แล้วฟาดไปยังทิศทางของเจียงหลูเยวี่ยด้วยความเร็วปานสายฟ้า เจียงหลูเยวี่ยตกใจจึงรีบดึงตัวองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างนางมาบัง และแส้เงินก็ฟาดไปที่องครักษ์ผู้นั้นอย่างแม่นยำ ทันใดนั้นแส้เงินก็เปื้อนโลหิตแดงฉาน
เจียงหลูเยวี่ยคาดไม่ถึงว่าเมิ่งอวิ๋นเสียงจะทำจริง ในขณะนี้นางหวาดกลัวเสียจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ นางไม่มีพละกำลังพอที่จะฆ่าไก่เสียด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับ เมิ่งอวิ๋นเสียงที่มีอาวุธอยู่ในมือ เจียงหลูเยวี่ยมองเลือดบนร่างขององครักษ์ด้วยความตื่นตระหนก ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสยดสยอง
แต่ก่อนที่นางจะหายตื่นตระหนก เจ้าของใบหน้าที่งามสง่าก็เดินตรงมาข้างหน้านาง รูม่านตาของเจียงหลูเยวี่ยหดลงอย่างกะทันหัน นางกรีดร้องและล้มลงกับพื้น
“เจ้า... เจ้าอย่าเข้ามานะ”
เมื่อเห็นเมิ่งอวิ๋นเสียงก้าวเข้ามาใกล้นางทีละก้าวพร้อมกับแส้เงินในมือ เจียงหลูเยวี่ยก็ตะโกนด้วยความหวาดกลัว
เมิ่งอวิ๋นเสียงก้าวเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจียงหลูเยวี่ย แล้วยกแส้เงินขึ้น เจียงหลูเยวี่ยหลับตาและคิดว่าแส้เงินจะฟาดลงบนตัวนางในไม่ช้า แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งร่างกายของนางก็ไม่มีความเจ็บปวด ดังนั้นนางจึงลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นก็คือ เมิ่งอวิ๋นเสียงแสยะยิ้มกว้างให้นาง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“เป็นอะไรไป? กลัวหรือ?” แม้ว่าจะเป็นฤดูร้อน แต่ เจียงหลูเยวี่ยก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมารอบตัวเมิ่งอวิ๋นเสียง ซึ่งทำให้กายของนางสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้
“เจ้า...”
“ข้าบอกเจ้าแล้วนะว่าอย่าพยายามทำร้ายผู้คนรอบตัวข้า มิฉะนั้นเจ้าจะเป็นวิญญาณดวงแรกที่ได้ลิ้มรสแส้โลหิตนี้”
เมื่อกล่าวจบนางก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งให้นางตื่นตระหนกราวกับเพิ่งได้เผชิญหน้ากับอสูรอยู่เพียงผู้เดียว
บทที่ 34
ร้องทุกข์
ภายในห้องโถงตำหนักของเมิ่งอวิ๋นเสียงยังคงมีเสียงคร่ำครวญเหมือนหมูถูกเชือดตามปกติ ทว่าคราวนี้เจ้าของเสียงไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นเสียง แต่เป็นชิงหลัว
“ไป๋เฉา เจ้าดูเอาเถิด” ดวงตาของชิงหลัวเป็นสีแดงก่ำ จมูกเล็ก ๆ ของนางก็เป็นสีแดง นางคร่ำครวญพลางมองไป๋เฉา และพยายามกระตุ้นความสงสารในใจของไป๋เฉา แต่น่าเสียดายที่ชิงหลัวคิดผิด
เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจเบา ๆ ในตอนที่ก้นของนางบาดเจ็บเช่นนั้น ไป๋เฉาก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกสงสารออกมาแม้แต่น้อย แล้วเจ้ายังจะคาดหวังความเห็นอกเห็นใจจากไป๋เฉาอยู่อีกหรือ?
อันที่จริงไป๋เฉาก็มีความเห็นอกเห็นใจ แต่สำหรับคนทั้งสองนี้นางรู้สึกว่าไม่น่าเห็นใจเลย
“ไท่จื่อเฟย ท่านคิดว่าข้าจะเสียโฉมหรือไม่?” เดิมทีชิงหลัวคิดว่านางยังโขกศีรษะไม่แรงพอ ด้วยความที่นางใจร้อนจึงโขกเพิ่มอีกสองสามครั้ง เมื่อนางกลับมาส่องกระจกก็แทบจะรับหน้าผากตัวเองไม่ได้
“ใช่แล้ว” เมิ่งอวิ๋นเสียงกัดแอปเปิลด้วยท่าทางราวกับกำลังรับชมละครอยู่ นางพยักหน้าก่อนจะครุ่นคิดว่า หน้าตาของตนตอนที่ต้องดื่มยานั้นน่าอายเช่นนี้หรือไม่? ไม่น่าจะมีอะไรน่าอับอายใช่หรือไม่?
เมื่อชิงหลัวได้ยินคำพูดของเมิ่งอวิ๋นเสียงก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก นางยังไม่ทันได้แต่งงานเลย แต่ใบหน้ากลับเสียโฉมเสียแล้ว และปากของนางก็ไวเท่ากับความคิด
“หากไม่มีใครต้องการแต่งงานกับเจ้า ข้าก็จะสั่งให้เจ้าไม้แห้งนั่นแต่งงานกับเจ้า ไหน ๆ คนหนึ่งก็โสดและอีกคนหนึ่งก็ยังไม่แต่งงาน” เมิ่งอวิ๋นเสียงมีความคิดนี้เมื่อนานมาแล้ว โดยคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยากที่จะจับคู่คนทั้งสอง
“ใคร... ใครจะแต่งงานกับเจ้าไม้แห้งนั่นเพคะ” จู่ ๆ ชิงหลัวก็หน้าแดงก่ำ เมื่อนึกถึงตอนที่อู๋ถงช่วยพยุงนางขึ้นมาในวันนั้น
เมิ่งอวิ๋นเสียงและไป๋เฉามองหน้ากันโดยไม่ได้เอ่ยคำใด
“แต่ว่า ไท่จื่อเฟย วันนี้ท่านได้เปิดศึกกับไท่จื่อผินอย่างเปิดเผยเพื่อข้า หากไท่จื่อทราบเรื่องนี้ก็จะ...” ไม่มีใครไม่รู้ว่า ไท่จื่อผินเป็นดั่งส่วนหนึ่งของหัวใจของไท่จื่อ นางเป็นคนที่เขาโปรดปรานมากที่สุด ในหัวใจของไท่จื่อนั้น แม้แต่ตำแหน่ง ไท่จื่อเฟยก็ยังไม่ดีเท่าตำแหน่งไท่จื่อผิน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วชิงหลัวก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก
เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงได้ฟังเช่นนั้นก็กลอกตา “เจ้าคิดว่าไท่จื่อจะไม่รู้เรื่องนี้หรือ?”
“แต่ว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าน้อย หากไท่จื่อจะลงโทษก็ต้องจับตัวข้าน้อยไป อย่าปล่อยให้ไท่จื่อทำร้ายไท่จื่อเฟยแม้แต่ปลายเล็บ” ชิงหลัวกำลังจะร้องไห้ หากไท่จื่อไม่พอใจ ไท่จื่อเฟยเพราะนาง นางก็จะกลายเป็นคนบาปหนาที่สุดใน ตำหนัก ที่ต่อให้นางชดใช้ด้วยชีวิตก็ยังไม่สาสม
“เจ้าคิดว่าไท่จื่อไม่พอใจข้าเพียงเพราะเจ้าหรือ เขาไม่พอใจข้ามาตั้งนานแล้ว ข้าเห็นเขาไม่มีความสุขมานาน จึงใช้โอกาสนี้หาเรื่องไปจากเขา แล้วทุกคนก็จะมีความสุข” เมิ่งอวิ๋นเสียงเดาความคิดของชิงหลัว และอดไม่ได้ที่จะประชดประชัน
“ไม่ได้อย่างแน่นอน!” ทันทีที่คำพูดนั้นออกมา ไป๋เฉาและชิงหลัวก็ค้านเป็นเสียงเดียวกัน
“พวกเจ้าทั้งสองจะก่อกบฏหรือ?” เมิ่งอวิ๋นเสียงตกใจเสียงที่เป็นที่เป็นเอกฉันท์นี้ จนแอปเปิลแทบจะหล่นจากมือ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็ปลอบโยน “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะพาพวกเจ้าไปด้วย ข้าจะไม่ทิ้งพวกเจ้าไว้ในถ้ำหมาป่าแห่งนี้หรอก”
เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งสองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่คิดได้เพียงครู่หนึ่งก็เริ่มร้องไห้อีกแล้ว ไท่จื่อเฟย นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาใส่ใจเรื่องของพวกเรานะเพคะ!