บทที่ 31-32
บทที่ 31
หาเรื่อง
เมื่อสาวงามได้อาวุธใหม่ คนทั้งตำหนักต่างก็รู้กันทั่วว่าความวุ่นวายเกิดขึ้นแล้ว
วันนี้เมิ่งอวิ๋นเสียงหยิบแส้ของนางขึ้นมาอีกครั้ง และเรียกอู๋ถงให้มาซ้อมประลองกับนาง
อู๋ถงผู้มีใบหน้าเศร้าหมองรู้ดีว่าตราบใดที่เขายังอยู่ในตำหนักช่วงสองสามวันนี้ ไท่จื่อเฟยก็จะเรียกเขาให้ไปซ้อมประลองด้วยอย่างแน่นอน การจะมีวันหยุดสุดสัปดาห์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเขาไม่สามารถหลบหนีให้พ้นจากเงื้อมมือของไท่จื่อเฟยได้ ต่อให้เขาจะยุ่งกับการทำตามหน้าที่ส่วนตัวก็จะต้องติดตามนางไป ที่สำคัญก็คือเวลาส่วนตัวของเขาถูกไท่จื่อเฟยแย่งไปหมดแล้ว
เขาเพียงแค่อยากให้ตนอยู่รอดเท่านั้น
เมิ่งอวิ๋นเสียงฝึกแส้ด้วยตัวเอง ขณะที่ชิงหลัวและอู๋ถงจ้องมองนาง
“เจ้าไม้แห้ง มองทำไม...”
“ใครมองเจ้า?”
“ห้ามมองไท่จื่อเฟยมากเกินไป”
“.......”
เมิ่งอวิ๋นเสียงรู้สึกเบื่อหน่ายกับการพยายามฟาดใบไม้ตามคำสั่งของอู๋ถง ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานางใช้แส้อย่างราบรื่นมาก แต่เมื่อนางต้องเคลื่อนไหวตามที่กำหนดก็รู้สึกว่ามันน่าเบื่อและจืดชืด ซึ่งทำให้นางรู้สึกอึดอัดยิ่งขึ้น
หลังจากหยุดพักชั่วครู่ มืองามก็โบกไปทางทิศที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอยู่ และอู๋ถงก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“อู๋ถง เจ้าบินได้หรือ?” เมิ่งอวิ๋นเสียงถามด้วยดวงตาเบิกกว้างและท่าทางใสซื่อ
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ” อู๋ถงแทบอยากจะสิ้นใจตาย ไท่จื่อเฟย ข้าดูเหมือนว่ามีปีกบนหลังหรือ?
“เช่นนั้นก็... ช่างมันเถอะ เจ้ามาโยนของขึ้นไป”
ใช่แล้ว นี่คือวิธีการฝึกแบบใหม่ที่เมิ่งอวิ๋นเสียงเพิ่งคิดขึ้นมา หากนางยังคงแกว่งแส้อยู่ที่เดิม แม้ว่านางจะสามารถออกกำลังแขนได้ แต่ความแม่นยำก็ยังไม่เพียงพอ ดังนั้นเมิ่งอวิ๋นเสียงจึงให้อู๋ถงขว้างสิ่งของขึ้น แล้วให้นางใช้แส้ฟาดให้โดน ซึ่งการโยนจะเหมือนกับการโยนจานร่อนให้สุนัข
หลังจากผ่านไปหนึ่งรอบ ปรากฏว่าวิธีการฝึกฝนนี้ถูกต้อง เมิ่งอวิ๋นเสียงพบข้อบกพร่องของตนอย่างรวดเร็ว ในบรรดาวัตถุ สิบชิ้นที่อู๋ถงขว้างไป นางสามารถโจมตีได้เพียงชิ้นเดียว ไม่เพียงแต่ขาดความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังขาดความแม่นยำอีกด้วย
อู๋ถงมองเมิ่งอวิ๋นเสียงด้วยความชื่นชม เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีวิธีฝึกแส้ที่ยุ่งยากเช่นนี้ แม้ว่ามันจะยากขึ้นเล็กน้อย แต่ก็มีประสิทธิภาพนัก ตอนนี้เขาจึงได้วิธีใหม่ในการฝึกทหารแล้ว
แต่ชิงหลัวต้องขื่นขม เพราะทุกครั้งที่สิ่งของลอยออกไปนอกตำหนัก นางจะต้องคอยเก็บมันขึ้นมาทีละชิ้นเพื่อไม่ให้เสียหาย
และดูเหมือนว่าอู๋ถงจะตระหนักดีจึงใช้วิธีเจ้าเล่ห์ ด้วยการจงใจเลือกขว้างของไปยังสถานที่ที่ใกล้กับประตูตำหนักมากที่สุด ชิงหลัวมองสิ่งที่เพิ่งถูกโยนออกไปอีกครั้ง และอยากจะตะโกนให้ก้องฟ้า แต่ด้วยอำนาจของเมิ่งอวิ๋นเสียง นางจึงได้รับมอบหมายให้วิ่งออกไปนอกประตูตำหนักอีกครั้ง แต่ใครจะคิดว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นเพราะการวิ่งออกไปครั้งนี้
วัตถุที่อู๋ถงขว้างออกไปดันลอยไปกระทบคนที่เดินผ่านมา และคนผู้นี้ก็คือเจียงหลูเยวี่ย ไท่จื่อผินของไท่จื่อที่ออกมา “เดินเล่น”
“เพียะ” เสียงตบดังขึ้นพร้อมกับเสียงด่าทออย่างเกรี้ยวกราดของหญิงสาว เสียงเหล่านั้นทำให้ชิงหลัวรู้สึกหูอื้อไปชั่วขณะ “นางสุนัขรับใช้ ไม่มองเลยว่าข้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรขว้างของมาโดนข้า เจ้ากำลังรนหาที่ตายหรือ?”
เมื่อชิงหลัวเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเป็นเจียงหลูเยวี่ย ดวงตากลมโตของนางก็มีน้ำตาคลอเบ้าทันที จากนั้นก็นางคุกเข่าลงบนพื้นแล้วคำนับสองสามครั้ง “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยไม่รู้ว่าไท่จื่อผินจะเสด็จผ่านมาทางนี้ และคิดว่าไท่จื่อผินจะอ้อมไปอีกทางเพคะ!”
บทที่ 32
เกิดเรื่องกับชิงหลัว
คำพูดนั้นเป็นความจริง แต่คนฟังจะปล่อยผ่านมันไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร
ปี้เหลียนขยับเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างข้างหู เจียงหลูเยวี่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ทำให้ใบหน้าเกรี้ยวกราดของเจียงหลูเยวี่ยยิ่งดูร้ายกาจมากกว่าเดิม
“คนของไท่จื่อเฟยหรือ?” เมื่อคิดดูอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าหลังจากเดินเล่นไปรอบ ๆ นางก็มาถึงสถานที่ที่เมิ่งอวิ๋นเสียงอยู่แล้วจริง ๆ
ก่อนหน้านี้นางถูกเมิ่งอวิ๋นเสียงเล่นงานมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้คนของนางพานางไปที่ประตูด้วยตัวเอง ดังนั้นตอนนี้จะมาตำหนินางว่าหยาบคายไม่ได้
เจียงหลูเยวี่ยเดินเข้าไปหาอย่างแช่มช้า ก่อนจะนั่งยอง ๆ และจ้องไปยังคนร้ายที่กำลังสั่นเทาอยู่ข้างหน้านางด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย นิ้วเรียวยาวจับใบหน้าเล็ก ๆ ของชิงหลัวที่น้ำตาไหลพรากอย่างนุ่มนวล ทันใดนั้นนางก็คว้าคางแหลมของหญิงรับใช้ที่พยายามหลบตาให้สบตากับนาง
ชิงหลัวกล้ำกลืนความเจ็บปวด แต่เนื่องจากอำนาจของคนตรงหน้า นางจึงไม่กล้าส่งเสียงใดออกมา
“นี่คือสิ่งที่เจ้าโยนออกมาใช่หรือไม่?” เจียงหลูเยวี่ยถือสิ่งของขนาดเล็กไว้ในมือ สิ่งนั้นคือตุ๊กตาหัวเสือที่อู๋ถงเพิ่งโยนออกมา
ดวงตาของชิงหลัวเป็นสีแดงก่ำ นางจ้องไปยังสิ่งของที่อยู่ในมือของเจียงหลูเยวี่ยและกำลังจะตอบว่าใช่ แต่ก็นางหยุดและส่ายหน้า
“ช่างกล้านัก เจ้ากล้าหลอกลวงข้า มีสัญลักษณ์ของตำหนักไท่จื่อเฟยปักไว้บนนี้อย่างชัดเจน แล้วจะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” เจียงหลูเยวี่ยตวาดด้วยเสียงแหลมอย่างเกรี้ยวกราด รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏที่มุมปากของนาง ราวกับว่านางจับตัวคนผิดได้
“ไท่จื่อผิน ข้าน้อยเป็นคนผิด ข้าน้อยเป็นผู้โยนมันออกมาเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับคนอื่นเลยเพคะ” เมื่อชิงหลัวเห็นว่านางไม่อาจทนได้อีกต่อไป นางก็ตื่นตระหนก แต่ก็ยังคงยอมรับผิดทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว
“ต้องการจะปกป้องไท่จื่อเฟยของเจ้าอย่างนั้นหรือ? มันสายเกินไปแล้วหรือไม่ ต่อไปข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าการมีชีวิตอยู่แล้วทุกข์ทรมานมากกว่าตายมันเป็นเช่นไร พานางกลับไปที่ตำหนักของข้า แล้วข้าจะสอบสวนนางว่าใครเป็นคนทำให้นางเหิมเกริมได้ถึงเพียงนี้ เป็นเพียงทาสชั้นต่ำแต่บังอาจแข็งข้อต่อไท่จื่อผิน” เจียงหลูเยวี่ยกล่าวอย่างเข้มงวด ขณะพูดเช่นนั้น นัยน์ตาของนางฉายแววอำมหิต
“ไท่จื่อผิน ข้าน้อย...”
กลุ่มคนก้าวเข้ามาเพื่อจะพาตัวชิงหลัวออกไป ใครรู้ว่าก่อนที่พวกเขาจะได้แตะต้องชิงหลัว พวกเขาก็ถูกแส้เงินฟาด ทันใดนั้นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น
เจียงหลูเยวี่ยตกตะลึง นางมาปรากฏตัวในเวลานี้ได้อย่างไร
“ให้ตายเถอะ กล้าดีอย่างไรจะมาพรากคนของข้าไปจากข้า เจ้ากินหัวใจหมีดีเสือดาวไปหรือถึงได้กล้าเช่นนี้?” เมิ่งอวิ๋นเสียงถือแส้เงินไว้ในมือ แล้วจ้องมองไปยังเจียงหลูเยวี่ย อย่างเกรี้ยวกราด ดวงตาของนางดูเย็นชายิ่งนัก
ชิงหลัวลืมตาขึ้นเมื่อนางได้ยินคำพูดนั้น ก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้นไห้เมื่อเห็นไท่จื่อเฟย แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของ เมิ่งอวิ๋นเสียงคือใบหน้าแดงก่ำของชิงหลัว และคราบเลือดที่ติดอยู่บนหน้าผากของนาง
เมื่ออู๋ถงที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้นก็ตกใจและกังวลมาก เขารีบก้าวเข้าไปพยุงชิงหลัวให้ลุกขึ้น
มีเสียงเพียะดังขึ้นอีกครั้ง มันคือเสียงแส้เงินโบกสะบัดไปในอากาศแล้วฟาดลงกระทบพื้น “ใครเป็นคนทำ?”
เสียงต่ำของเมิ่งอวิ๋นเสียงน่าสะพรึงกลัวราวกับเสียงปีศาจจากขุมนรก ดวงตาคู่งามของนางเต็มไปด้วยความดุร้าย ซึ่งทำให้ผู้พบเห็นสัมผัสได้ถึงความงามที่มาพร้อมความน่าเกรงขาม
“ไท่จื่อเฟย มันเป็นเพราะนางสุนัขรับใช้ตัวนี้วิ่งชนไท่จื่อผิน และยังกล่าววาจาโป้ปดจนขัดแย้งกับไท่จื่อผินด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการดูหมิ่นมากเกินไป ด้วยความที่ไท่จื่อผินรู้สึกไม่ดีจริง ๆ จึงจะนำตัวนางไปสอบสวนเพคะ”
คนที่อยู่เคียงข้างเจียงหลูเยวี่ยมาหลายปีทำดังที่คาดหวังไว้ด้วยความไม่พอใจ นางพยายามพูดเพื่อปกป้องเจ้านายของตน และยกประเด็นคนรับใช้กระด้างกระเดื่องขึ้นมาด้วย นับว่านางฉลาดยิ่งนัก
หลังจากที่นางพูดจบ เจียงหลูเยวี่ยก็เห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยบนริมฝีปากของเมิ่งอวิ๋นเสียง รอยยิ้มนั้นดูน่าเกรงขามและมีเสน่ห์ราวกับดอกฝิ่นที่เบ่งบานรับอรุณ เห็นได้ชัดว่านางเย้ยหยันคำกล่าวที่ว่าจะพาตัวไปสอบสวน