บทที่ 19-20
บทที่ 19
เมฆาดุจอาภรณ์ บุปผาดั่งหญิงงาม
จิ่งหรงหรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขาฉายแววเย้ยหยัน “เปิ่นหวางรู้ว่าเจ้ามีความหึงหวง และความดื้อรั้นของเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป ปรากฏว่าที่เจ้าไปเที่ยวโถงสีเขียว ก็เพราะว่าเจ้าคิดเรื่องการแต่งงานระหว่างเปิ่นหวางกับเยวี่ยเอ๋อ!”
“ถุย!” เมิ่งอวิ๋นเสียงไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย นางจึงถ่มน้ำลายแล้วพูดว่า “ท่านหลงตัวเองมากเกินไป ผีที่ไหนจะไปหึงหวงท่าน!”
ชิงหลัวเริ่มตัวสั่นสะท้าน ขาของนางสั่นราวกับตะแกรงร่อนแกลบ นางยืนอยู่ข้างหลังจิ่งหรง และสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตมืดมนที่แผ่ซ่านออกมา และปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา
ทันใดนั้นเขาก็ตวาดด้วยความโกรธจัด “ออกไป!”
เมิ่งอวิ๋นเสียงพูดอย่างไม่พอใจว่า “คนของข้า เหตุใดต้องออกไปเพราะคำสั่งของท่านด้วย! หากพวกเจ้าต้องการจะออกไป ก็ออกไปด้วยตัวเอง!”
ชิงหลัวตื่นตระหนกจนทรุดตัวลงกับพื้น ขาและเท้าของนางกลับกลายเป็นไม่มั่นคง และไป๋เฉาก็พยุงนางออกไป
เมิ่งอวิ๋นเสียงตวาดไล่หลังไปอย่างโกรธเคืองว่า “พวกเจ้าสองคนไร้จรรยาบรรณกันถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
เมื่อเห็นว่าไป๋เฉาและชิงหลัวออกไปข้างนอกแล้ว เมิ่งอวิ๋นเสียงที่แต่เดิมคิดว่าตัวเองเป็นต่อเพราะเป็นสถานการณ์แบบสามต่อหนึ่ง จู่ ๆ ก็สูญเสียการสนับสนุนที่แข็งแกร่งไป
คราวนี้นางอดกลืนน้ำลายไม่ได้ แต่ก็นางก็ยังคงไม่ยอมแพ้ นางยกมือขึ้นเท้าเอวและยืดหลังตรง ก่อนจะขึ้นไปยืนอยู่บนเตียงแล้วเชิดคางขึ้นมองจิ่งหรงด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
จิ่งหรงที่ถูกนางบังคับให้ต้องอยู่ใต้อำนาจของนาง หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เมฆาดุจอาภรณ์บุปผาดั่งหญิงงาม ลมวสันต์พัดผ่านรั้ว”
เมิ่งอวิ๋นเสียงแสดงท่าทางเย่อหยิ่งขณะพูดเยาะเย้ยเขาว่า “อย่าคิดว่าการท่องบทกวีสองบรรทัดนี้ แล้วจะทำให้ไท่จื่อเฟยผู้นี้ให้อภัยท่านได้”
จิ่งหรงหรี่ตาลง คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความดูหมิ่นเหยียดหยาม “เมิ่งอวิ๋นเสียง เจ้าอย่าแกล้งทำเป็นวิกลจริต เจ้าเป็นผู้ให้บทกวีสองบทนี้แก่เปิ่นหวาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าบทกวีครึ่งหลังคืออะไร?”
สิ่งที่เมิ่งอวิ๋นเสียงสงสัยคือ เหตุใดจู่ ๆ จิ่งหรงจึงสนใจที่จะพูดคุยเรื่องบทกวีกับนางในตอนนี้ เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงได้ฟังคำพูดเหยียดหยามของเขา เมิ่งอวิ๋นเสียงก็นึกอยากจะบอกเขาว่า “ชิงผิงเตี้ยว” นี้เขียนขึ้นโดยหลี่ไป๋ กวีเอกผู้ยิ่งใหญ่ แล้วเขาคิดอย่างไรถึงได้เอ่ยถึงขึ้นมาและใช้ว่ากล่าวนางเช่นนี้?
เมิ่งอวิ๋นเสียงกลืนคำพูดด่าทอลงท้องของนาง ทันใดนั้นนางก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมฆาดุจอาภรณ์บุปผาดั่งหญิงงาม อวิ๋นเสียงที่แปลว่าเมฆา จะเป็นเรื่องบังเอิญไปได้อย่างไร?
เมื่อจิ่งหรงเห็นว่านางมีปฏิกิริยาบ้างแล้ว คำพูดของเขาก็ยิ่งประชดประชันมากขึ้น “ตอนที่เจ้ายังเด็ก อาจารย์ของเจ้าสอนบทกวีให้แก่เจ้า แต่หลังจากที่เจ้าได้เรียนรู้บทกวีใหม่สองสามบท เจ้าก็เปลี่ยนชื่อของเจ้าเป็นอวิ๋นเสียงอย่างน่าขัน เพื่อยกย่องความเศร้าโศกที่กินใจนั้น แต่หากเจ้ายังจำช่วงครึ่งหลังของ ”ชิงผิงเตี้ยว“ไม่ได้ เปิ่นหวางก็จะบอกเจ้าตอนนี้เองว่า...”
เมิ่งอวิ๋นเสียงกลอกตา แล้วขัดจังหวะเขาด้วยการพูดว่า “หากมิใช่พานพบที่ภูผาหยก ก็คงเป็นใต้แสงจันทรา”
จิ่งหรงและเจียงหลูเยวี่ยนั้นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
จิ่งหรงนิ่งเงียบ ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยของนางเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด เขาจ้องมองนางโดยไม่อาจคาดเดาท่าทางของนางได้
เมิ่งอวิ๋นเสียงสนใจและเยาะเย้ยเขาอย่างเย็นชา “ไท่จื่อต้องการจะบอกข้าว่า ไม่ว่าข้าจะเปลี่ยนชื่อของข้าอย่างไรข้าก็ยังคงเป็นตัวข้าคนเดิม และท่านกับเจียงหลูเยวี่ยย่อมต้องเคียงคู่กัน”
จิ่งหรงยกยิ้มโดยไม่ได้เอ่ยคำใด “เปิ่นหวางดูถูกเจ้ามากไปหน่อย เจ้าก็มีสมองเหมือนกันนี่”
เขาสงบมากจนดูเหมือนใจเย็นลงแล้วหรือ? แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากตัวเอง แต่เมิ่งอวิ๋นเสียงก็โกรธอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และรู้สึกอัดอั้นอยู่ในใจยิ่งนัก
ปรากฏว่าจิ่งหรงอารมณ์ไม่ดี เขาจึงพูดถึงบทกวีนี้กับนางในเวลานี้ เพราะเขาต้องการเยาะเย้ยนางว่านางหึงหวงเขา!
คิดดูแล้วไม่ว่าเมิ่งอวิ๋นเสียงคนเดิมจะมีนิสัยเช่นไร แต่จากข้อเท็จจริงที่ว่านางเต็มใจเปลี่ยนชื่อ ก็เป็นเพราะว่านางหลงใหลบทกวีบทนี้จริง ๆ แต่เขากลับเอาเรื่องนี้มาเยาะเย้ยนาง
มันกลายเป็นว่าเขานั้นช่างไร้ความปรานีและเย็นชา นางคิดว่าเขาเป็นเพียงคนอารมณ์ไม่ดีที่ชอบหาเรื่อง ซึ่งทำให้นางรำคาญเล็กน้อย แต่นางคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นคนไร้หัวใจเช่นนี้ นางเกลียดเขาจริง ๆ
เมิ่งอวิ๋นเสียงหรี่ตามองเขาราวกับว่าไม่เต็มใจจะมองอีกต่อไป และพูดเยาะเย้ยว่า “ไท่จื่ออย่าได้กังวล ข้าคิดว่าชื่อก็เป็นเพียงชื่อ เมื่อก่อนข้าเคยเป็นเด็กและโง่เขลา และในอนาคตท่านสามารถมีคนอื่นอีกกี่คนก็ย่อมได้ และข้าสามารถต้อนรับนางเข้าประตูมาได้อย่างไม่เห็นแก่ตัว!”
จิ่งหรงไม่คิดว่านางจะตอบสนองเช่นนี้ เขาจึงชะงักไปเล็กน้อยก่อนถามว่า “เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือ?”
“เพคะ นางข้าหลวงอาวุโสอวี่กล่าวไว้ว่าในฐานะไท่จื่อเฟย ข้าจะต้องสง่าผ่าเผย มีความรู้ สุภาพ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่!” เมิ่งอวิ๋นเสียงพูดเสียงดัง และมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ยิ้ม
จิ่งหรงถอนหายใจก่อนจะเดินจากไป
เมิ่งอวิ๋นเสียงแลบลิ้นใส่เขาและทำหน้าตาล้อเลียน แต่ จู่ ๆ จิ่งหรงก็หันกลับมาและจะคว้าตัวนางไว้ เมิ่งอวิ๋นเสียงจึงรีบล้มตัวนอนบนเตียงและแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
บทที่ 20
ประลองอีกครั้ง
เมื่อเมิ่งอวิ๋นเสียงตื่นในเช้าวันรุ่งขึ้น นางก็ยังคงนอนคว่ำหน้าอยู่ นางรู้สึกหิวจนท้องร้องจึงเรียกชิงหลัวมาเพื่อให้นางทำอาหารเช้าให้
ชิงหลัวยืนนิ่งด้วยสีหน้าลำบากใจ “ไท่จื่อเฟย ไท่จื่อทรงรับสั่งไว้ว่าหากท่านตื่นแล้ว ให้เชิญท่านไปเสวยอาหารเช้าที่ห้องโถงด้านหน้าเพคะ”
“ไท่จื่อไม่ชอบเจอข้าไม่ใช่หรือ? เมื่อก่อนข้าเคยไปรับประทานอาหารร่วมกับเขาด้วยหรือ” เมิ่งอวิ๋นเสียงมองนางด้วยแววตาสับสน นางรู้อยู่ในใจว่าต้องมีบางอย่างที่ยุ่งยากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ชิงหลัวหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างลังเลว่า “ไท่จื่อตรัสว่าท่านต้องการจะดูว่าไท่จื่อเฟยเรียนรู้วิธีการนั่งได้บ้างหรือยัง?”
แน่นอนว่าเขากำลังคิดจะหาเรื่องนาง เมิ่งอวิ๋นเสียงรู้สึกกังวลเล็กน้อย “หากข้าไม่ไปล่ะ?”
“ไท่จื่อตรัสว่าหากเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าไท่จื่อเฟยไร้ความสามารถ และจะสั่งให้นางข้าหลวงอาวุโสอวี่สอนท่านอย่างเข้มงวดกว่าเดิมแน่นอนเพคะ”
ชิงหลัวพูดขณะที่ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ไท่จื่อเฟย ไท่จื่อก็รู้ว่าท่านได้รับบาดเจ็บ แล้วเหตุใดยังต้องมาบังคับให้ท่านเรียนเรื่องมารยาทในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ด้วยล่ะ เพคะ?”
เมิ่งอวิ๋นเสียงพ่นลมหายใจ แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกไป “นั่นเป็นเพราะไท่จื่อจงใจจับผิด และไม่ต้องการให้ข้ารู้สึกดีขึ้น”
ชิงหลัวเข้าใจทันทีว่าเมื่อวานนี้จะต้องเป็นไท่จื่อเฟยที่ไม่เต็มใจจะพูด จึงทำให้ไท่จื่อโกรธเคือง คราวนี้เขาจึงจงใจทำให้นางอับอาย
“แล้วตอนนี้ควรทำเช่นไรดีเพคะ?” ชิงหลัวขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างกังวลใจ “เก้าอี้ไม้ที่ทั้งแข็งและเย็น ไท่จื่อเฟยไม่อาจนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่แข็งและเย็นได้ในตอนนี้”
เมิ่งอวิ๋นเสียงได้ความคิดใหม่ นางกวักมือเรียกชิงหลัว “เจ้าไปนำผ้าฝ้ายเนื้อนุ่มมาเย็บติดกับกางเกงชั้นใน พยายามให้หนาที่สุดเท่าที่จะทำได้”
หลังจากที่ชิงหลัวได้ยิน นางก็รีบลงไปเตรียมจัดการทันที
เมิ่งอวิ๋นเสียงเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่ที่ชิงหลัวช่วยทำให้ จากนั้นก็เดินผ่านทางเดินไปยังห้องโถงด้านหน้า
ก่อนก้าวเข้าไปในประตู นางก็ได้ยินเสียงพูดคุยหยอกล้อราวนกกระจิบในหุบเขา เสียงนั้นดังขึ้นแผ่วเบา ถ้อยคำนั้นชวนให้นางรู้สึกขมขื่นราวบทเพลง “คะนึงหา” ที่แสนเศร้า
เมิ่งอวิ๋นเสียงสั่นสะท้านเล็กน้อยเมื่อก้าวเข้าไปในประตู สิ่งแรกที่นางเห็นคือจิ่งหรงและเจียงหลูเยวี่ย ร่างของทั้งคู่แนบชิดติดกันราวกับไม่มีใครอยู่ข้างพวกเขา นางอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
เจียงหลูเยวี่ยกำลังเลือกตะเกียบสำหรับจิ่งหรง คิ้วของนางขมวดทันใด นางหันไปทางฉากกั้นห้องอันวิจิตรงดงามข้างนาง แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ดูเหมือนว่าจะดีนะเพคะ แต่ช่างน่าผิดหวังเสียจริง”
จิ่งหรงหัวเราะออกมาดังลั่น แต่ก่อนที่รอยยิ้มจะจางหายไป เขาก็ตวาดว่า “ออกไป!”
เมิ่งอวิ๋นเสียงที่ประตูตัวแข็งทื่อขณะคิดว่าควรทำเช่นไรต่อ เจียงหลูเยวี่ยเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยตาเป็นประกาย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สาวอย่าเข้าใจผิด ตอนนี้ไท่จื่อไม่ได้หมายถึงท่านเพคะ”
เมิ่งอวิ๋นเสียงนึกเย้ยหยันในใจ ขณะที่นางกำลังจะพูด ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งออกมาจากหลังฉากกั้นห้อง ในอ้อมแขนถือผีผาเอาไว้ จากนั้นก็เห็นเพียงชุดสีเหลืองซีดที่สะบัดออกไป
เมื่อจิ่งหรงเห็นว่าเมิ่งอวิ๋นเสียงยังคงมีท่าทีสับสน เขาก็รู้สึกเหนื่อยใจและหันไปดื่มชา “ยังไม่เข้ามาอีก”
เมิ่งอวิ๋นเสียงแอบชายตามองเขาแล้วเดินเข้าไปอย่างแช่มช้า ก่อนที่นางจะเข้าใกล้เขา นางก็หยุดและจ้องมองเจียงหลูเยวี่ยที่กำลังพิงกายอยู่ในอ้อมแขนของจิ่งหรง
วันนี้นางค่อนข้างจะตั้งใจแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีฟ้า ตกแต่งใบหน้าบางเบาสดใส คิ้วของนางถูกเขียนงามราวภาพวาด มีชาดอยู่ที่หว่างคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาคู่งามมีความอ่อนโยน ใบหน้านั้นดูเย้ายวนเหมาะกับชุดที่สง่างาม เมื่อเห็นนางในวันงานอภิเษกสมรสก็ยิ่งเห็นว่านางดูงามราวกับดอกบัว
เมื่อเจียงหลูเยวี่ยถูกสายตาจ้องมองอย่างชัดเจนเช่นนี้ นางก็รู้สึกประหม่าอยู่ครู่หนึ่ง นางจำได้ว่าตอนที่จิ่งหรงเจอตนครั้งแรก เขาก็รู้สึกตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วเอื้อมมือออกไปจับนางไว้ในอ้อมแขนของเขาโดยไม่ลังเล
เจียงหลูเยวี่ยเช็ดใบหน้าที่บอบบางและเรียบเนียนของตน แล้วมองดูเมิ่งอวิ๋นเสียงอย่างเขินอายแล้วพูดว่า “เหตุใดพี่สาวมองเยวี่ยเอ๋อเช่นนี้? เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีดอกไม้ติดอยู่บนใบหน้าของเยวี่ยเอ๋อ”
เมิ่งอวิ๋นเสียงเลื่อนสายตาไปยังเอวที่อ่อนนุ่มราวไม่มีกระดูกของนาง ก่อนจะส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เปิ่นกงแค่คิดว่าท่านั่งของน้องสาวช่างไม่เหมาะสมยิ่งนัก จึงอดไม่ได้ที่จะมองดูอีกสักหน่อย”
รอยยิ้มของเจียงหลูเยวี่ยหายไปทันที แล้วนางก็นั่งตัวตรง