บทที่ 15-16
บทที่ 15
ปราศจากมารยาท
ช่างเป็นเหตุผลที่ฟังดูดียิ่งนัก เห็นได้ชัดว่านางมาที่นี่เพื่อลงโทษคนผิด และสิ่งที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อจิ่งหรง! เมิ่งอวิ๋นเสียงเริ่มกลอกตา
“สิ่งที่เยวี่ยเอ๋อพูดนั้นสมเหตุสมผลแล้ว”
มีเสียงดังขึ้นนอกโรงเก็บฟืน เพียงแค่ได้ยินเสียงโดยยังไม่ทันได้เห็นตัวคนพูด เมิ่งอวิ๋นเสียงใช้นิ้วเท้าคิดก็รู้ว่านั่นคือจิ่งหรงนั่นเอง
แน่นอนว่าเขาสวมเสื้อคลุมสีดำที่ปักดิ้นทอง บนศีรษะของเขาสวมมงกุฎหยก เขาเดินมาด้วยท่าทางสง่างามและเย่อหยิ่ง
เมื่อเขาเห็นเจียงหลูเยวี่ยนอนอยู่ที่พื้นพลางกุมข้อมือสีแดงของตนอยู่ สีหน้าของเขาก็อ่อนโยนลง ดูเหมือนนางลังเลที่จะพูด ขณะที่ปี้เหลียนถูกจับตัวไว้แน่นโดยมีน้ำตาอาบใบหน้า
ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความสงสาร เขารีบเข้าไปพยุงเจียงหลูเยวี่ยอย่างรวดเร็ว แล้วยกข้อมือของนางขึ้นเพื่อตรวจสอบ จู่ ๆ ก็มีรอยสีแดงปรากฏบนผิวที่ขาวกระจ่างใสราวกับหยกของนาง
เมิ่งอวิ๋นเสียงเห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะโมโห นางเพิ่งบีบข้อมือไปจึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะบาดเจ็บเช่นนี้
จิ่งหรงจ้องมองเมิ่งอวิ๋นเสียง ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
เมิ่งอวิ๋นเสียงเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วถอนหายใจอย่างโกรธเคือง “ท่านมองอะไร นางทำตัวเอง เรื่องบ้านี่เกี่ยวอะไรกับข้า!”
“พูดจาหยาบคาย!” จิ่งหรงดุด้วยสีหน้าโกรธจัด “ในฐานะที่เจ้าเป็นไท่จื่อเฟยผู้มีเกียรติ แต่เจ้ากลับไปเที่ยวในสถานที่อย่างเจ้าสำราญราวเมามายในความฝัน หากข่าวนี้แพร่ออกไป... รู้หรือไม่ว่าคำครหาของคนนั้นน่ากลัวเพียงใด?”
เจียงหลูเยวี่ยแสร้งทำเป็นประหลาดใจ นางมอง เมิ่งอวิ๋นเสียงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ราวกับ เมิ่งอวิ๋นเสียงได้ลงมือก่ออาชญากรรมร้ายแรง
“พี่สาวทำเช่นนั้นได้อย่างไร...”
แน่นอนว่าคำพูดของนางทำให้ดวงตาของจิ่งหรงเคร่งขรึมขึ้นทันที เขาหรี่ตามองเมิ่งอวิ๋นเสียงราวจะสื่อว่าการกระทำของนางครั้งนี้... ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
หญิงสาวไม่มีท่าทีสำนึกผิด นางผลักปี้เหลียนออกไปก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นและเยาะเย้ยเขา “ไท่จื่อ ข้าแค่ร่ำสุรากับอาฮวาและไม่ได้ไร้มารยาทถึงเพียงนั้น หากไม่ใช่เพราะท่านโกรธจัดเสียจนจับกุมข้ามาอย่างเอิกเกริก มันจะเกิดความโกลาหลถึงเพียงนี้ได้อย่างไรเพคะ?”
เมิ่งอวิ๋นเสียงนิ่งเงียบเมื่อพูดจบ ก่อนจะยกยิ้มอย่างมีเลศนัย “ตอนนี้มีข่าวลือว่าไท่จื่อพาหญิงโสเภณีมาเก็บไว้เป็นการส่วนตัว หากข่าวลือดังกล่าวรั่วไหลออกจากวัง...”
จิ่งหรงแทบรอไม่ไหวที่จะกำจัดรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง เขาหันหน้ามาตะคอกด้วยความโมโห “เจ้าอยากถูกขังเดี่ยวอีกใช่หรือไม่!”
เมิ่งอวิ๋นเสียงยักไหล่แล้วกล่าวว่า “แล้วแต่ท่านเลยเพคะ ไท่จื่อเฟยผู้นี้ไม่ได้ทุกข์ร้อนและจะไม่ขัดพระบัญชาเพคะ” หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วนางก็ก้าวขาพลางฮัมเพลงเล็กน้อย เพื่อเตรียมจะเดินออกจากประตูโดยไม่สนใจท่าทางของจิ่งหรงเลย
สีหน้าของจิ่งหรงบูดบึ้งขณะจ้องมองแผ่นหลังของ เมิ่งอวิ๋นเสียง ดวงตาของเขาจับจ้องนางแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เจียงหลูเยวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองดูเขาอย่างกังวล “ไท่จื่อ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นความผิดของพี่สาว แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการควบคุมข่าวลือนะเพคะ”
ฝีเท้าของเมิ่งอวิ๋นเสียงที่กำลังก้าวออกจากประตูหยุดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของนางเย็นชา การแสดงออกบนใบหน้าของ จิ่งหรงอ่อนลงเล็กน้อย เขาหยิบข้อมือสีแดงของนางมาถูที่ฝ่ามือของตนแล้วพูดเบา ๆ ว่า “เยวี่ยเอ๋อ เจ้ายังคงเข้าใจสถานการณ์โดยรวมเสมอ และเจ้าบาดเจ็บเช่นนี้เพราะช่วยข้า”
เจียงหลูเยวี่ยเงยหน้ามองเมิ่งอวิ๋นเสียงอย่างสงบ แล้วพูดต่อว่า “นี่คือสิ่งที่เยวี่ยเอ๋อต้องกระทำอยู่แล้ว หวังแต่เพียงว่าไท่จื่อจะหยุดถือโทษโกรธพี่สาวเพคะ...”
เมิ่งอวิ๋นเสียงฟังแล้วรู้สึกคลื่นไส้ แม่ดอกบัวขาวนี้แน่ใจได้อย่างไรว่ามันเป็นความผิดของนาง? ส่วนจิ่งหรงก็ยังคงอยู่ที่นั่น แสร้งทำเป็นเห็นด้วยกับนาง
เจียงหลูเยวี่ยเหลือบมองปี้เหลียนข้างกายนาง แล้วส่งสัญญาณให้นางถอยออกไป
ปี้เหลียนทำหน้าบูดบึ้ง นางขมวดคิ้วและห่อไหล่เมื่อเห็นเช่นนี้ ก่อนจะเดินออกไปโดยทิ้งเจียงหลูเยวี่ยไว้ด้วยใบหน้าที่ไม่เต็มใจ
เมื่อทั้งสองคนเดินผ่านเมิ่งอวิ๋นเสียง คำพูดเย้ยหยันก็ลอยเข้าหูของเจียงหลูเยวี่ย “เจ้าชอบตามล้างตามเช็ดเรื่องของผู้อื่นสินะ”
บทที่ 16
เรียนรู้จากท่านอาจารย์
เจียงหลูเยวี่ยเงยหน้าขึ้นทันที แต่เมื่อเห็นว่าเมิ่งอวิ๋นเสียงมองออกไปไกลโดยไม่ได้มองมาที่นาง นางก็ขมวดคิ้วแล้วเดินออกไป
เมื่อนางออกมาแล้ว ปี้เหลียนก็ก้าวเท้าเดินตามนางมาทางด้านข้างของเจียงหลูเยวี่ย แล้วพูดด้วยท่าทางไม่พอใจ “ไท่จื่อผิน เหตุใดท่านต้องกล่าววาจาแก้ตัวให้เมิ่งอวิ๋นเสียงด้วยเล่า เพคะ จะดีกว่าหรือไม่เพคะหากท่านพูดใส่ไฟนางเพื่อทำให้ไท่จื่อลงโทษนาง?”
สีหน้าของเจียงหลูเยวี่ยไม่อ่อนโยนเหมือนก่อน นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกัดริมฝีปากเยาะเย้ย “เปิ่นกงได้ยินมานานแล้วว่านางมีนิสัยเจ้าอารมณ์และเย่อหยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงการไปซ่องโสเภณี ต่อให้จุดไฟเผาซ่องนางก็ย่อมทำได้ และนางมี คนที่คอยคุ้มกันนางอยู่ เช่นนี้ไท่จื่อจะกล้าจัดการกับนางอย่างง่ายดายหรือ?”
สีหน้าของปี้เหลียนยังคงหงุดหงิด “เช่นนั้นจะปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้หรือเพคะ?”
“ย่อมเป็นไปไม่ได้ ยิ่งเปิ่นกงแสร้งเอาใจใส่นางมากเพียงใด เมิ่งอวิ๋นเสียงที่หยาบคายอยู่แล้วก็จะยิ่งดูหยาบคายมากขึ้นเท่านั้น และจะต้องถูกจัดการแน่ ไม่ต้องกังวล ไท่จื่อย่อมมีวิธีจัดการกับนาง” เจียงหลูเยวี่ยยกยิ้มอ่อน ดวงตาของนางกะพริบเล็กน้อยและทั้งสองก็ค่อย ๆ เดินต่อไป
ภายในโรงเก็บฟืน เมิ่งอวิ๋นเสียงหรี่ตาพลางหัวเราะเบา ๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะพึงพอใจหรือโกรธเคือง “น้องสาวช่างเอาใจใส่และมีเหตุผลยิ่งนัก”
เมื่อเห็นจิ่งหรงผู้มีสีหน้ามืดมนย่างกรายเข้ามาหานางทีละก้าว เมิ่งอวิ๋นเสียงก็ปกป้องคอที่เรียวยาวและอ่อนโยนของตนโดยไม่รู้ตัว นางถอยหลังสองสามก้าวพลางขมวดคิ้ว ขณะจ้องไปที่การเคลื่อนไหวมือของเขา “ท่านจะทำอะไร? หากท่านกล้าบีบคอข้า ข้าจะกลับไปที่วังเพื่อฟ้องพ่อของข้า...”
จิ่งหรงหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำขู่ของนาง เขารู้สึกโมโหเล็กน้อย “เมื่อมองดูเยวี่ยเอ๋อแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าไม่อาจเทียบนางได้เลย เมิ่งอวิ๋นเสียง หากเจ้ายังต้องการวางอำนาจในฐานะ ไท่จื่อเฟยต่อหน้าข้าราชบริพาร เจ้าก็ควรจะเรียนรู้เรื่องมารยาทและความมีเหตุผลแบบเยวี่ยเอ๋อบ้าง”
คำพูดของเขาไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอะไร นางเป็นไท่จื่อเฟย แต่จิ่งหรงกลับขอให้นางไปเรียนรู้เรื่องมารยาทจากนางสนม หากไม่ใช่เพราะมีต้นไม้ใหญ่ค้ำจุนนางอยู่ ก็เกรงว่าเขาคงจะดึงนางลงจากหลังม้าตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วใช่หรือไม่?
เมิ่งอวิ๋นเสียงพูดประชด “ไท่จื่อ หากข้ากลับไปที่วังแล้ว ข้าจะขอให้พ่อของข้าตำหนิอาจารย์ที่ไม่อาจสอนให้ข้าฉลาดและสุภาพกว่านี้ได้”
เมื่อจิ่งหรงได้ยินคำพูดของนาง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยเพราะในอดีต เมื่อเขาเอ่ยตำหนิ เมิ่งอวิ๋นเสียงผู้หยิ่งยโสและเจ้าอารมณ์ นางก็มักจะโต้เถียงอย่างรุนแรง และหันไปหยิบข้าวของมาขว้างปาอย่างเกรี้ยวกราด
ทว่าตอนนี้นางกลับสงบนิ่งขณะประชดเขาด้วยท่าทางผ่อนคลาย และกล้าที่จะยกพ่อของนางมาขู่ด้วย
เมื่อจิ่งหรงจ้องมองนาง ดวงตาของนางก็หรี่ลงด้วยความเกรงกลัวอันตราย เมิ่งอวิ๋นเสียงพยายามคิดว่าชายผู้นี้กำลังจะทำอะไร
เมื่อนางกลับไปก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างสบายบนเก้าอี้ยาวนุ่ม และสั่งให้ชิงหลัวทุบหลังและนวดขาให้นาง
ครู่หนึ่งนางก็ได้ยินเสียงเย็นชาของไป๋เฉาดังมาจากข้างนอก “เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่?”
ไม่นานนักคนผู้นั้นก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังและเคร่งขรึม “ข้าคือนางข้าหลวงอาวุโสอวี่ ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของไท่จื่อ”
เมื่อนางอ้างตัวว่าเป็นคนของจิ่งหรง ไป๋เฉาก็รู้สึกหวาดเกรงและอนุญาตให้นางเข้ามา
เมิ่งอวิ๋นเสียงยังคงนอนอย่างสงบ นางลืมตาขึ้นเหลือบมองผู้มาเยือนด้วยความสนใจ นางข้าหลวงอาวุโสสวมชุดราชสำนักนางสวมชุดกระโปรงสีเทา มือของนางแนบข้างลำตัว ใบหน้ามีรอยย่นด้วยอายุ นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะที่ยกยิ้มไม่เห็นฟัน
เมื่อเห็นว่านางยังคงหยุดอยู่กับที่ เมิ่งอวิ๋นเสียงก็เริ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ผู้ใดอยู่ที่นั่น?”
นางข้าหลวงอาวุโสอวี่ยังคงไม่ตอบ นางโบกแขนเสื้อกว้างแล้วทรุดตัวลงกับพื้น ก่อนจะทำการคำนับจนศีรษะของนางติดพื้นเสียงดัง “ฟึ่บ” ทำให้ชิงหลัวที่อยู่ข้างนางสูดหายใจเข้าลึก
นางข้าหลวงอาวุโสอวี่มีรอยยิ้มบนใบหน้า ขณะตอบอย่างนุ่มนวลว่า “ข้าน้อยผู้นี้เป็นนางกำนัลในราชสำนัก ไท่จื่อสั่งให้ข้าน้อยมาชี้แนะเรื่องมารยาทในราชสำนักให้แก่ไท่จื่อเฟย เพคะ”
“มารยาทในราชสำนัก?” เมิ่งอวิ๋นเสียงทวนคำพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่ผิดเพคะ” นางข้าหลวงอาวุโสอวี่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางฉายแสงแวบหนึ่งเมื่อมองไปยังชิงหลัว แล้วกล่าวว่า “พฤติกรรมของหญิงรับใช้ผู้นี้ไม่เหมาะสมเพคะ”
ชิงหลัวกำลังนวดน่องของเมิ่งอวิ๋นเสียงอยู่ หมัดเล็ก ๆ ของนางกำลังทุบอย่างแรง เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นนางก็หยุดมือทันที “ฟึ่บ” แล้วลุกขึ้นยืนขึ้นข้างผู้เป็นนาย