บทที่ 29-30
บทที่ 29
ฝึกวิทยายุทธ (2)
วันรุ่งขึ้นพระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้า แสงแดดส่องผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้สาดแสงกระจายไปทั่วพื้นดิน เป็นเวลาเที่ยงวันที่สามารถมองเห็นไอร้อนระอุบนทางเดินได้
ฟู่- เสียงหยาดเหงื่อหยดลงบนพื้นและระเหยไปทันที
เมิ่งอวิ๋นเสียงกัดฟันนั่งยอง ๆ ใต้แสงแดดอันร้อนระอุ นางปล่อยให้เหงื่อทุกหยดไหลออกจากทุกรูขุมขนในร่างกายของนาง ก่อนที่จะร่วงลงสู่พื้นอย่างสวยงาม
นี่เป็นวันที่สองหลังจากเจรจากับอู๋ถง เขาเป็นคนตรงต่อเวลายิ่งนัก แม้ว่านางจะเป็นไท่จื่อเฟย แต่ก็ดูเหมือนว่าอู๋ถงจะฝึกฝนและปฏิบัติต่อนางราวกับว่านางไม่ได้เป็นไท่จื่อเฟย
“เจ้าไม้แห้ง นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือ นั่นคือ ไท่จื่อเฟยของเรา เหตุใดเจ้าถึงไร้เหตุผลเช่นนี้” ชิงหลัวเป็นกังวลเมื่อเห็นเมิ่งอวิ๋นเสียงนั่งตากแดดมาสองสามชั่วโมงแล้ว ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงที่กำลังเหงื่อโซมกายได้ยินเสียงตะโกนนั้นก็เกือบจะกระโดดขึ้น นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชิงหลัวจะน่ารักถึงเพียงนี้
แต่หากคนผู้นี้เดินออกมาจากร่มไม้ แล้วนำแตงโมมาให้หรือพัดให้ นางก็จะซาบซึ้งใจมากกว่านี้
เมื่ออู๋ถงได้ยินคำพูดนั้นก็หยุดฝึก แล้วมองเมิ่งอวิ๋นเสียงอย่างไร้เดียงสาแล้วพูดว่า “นั่น... นั่นคือสิ่งที่ไท่จื่อเฟยร้องขอเอง!”
เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงเจอเขาในวันแรกของการฝึก นางให้เขาสาบานว่าเขาจะฝึกนางในลักษณะเดียวกับที่เขาฝึกทหารชั้นยอดในตอนแรกเขากังวลยิ่งนัก แต่เมิ่งอวิ๋นเสียงก็ยังคงยืนยัน
เป็นครั้งแรกที่เมิ่งอวิ๋นเสียงรู้ซึ้งถึงคำกล่าวที่ว่า ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเอง นางชื่นชมทัศนคติที่จริงจังและชัดเจนของอู๋ถง นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกัดฟันพูดว่า “ไม่เป็นอะไร ข้า... ข้าฝึกต่อไหว...”
“แต่ไท่จื่อเฟย ท่านนั่งยอง ๆ เช่นนี้มาหลายชั่วโมงแล้ว ดังนั้น...” ด้วยวิธีนี้ต่อให้จะฝึกร่างกายมาอย่างดี แต่ก็ไม่มีทางที่ขาจะไม่สั่น
เมิ่งอวิ๋นเสียงไม่รู้เรื่องนี้ แต่ในฐานะไท่จื่อเฟย นางไม่มีเหตุผลใดที่จะถอยหลังกลับ และถึงแม้ว่านางจะไม่ได้มีสถานะเป็นไท่จื่อเฟย แต่การรักษาสัญญาก็เป็นหนึ่งในหลักของการเป็นมนุษย์สำหรับนาง เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงคิดได้เช่นนี้ก็เกือบจะน้ำตาไหลพราก
“ไม่เป็นอะไร ชิงหลัว ไท่จื่อเฟยของเจ้าจะเป็นคนที่ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต สวรรค์มอบหน้าที่อันใหญ่หลวงให้ข้าแล้ว ก่อนอื่นข้าจะต้องมุ่งมั่นอดทนเพื่อฝึกฝนกล้ามเนื้อและกระดูกให้แข็งแรงก่อน…”
แปะแปะ มีเสียงปรบมือดังขึ้นสองครั้ง แล้วจิ่งฮวาก็เดินเข้ามา “ฮ่าฮ่า การแบกรับความรับผิดชอบจากสวรรค์อันยิ่งใหญ่นั้นเป็นเรื่องที่ดี ช่างเป็นคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างแท้จริง...”
“ถวายบังคมหวงจื่อลำดับที่หก”
......
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เมิ่งอวิ๋นเสียงก็เหลือบมองเขา วันนี้เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน มีผ้าสีน้ำเงินลายเมฆมงคลพันรอบเอวของเขา ผมสีดำขลับของเขาถูกมัดไว้และสวมมงกุฎสีเงินขนาดเล็กที่ฝังด้วยหยก รัศมีที่เปล่งประกายจากมงกุฎช่วยขับผิวของเขาให้ดูขาวผ่อง
เมิ่งอวิ๋นเสียงเห็นแล้วก็นึกถึงผิวของตัวเองที่กำลังจะกลายเป็นสีแทน และเริ่มรู้สึกว่าจะทนไม่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
นางเอามือลงแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะร้องตะโกนว่าฝึกไม่ได้แล้ว ฝึกไม่ได้แล้ว นางคงจะตกนรกหากไม่พูดคำนี้ออกไป
เมื่อชิงหลัวได้ยินคำพูดนั้น นางก็รีบก้าวเข้าไปรินน้ำชาแล้วยกมาให้
“ไท่จื่อเฟย ท่าน...” เมื่ออู๋ถงเห็นเช่นนั้นก็กังวลใจ นางพูดได้อย่างไรว่าฝึกไม่ได้ หากไม่ฝึก!
ขณะที่เขากำลังจะเกลี้ยกล่อมให้นางฝึกต่อ เขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยสายตาของจิ่งฮวา
เขายกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินไปหาเมิ่งอวิ๋นเสียงที่กำลังพักผ่อนอยู่ใต้ร่มไม้
“อู๋ถงฝึกฝนตามวิธีการฝึกทหารชั้นยอด อันที่จริงก็แทบไม่มีใครทนได้หรอก นับประสาอะไรกับอาเสียง เจ้าไม่มีพื้นฐานทางด้านวิทยายุทธเลย การฝึกนี้จึงห่างไกลจากความจริงมากเกินไป”
เมิ่งอวิ๋นเสียงคิดว่าจิ่งฮวาจะมาที่นี่เพื่อเกลี้ยกล่อมนางเหมือนอู๋ถง นางจึงกำลังคิดหาเหตุผลมากมายที่จะนำมาหักล้าง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจิ่งฮวาจะยอมให้นางถอย ซึ่งนางก็เห็นด้วยกับเขาทันที
บทที่ 30
ของกำนัล
เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงได้ยินเช่นนั้น นางก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อาฮวาพูดได้ถูกต้องยิ่งนัก และมันไม่ใช่ความผิดของอู๋ถงเลย แต่เป็นเพราะข้าเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป”
เมิ่งอวิ๋นเสียงใช้โอกาสนี้หยิบแตงโมชิ้นหนึ่งส่งให้เขา ซึ่งจิ่งฮวาก็รับมันไว้อย่างไม่รังเกียจและนั่งลงข้างเมิ่งอวิ๋นเสียง
เมื่อเห็นเช่นนี้ เมิ่งอวิ๋นเสียงก็คิดว่าถึงแม้จิ่งฮวาจะเป็นหวงจื่อ แต่เขาก็ไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่างเฉกเช่นเชื้อพระวงศ์ทั่วไป หากคนที่นางยื่นแตงโมให้ในตอนนี้คือจิ่งหรง เขาก็คงจะปัดแตงโมของนางทิ้ง แล้วด่าว่านางไม่มีความเป็นกุลสตรีอีก คิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะมองจิ่งฮวาอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง
“หน้าข้ามีเมล็ดแตงโมติดอยู่หรือ? อาเสียง เหตุใดเจ้ามองหน้าข้าเช่นนั้นเล่า?” จิ่งฮวาตกใจเมื่อเห็นว่าจู่ ๆ นางก็จ้องหน้าเขาอยู่นาน และคิดว่าตนเผลอทำให้นางขุ่นเคือง
เมิ่งอวิ๋นเสียงส่ายหน้าแล้วก้มหน้าก้มตากินแตงโม และพูดด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ไม่มีอะไรหรอก วันนี้ข้ารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย”
จิ่งฮวาเม้มปาก “ความจริงแล้วไม่ต้องฝึกเช่นนี้ก็ได้ คนแต่ละคนเหมาะกับวิธีฝึกที่แตกต่างกันไป เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเจ้าไม่เหมาะกับวิธีนี้แน่นอน ซึ่งยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนวิธีฝึกใหม่”
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าเหมาะกับวิธีใด?” ตอนแรกเจ้าสนับสนุนให้ข้าฝึกวิทยายุทธ แต่ตอนนี้เจ้ากลับบอกว่ามันไม่เหมาะกับข้า อาฮวา เจ้ามีส่วนทำให้ข้ายกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเอง
“ว่ากันว่ามีศิลปะการต่อสู้มากมายที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ เจ้าสามารถเลือกอาวุธที่เหมาะกับเจ้า หรืออะไรก็ได้ที่เจ้าชอบ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสมากที่จะฝึกฝนจนประสบความสำเร็จด้วย” จิ่งฮวาอธิบาย
หลังจากพูดเช่นนั้นจบแล้ว คนที่อยู่ข้างเขาก็หัวเราะจนเผยให้เห็นฟันขาวของนาง และตบไหล่เขาเพื่อแสดงความเห็นด้วย “ไม่เลว ไม่เลว อาฮวา เจ้าเป็นของขวัญจากเทพเจ้าจริง ๆ เจ้าช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก”
หลังจากเอ่ยชมเขาแล้ว เมิ่งอวิ๋นเสียงก็ครุ่นคิดอีกครั้ง “อาวุธอย่างนั้นหรือ...”
แต่จิ่งฮวาตกตะลึงกับการกระทำกะทันหันนี้ไปชั่วขณะ ไม่มีใครกล้าหัวเราะต่อหน้าเขาเช่นนี้มาก่อน และไม่มีสตรีคนใดเคยตบไหล่เขาเช่นนี้ หรือไม่ก็ไม่กล้าทำ เหตุใดถึงไม่กล้า?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ดูเหมือนว่าตราบใดที่เขาอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่เคยมีสตรีคนใดหัวเราะมาก่อนเลย พวกนางน่าจะถูกครอบงำด้วยความรู้สึกชวนแปลกแยกที่แผ่ซ่านออกมาจากเขา และพากันออกห่างจากเขา มีเพียงอาเสียงเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวเขา
เมื่อความคิดของเขากลับมา เขาก็เห็นสตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาก้มหน้าลงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มงามสมบูรณ์แบบ “เนื่องจากข้าเป็นผู้เสนอแนวคิดให้ ดังนั้นข้าย่อมคิดไว้แล้วว่าอาวุธขนิดใดจะเหมาะกับเจ้า”
ก่อนที่เมิ่งอวิ๋นเสียงจะตอบสนอง จิ่งฮวาก็เรียกคนรับใช้สองคนมา พร้อมกล่องสี่เหลี่ยมที่ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงในมือของพวกเขา
ดวงตาของเมิ่งอวิ๋นเสียงเป็นประกาย “นี่คืออะไร?”
“เจ้าเปิดดูเดี๋ยวก็รู้แล้ว”
เมิ่งอวิ๋นเสียงก้าวไปข้างหน้าแล้วเปิดกล่องออกดู แล้วดวงตาของนางก็เป็นประกายยิ่งกว่าเดิม เพราะสิ่งที่ปรากฏตรงหน้านางคือแส้โลหิตสีเงิน
“แส้นี้มีชื่อว่าแส้โลหิตอสรพิษเงิน ทำด้วยลวดเงินขดเป็นเกลียว ตามตำนานกล่าวว่ามีงูยักษ์สีเงินอาศัยอยู่บนภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ผิวหนังของมันสามารถปรับให้อ่อนนิ่มราวสำลี หรือแข็งแกร่งราวกับเพชรก็ย่อมได้ ช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ได้ยินเรื่องนี้และพบรังของงู จากนั้นก็ทำแส้เงินยาวเก้าฉื่อนี้ขึ้นมา เมื่อแส้นี้ฟาดไปยังคนหรือสัตว์ มันจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจึงเรียกว่าแส้โลหิตอสรพิษเงิน” จิ่งฮวาก้าวเข้ามาอธิบาย
ก่อนที่จิ่งฮวาจะพูดจบ เมิ่งอวิ๋นเสียงก็ลองสะบัดแส้เข้ากับต้นไม้ และแน่นอนว่าแส้นั้นโบกสะบัดราวกับงูสีเงินที่มีชีวิต
“อาฮวา ขอบคุณมากนะ นี่เป็นของกำนัลที่ดีที่สุดที่ข้าเคยได้รับจากที่นี่” เมื่อพูดจบแล้วนางก็กอดจิ่งฮวา ก่อนจะปล่อยเขาแล้วหันหลังเดินจากไป
จิ่งฮวาถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังท่ามกลางสายลม
“อู๋ถง วางแตงโมในมือลงได้แล้ว ไปเร็ว ไปฝึกแส้กันเถอะ”