บทที่ 17-18
บทที่ 17
แทนตัวเองว่าเปิ่นกง
เมิ่งอวิ๋นเสียงที่กำลังสบายเพราะการนวดน่องอยู่ทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “สำหรับการบรรเทาความปวดเมื่อยให้เจ้านาย เจ้ายังบอกข้าว่าเป็นการเสียมารยาทอีกหรือ?”
นางข้าหลวงอาวุโสอวี่ประสานมืออย่างนอบน้อมแล้วตอบว่า “โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเพคะ ในวังมีขนบธรรมเนียมมากมาย ไม่ว่าจะนั่งหรือยืน คนรับใช้ก็จะต้องให้เกียรติและนอบน้อมเสมอ ส่วนเจ้านายก็จะต้องวางตัวให้สง่างามและเหมาะสม ช่างเจ็บปวดนักเมื่อเห็นว่าไท่จื่อเฟยปฏิบัติเช่นนี้เพคะ”
เมิ่งอวิ๋นเสียงแสดงสีหน้าไม่พอใจ นางเหลือบมองหญิงชราแล้วพึมพำว่า “ก็ข้าไม่ได้อยู่ในวังนี่นา”
“ไท่จื่อเฟยทำผิดอีกแล้ว ท่านต้องเรียกแทนตัวเองว่าเปิ่นกงนะเพคะ”
เมิ่งอวิ๋นเสียงไม่มีทางเลือก ในสมัยโบราณนั้นลำดับชั้นถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน และแม้แต่การใช้สรรพนามเรียกแทนตัวเองก็ยังต้องจำแนกเป็นระดับสูงและระดับต่ำ มันช่างยุ่งยากเสียจริง
แต่ก็ไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้นอีก
“ไท่จื่อเฟยเป็นหัวหน้าวังหลังของไท่จื่อ ทุกคำพูดและการกระทำล้วนต้องเป็นไปตามแบบแผนของราชวงศ์ ในอนาคตท่านก็จะต้องเข้าไปในวังพร้อมกับไท่จื่อ จึงต้องเรียนรู้มารยาทในราชสำนักเอาไว้นะเพคะ”
คำพูดของนางเต็มไปด้วยความจริง คำพูดมีความลึกซึ้งเสียจนทำให้เมิ่งอวิ๋นเสียงไม่สามารถโต้แย้งได้
นางจึงต้องติดตามไปเรียนรู้มารยาทหนึ่งวัน และเพิ่งจะได้เรียนรู้ท่านั่งที่ถูกต้อง
นางข้าหลวงอาวุโสอวี่สั่งให้คนนำเก้าอี้ไต้ซือมา ก่อนจะชี้ไปที่เก้าอี้เพื่อเชิญเมิ่งอวิ๋นเสียงให้นั่งลง
เมิ่งอวิ๋นเสียงเกิดความสงสัย แต่ก็ไม่กล้าที่จะประมาทเหมือนยามปกติ นางตั้งใจก้าวเท้าเดินไปด้วยท่าย่างดอกบัวแล้วนั่งลงอย่างแช่มช้า ก่อนจะฉีกยิ้มให้นางข้าหลวงอาวุโสอวี่
นางข้าหลวงอาวุโสอวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าของนางดูเป็นปกติ ทันใดนั้นนางก็ดึงไม้เรียวออกมาจากด้านหลัง แล้วตีไปที่ก้นของเมิ่งอวิ๋นเสียง
เมิ่งอวิ๋นเสียงทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดและกระโดดขึ้น ขณะที่นางกำลังจะโจมตีกลับ นางข้าหลวงอาวุโสอวี่ก็รีบก้มศีรษะแล้วพูดว่า “ไท่จื่อเฟยโปรดอภัยด้วยเพคะ ตั้งแต่ข้าน้อยเข้าวังก็ได้อบรมสั่งสอนเหล่าสตรีในวังให้เรียนรู้มารยาท นอกจากสาวงามที่เข้ามาในวังแล้ว ยังมีองค์หญิงและนางสนมอีกมากมาย ซึ่งทุกคนต่างได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน เพคะ”
“ก็ได้ ก็ได้!” เมิ่งอวิ๋นเสียงยอมรับและถามด้วยอารมณ์บูดบึ้ง “นางข้าหลวงอาวุโสอวี่ ข้า เอ้ย เปิ่นกงนั่งเช่นนี้แล้วจะเป็นอะไรไป?” นางท่องคำว่า “เปิ่นกง” ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย
นางข้าหลวงอาวุโสอวี่ไม่เห็นด้วย นางชี้ไปที่เก้าอี้ไต้ซือแล้วพูดว่า “โดยปกติแล้วเมื่อท่านเสด็จไปงานเลี้ยงหรือไปเยี่ยมเยียน ท่านจะต้องนั่งบนเก้าอี้ไม้เช่นนี้ ไท่จื่อเฟยยังคงมีกิริยาไม่เหมาะสม วันนี้เราจึงต้องเรียนรู้วิธีนั่งที่ถูกต้อง เมื่อสักครู่นี้ข้าน้อยจะไม่ถือสาเพคะ”
นางพูดช้าลงเล็กน้อย “การนั่งมีความพิเศษมากเช่นกัน บั้นท้ายสามารถนั่งได้เพียงสามจุดเท่านั้น โดยให้ลำตัวเอียงไปด้านข้างเล็กน้อย หลังตั้งตรง หน้าเชิด คางกดต่ำลงเล็กน้อย ท่านไม่สามารถเงยหน้ายกยิ้มเหมือนตอนนี้ได้ หากมีคนถามคำถามท่านสามารถหันศีรษะเพียงเล็กน้อยเพื่อตอบ”
นางอธิบายยืดยาวและสาธิตด้วยตนเอง ก่อนจะให้เมิ่งอวิ๋นเสียงทำอีกครั้ง
เมิ่งอวิ๋นเสียงพยายามทำตามตัวอย่างของนาง แต่กลายเป็นว่านางนั่งบนขอบเก้าอี้ด้วยหลังที่แข็งทื่อ ศีรษะเอียงเล็กน้อยและหลบสายตา ไม่กล้ามองไปรอบ ๆ
สักพักนางก็เริ่มรู้สึกปวดคอจึงอดไม่ได้ที่จะเอียงศีรษะไปอีกด้าน แล้วถามคนที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้างว่า “นางข้าหลวงอาวุโสอวี่ เจ้าแน่ใจหรือว่านั่งเช่นนี้จะไม่เป็นโรคกระดูกคอเสื่อม?”
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หญิงงามในสมัยโบราณหลายคนมักนั่งนิ่งเป็นท่อนไม้ ท่านั่งเช่นนี้ช่างดูฝืนธรรมชาติและทำลายสุขภาพอย่างยิ่ง
นางข้าหลวงอาวุโสอวี่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับนาง นางจึงสะบัดไม้เรียวเป็นคำตอบ
เมื่อไป๋เฉาส่งนางข้าหลวงอาวุโสอวี่ออกไปแล้ว แขนขาของเมิ่งอวิ๋นเสียงก็แข็งทื่อ นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะจึงล้มตัวลงนอนบนเก้าอี้ยาวนุ่ม
ชิงหลัวที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะล้อเลียนนาง “หากนางข้าหลวงอาวุโสอวี่เห็นไท่จื่อเฟยในตอนนี้ ไม่รู้ว่านางจะว่าอย่างไรนะเพคะ?”
“จะว่าอย่างไรเล่า!” เมิ่งอวิ๋นเสียงบ่นด้วยความหงุดหงิด “เจ้าไม่เห็นหรือว่าหลังจากนั้นนางไม่พูดอะไรมากแล้ว แต่กลับเริ่มสะบัดไม้เรียวในมือ เมื่อมันส่งเสียง”ฟึ่บ“ก้นของข้าก็ยังเป็นรอยอยู่เลย!”
“พรืด” ชิงหลัวอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แล้วพูดอย่างระมัดระวัง “ไท่จื่อเฟยเป็นที่รักของนายท่าน และไม่เคยถูกควบคุมความประพฤติในจวนเสนาบดีมาก่อนเลยเพคะ”
เมื่อเข้าสู่ตำหนักบูรพา ไท่จื่อจึงไม่กล้าทำอะไรท่านมากนัก ในหัวใจของข้าน้อย ท่านสั่งลมสั่งฝนได้ ท่านมีอำนาจทุกอย่าง เหตุใดท่านจึงยอมจำนนในเงื้อมมือข้าหลวงอาวุโสอวี่ได้เล่าเพคะ?
ก้นของนางยังคงเจ็บระบมอยู่ เมิ่งอวิ๋นเสียงจึงไม่กล้าขยับตัวมากนัก นางเหลือบมองอย่างไม่พอใจแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าอยากจะบอกว่าข้าเป็นคนหยิ่งผยองมากกว่า!”
ชิงหลัวแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นางก้มหน้าลงมองรองเท้าของตนอย่างจริงจัง
บทที่ 18
ดอกซิ่งแดงออกนอกกำแพง
เมิ่งอวิ๋นเสียงไม่สนใจมากนักและพูดว่า “นางข้าหลวงอาวุโสอวี่เป็นคนในวัง ทุกคำพูดของข้าย่อมไปถึงหูฮ่องเต้และฮองเฮาได้ ฉะนั้นไม่ว่าข้าจะดื้อรั้นและไร้ระเบียบเพียงใด ข้าก็ต้องทำตามเพราะต้องชั่งน้ำหนักความสำคัญไม่ใช่หรือ?”
หลังจากที่ชิงหลัวได้ฟังคำพูดที่มีเหตุผลนั้นแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเมิ่งอวิ๋นเสียงที่กำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยความสงสัย
นางคร่ำครวญกับตัวเองว่า “เจ้าคนบ้าจิ่งหรง หาคนในวังมาสอนมารยาทให้ข้า จนทำให้ข้าต้องมากล้ำกลืนทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ หากเป็นเพราะความรักและมีเหตุผล พ่อของข้าก็ยังไม่สนใจเรื่องนี้เลย”
ชิงหลัวขมวดคิ้วมากกว่าเดิม นางสงสัยในใจว่า ไท่จื่อเฟยเป็นคนที่มักจะสนใจเพียงแค่ความสุขของตัวเองเสมอ แล้วนางจะเข้าใจความเป็นจริงที่มีเหตุผลเหล่านี้ได้อย่างไร และนางชั่งน้ำหนักความสำคัญได้จริงหรือ?
ดูเหมือนว่าการที่สมองถูกกระทบกระเทือนครั้งนี้จะมีประโยชน์ยิ่งนัก
หลังจากที่ไป๋เฉาส่งนางข้าหลวงอาวุโสอวี่กลับไปแล้ว นางก็กลับมาทายาให้เมิ่งอวิ๋นเสียง เมิ่งอวิ๋นเสียงซุกใบหน้ากับหมอนและปล่อยให้นางถอดกางเกงออก จนเผยให้เห็นบั้นท้ายที่เปลือยเปล่าของนาง
ชิงหลัวเหยียดนิ้วชี้ยาวเรียวออกมาจิ้มบั้นท้ายของ เมิ่งอวิ๋นเสียง แล้วอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “ไท่จื่อเฟย บวมหมดแล้วเพคะ!”
เมิ่งอวิ๋นเสียงหายใจเข้าลึกแล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า “เบาหน่อย!”
ชิงหลัวหยุดพูดแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ไป๋เฉาก็หยุดเคลื่อนไหวอยู่นาน เมิ่งอวิ๋นเสียงเปิดเผยบั้นท้ายพลางส่ายหน้าเพราะอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอาย เมื่อนางกำลังจะเงยหน้าขึ้นจากหมอนก็ถูกทายาที่บั้นท้ายอีก
เมิ่งอวิ๋นเสียงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและบ่นอีกครั้ง “พวกเจ้าช่วยเบามือหน่อยได้หรือไม่?”
การทายานั้นค่อยนุ่มนวลขึ้นมาก เมื่อโรยผงยาลงไปแล้ว อาการปวดแสบปวดร้อนก็บรรเทาลงได้มาก เมิ่งอวิ๋นเสียงจึงรู้สึกดีขึ้นมากและอดไม่ได้ที่จะพูดต่อ
“นางข้าหลวงอาวุโสอวี่ผู้นี้ดูสุภาพและนอบน้อม แต่เมื่อนางสะบัดไม้เรียว ดอกไม้ที่บานในใจข้าก็ถูกเด็ดออกอย่างกะทันหัน จนทำให้กิ่งและใบเหี่ยวเฉาไปเลย”
“แย่มาก แย่ที่สุดเลย...” เมิ่งอวิ๋นเสียงส่งเสียงคร่ำครวญสองครั้งราวกับเสียงอีกา เมื่อนางเห็นว่าทั้งสองไม่ได้เอ่ยคำใด นางก็รู้สึกว่าพวกนางไม่มีความเห็นอกเห็นใจตนบ้างเลย
นางจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมที่จะใช้สายตาสั่งสอนหญิงสาวสองคนที่โง่เขลา
ทันใดนั้นชิงหลัวก็ตระหนักได้ถึงความไม่พอใจจากคำพูดของนาง นางจึงรีบพูดขึ้นทันทีอย่างตะกุกตะกัก เพราะไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่ “ไท่ ไท่ ไท่จื่อเฟย อันที่จริงท่านไม่สามารถตำหนินางข้าหลวงอาวุโสอวี่ว่าโหดร้ายได้ เพราะนางก็ปฏิบัติตามกฎเมื่อต้องสอนนะเพคะ”
เมิ่งอวิ๋นเสียงคิดว่ามันสมเหตุสมผลแล้ว นางจึงก้มหน้าซบหมอนอีกครั้งแล้วพูดกับนางว่า “จริงดังที่เจ้าว่า นางถูกส่งมาจากใครบางคน และคนที่ควรต้องกล่าวโทษจริง ๆ ก็คือจิ่งหรงนั่นต่างหาก”
เมิ่งอวิ๋นเสียงไม่ทันได้สังเกตว่าการทายาหยุดลงชั่วขณะ นางจึงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ข้าไม่อยากจะพูดเลยว่าจิ่งหรงนั่นใจแคบเกินไป ข้าแค่ไปเที่ยวโถงสีเขียวแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขา? หากเขาสามารถแต่งงานกับพระชายารองและเหล่านางสนมแสนสวยได้ แล้วข้าจะมองผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา และกลายเป็นดอกซิ่งแดงออกนอกกำแพงบ้างไม่ได้หรือ?”
*ดอกซิ่งแดงออกนอกกำแพง คือสำนวนหมายถึงหญิงที่มีสามีแล้ว แต่กลับแอบนอกใจสามีไปคบชู้
“เพียะ” เสียงฝ่ามือฟาดลงที่บั้นท้ายดังอย่างชัดเจน จนทำให้ทั้งร่างกายของเมิ่งอวิ๋นเสียงสะท้าน
“ไป๋เฉา เจ้าหยาบคายยิ่งนัก เชื่อหรือไม่ ข้าจะเอาตัวเจ้าไปขายให้กุลีเสียเลย!” เมิ่งอวิ๋นเสียงตำหนินางเสียงดังลั่น ก่อนจะรีบดึงกางเกงขึ้นแล้วลุกขึ้นจ้องไปที่ข้างเตียง
ไป๋เฉาไม่ได้นั่งอยู่ข้างเตียง แต่กลับเป็นใบหน้ามืดมนของใครบางคนที่กำลังจ้องมาที่นาง
เมิ่งอวิ๋นเสียงมองออกไปอย่างเงียบ ๆ และมองเห็นหญิงสาวสองคนยืนอยู่ข้างหลังเขา สีหน้าของชิงหลัวย่ำแย่และดูเหมือนนางกำลังจะร้องไห้ ส่วนสีหน้าของไป๋เฉาก็ไม่ค่อยต่างกันนัก และมองนางด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
เมิ่งอวิ๋นเสียงมองย้อนกลับไปด้วยกายอันสั่นเทา ก่อนจะคลี่ยิ้มให้จิ่งหรง “สวัสดี เหตุใดไท่จื่อถึงได้ว่างนักเล่าเพคะ ถึงกลับมาช่วยข้า... ไม่สิ มาช่วยเปิ่นกงทายาใช่หรือไม่เพคะ?”
จิ่งหรงพูดด้วยความโกรธจัด “เมื่อพูดกับเปิ่นหวางเจ้าต้องเรียกแทนตัวเองว่าหม่อมฉัน เดิมทีเปิ่นหวางคิดว่าหลังจากที่นางข้าหลวงอาวุโสอวี่สอนเจ้าในวันนี้แล้ว เจ้าจะรู้เรื่องมารยาทมากขึ้นบ้าง แต่เปิ่นหวางนึกไม่ถึงว่าเจ้าจะยังไม่เข้าใจเลยว่าอะไรเป็นอะไร!”
จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าที่มืดมนของเขาดูจริงจังขึ้นอีก “เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“พูดอะไรนะเพคะ?” เมิ่งอวิ๋นเสียงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ และมองเขาอย่างไร้เดียงสา