ตอนที่ 1244 นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ!
บัณฑิตวัยกลางคนจ้องมองเย่ว์หยาง
สายตาเหมือนกระบี่
ที่แทงทะลุเข้าไปในใจ
เย่ว์หยางค่อนข้างสงบเขาดื่มอย่างไม่แยแสมือหนึ่งถือปีกไก่ย่างกินทำราวกับว่าบุรุษวัยกลางคนไม่มีตัวตน ถ้าเจ้าอ้วนไห่และคนอื่นอยู่ที่นั่นบางทีเย่ว์หยางอาจดื่มกินร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข เนื่องจากเขาชอบกินชอบร้องรำทำเพลงให้ทุกคนฟัง
“ข้าเป็นคนทรยศของหอทงเทียน ใครทำกันเล่า?” บัณฑิตวัยกลางคนจ้องมองเย่ว์หยางและถามด้วยน้ำเสียงน่ากลัว
“เขาจะเป็นใคร ก็ไม่เกี่ยวกับข้า!” ใครจะไปรู้เรื่องที่เกิดเมื่อหมื่นปีที่แล้ว เย่ว์หยางถึงกล่าวว่าไม่สำคัญ
“ดังนั้นข้าผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงกลับมาที่นี่ในวันนี้เพื่อทวงถามความเป็นธรรมและเอาสิ่งที่เป็นของข้ากลับคืน” ความโกรธของบัณฑิตวัยกลางคนหายไปในทีทันใดดวงตาของเขากลับสงบและมีเหตุผลและแน่นอนว่าความเกลียดชังและความแค้นที่ซ่อนเร้นอยู่นั้นย่อมเผยออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้เขาไม่ได้ปกปิดอีกต่อไป ขณะนี้เขารู้สึกว่าเขามีความชอบธรรมที่จะล้างแค้นได้
“ตอนนี้หอทงเทียนเป็นของข้าไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครหรือทำอะไรมาก็ตาม เจ้าไม่มีสิทธิ์จะเอาสิ่งใดไปทั้งนั้น แม้แต่ทรายเม็ดเดียวก็ตาม” เย่ว์หยางอ้างสิทธิ์ไว้ก่อนหน้าแล้ว ตอนนี้บุรุษหนุ่มตัดสินใจทำตามวิธีปกติของตนเองมิฉะนั้นศัตรูคงต่อความยาว
“หอทงเทียนไม่ใช่ของเจ้าต่อให้ในอนาคตก็ไม่ใช่ ตอนนี้ไม่ใช่แล้วต่อไปในอนาคตจะใช่ได้อย่างไร” บัณฑิตวัยกลางคนแค่นเสียง “ข้ามีพลังพอจะเอาสิ่งที่เป็นของตนเองกลับคืนมาก่อนที่ข้าจะเอาทุกอย่างกลับคืนมา ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับเจ้าเลย”
“ถูกแล้ว!” เย่ว์หยางปรบมือชม “ในฐานะคนเลว เจ้าจะเรียกร้องได้อย่างไร! มีแต่ต้องแสดงด้านที่แท้จริงออกมา!”
เย่ว์หยางพูดว่าเขาไม่คุ้นเคยกับคำพูดและการกระทำของบัณฑิตวัยกลางคน
ในฐานะตัววายร้าย ทำไมเขาถึงไม่ประหม่าเลยแม้แต่น้อย
ก็ต้องป่าเถื่อนดุร้าย
พวกชาวนายากจนร้องไห้อย่างขมขื่นด้วยความเกลียดชังพวกเขาถูกกดขี่ข่มเหงเจ้าเป็นคนประเภทเป็นใหญ่สามารถกดหัวคนนับหมื่นและทำลายได้ไม่ใช่หรือ ทำอย่างนี้ในฐานะนายใหญ่คนอื่นจะอยู่ได้อย่างไร ความจริงถ้าเขารู้จักพอ ก็ไม่มีเหตุผลใดจะต้องมาเรียกร้องอย่างไร้เหตุผล
บัณฑิตวัยกลางคนมองเย่ว์หยางอย่างเย็นชาสีหน้าของเขาเหมือนมองคนตาย
เย่ว์หยางตกใจยักไหล่เล็กน้อย
ขอโทษที!
เว้นแต่สายตาที่เป็นห่วงของแม่สี่และเว้นแต่ความโกรธของหัวซิ่วรี่ เว้นแต่น้ำตาของซวงเอ๋อและพี่หวี่และกำปั้นขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเสวี่ยอู๋เสียแล้วเว้นจากจื้อจุนที่รออยู่บนบันไดสวรรค์ขั้นที่ล้านและภารกิจฝึกฝนที่เทพธิดากระบี่ฟ้ามอบให้ คุณชายสามผู้นี้กลัวจนขนลุก
เขากลัวมาก
อย่าคิดว่าคุณชายกลัวสิ่งต่างๆมากมายแล้วจะรังแกกันได้!
คุณชายผู้นี้ไม่เคยกลัวคนผู้นั้น อย่าว่าแต่คนทรยศหอทงเทียนที่มีอายุยืนยาวแน่นอนว่าสำหรับสายตาของบุรุษวัยกลางคน เด็กหนุ่มจากโลกอื่นให้ความสำคัญมาก
“ถ้าเจ้าเป็นคนที่ไม่มีความสำคัญข้าคงจะไม่เหลียวมองเจ้าแม้แต่น้อย เพราะมันทำให้ข้าต้องเปลืองน้ำลายประการที่สองให้เกียรติตนเองและสามเคารพผู้อาวุโสและผู้ล่วงลับ” เย่ว์หยางโยนกระดูกไก่ทิ้งข้างๆและใช้เสื้อผ้าเช็ดคราบน้ำมันที่มือ “อย่างไรก็ตามคนเราไม่อาจยั่วโมโหมากเกินไป อย่างเจ้าแกล้งทำตัวน่าสงสารหลอกลวงหาความเห็นใจจากคนอื่น มันเป็นความตั้งใจที่ไม่ดี? อา..แล้วอย่างข้าหลอกลวงคนหรือ?”
เย่ว์หยางแทบไม่ได้เขียนคำว่าฉลาดไว้บนหน้าผากเพื่อพิสูจน์เขาเป็นเด็กดีคุณภาพดี สุขภาพดีและทำการงานได้ดี
สำหรับบัณฑิตวัยกลางคนที่ดูเหมือนเพิ่งจะย้อนเวลาให้ดูนั้น
เขาประเมินผลของการกระทำนี้ว่า เป็นแค่การโฆษณาชวนเชื่อ!
โฆษณาชวนเชื่อคืออะไร?
ตามคำแถลงการณ์ที่สุภาพและตรงไปตรงมาการโฆษณาก็คือการขายยาปลอมนั่นเอง
การโฆษณานี้มีการพูดตั้งพัน หมื่นหรือแสนคำ เมื่ออ่านแล้วใครก็ตามที่เชื่อนับว่าโง่บัดซบ!
ก่อนจะข้ามมิติมานั้น ตอนอายุแปดขวบเขาตระหนักรู้แล้วว่าการโฆษณาคืออะไร แค่มองย้อนหลังไปเล็กน้อย แค่ได้ดูภาพย้อนเวลาเล็กๆ น้อยๆแค่ต้องการให้เขาเชื่อว่า เขาไม่สามารถอยู่ในหอทงเทียนได้และไปยังตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ ตงฟางผู้ทรยศต้องการความเห็นใจ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร?
ความเป็นไปได้นี้เป็นศูนย์
ต้องเป็นศูนย์เท่านั้น!
ตามความเห็นส่วนตัวของเย่ว์หยางอย่าว่าแต่คุณชายนี้เป็นคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง ต่อให้เขาเป็นบิดาของตงฟางผู้นี้ เขาก็จะไม่ยอมเชื่ออย่างง่ายดายไม่ว่าศัตรูจะเป็นจะตายอย่างไร เขาก็คือคนทรยศแห่งหอทงเทียน!
เขาไม่เชื่อจริงๆ ถ้าเขาลังเลคิดดูสักครึ่งวินาทีคาดว่าคงโดนจื้อจุนตบหน้าหันเป็นแน่
แม้แต่ฝ่าบาทก็คงอดออกมาจากวังมิได้เพื่อมาเตะโด่งเขาให้ลอยขึ้นไปยังสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
“แม้ว่าข้าจะไม่กล้าพูดว่ามีสติปัญญาอยู่ใกล้ระดับปีศาจเพียงไหน แต่ข้าไม่ได้ปัญญาอ่อนอย่างที่เจ้าคิด” การแสดงออกของเย่ว์หยางเหมือนกับนักเลงข้างถนนแต่คำพูดของเขาจริงใจ และเขาพูดกับบัณฑิตวัยกลางคนอย่างจริงใจ “ก่อนกระชากหน้ากากเจ้า ข้าขอสรุปก่อนเมื่อหมื่นปีที่แล้วทุกคนตาบอดหรือไม่? จริงหรือเปล่า? ต่อให้มีคนตาบอดก็ใช่ว่าจะเป็นกันทุกคนไม่ใช่หรือ? แม้ว่าหอทงเทียนจะมืดบอดทั้งหมด แต่เจตจำนงของหอทงเทียนเล่า คงไม่ได้มืดบอดไปด้วยใช่ไหม? ทำไมผู้คนของหอทงเทียนและเจตจำนงของหอทงเทียนเลือกข้าที่ทุ่มเทน้อยกว่าเจ้าเป็นพันเท่าแทนที่จะเป็นหนอนที่น่าสมเพชอย่างเจ้าผู้กล่าวอ้างว่าทุ่มเทหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อมากกว่าเป็นพันเท่า ข้าคิดว่าเหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นคือเพราะเทพเจ้าไม่ได้ตาบอด! ผู้คนในหอทงเทียนและเจตจำนงในหอทงเทียนมีมาตั้งแต่หมื่นปีก่อน”
“โฆษณาชวนเชื่อ?” บัณฑิตวัยกลางคนไม่เข้าใจคำศัพท์ใหม่นี้ เขาสามารถเข้าใจได้อย่างเลือนรางแต่ไม่อาจยืนยันชัดเจน
“ใช่ ใช่ แล้วพวกหนังโฆษณาชวนเชื่อ!” เย่ว์หยางมั่นใจ
“เจ้าหมายความว่าข้าโกหกใช่ไหม?” บัณฑิตวัยกลางคนหัวเราะลั่นใช้สายตามองเย่ว์หยางอย่างเหยียดหยาม“เจ้าเพิ่งพูดด้วยปากตัวเองยอมรับว่าภาพที่ข้าฉายให้ดูเป็นเรื่องจริงทั้งหมดแต่ในพริบตาเจ้าบอกว่าข้าหลอกลวงงั้นหรือ?”
“ฉากภาพจริงก็สามารถใช้หลอกผู้คนได้!” เย่ว์หยางเปิดเผยอย่างไม่สะทกสะท้าน “มีสิ่งต่างๆ มากมายที่เห็นได้ด้วยตาแต่ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นจริงทั้งหมด ดวงตาเสี่ยงต่อการถูกหลอกได้มากที่สุด จิตใจที่บริสุทธิ์ไร้มายาสามารถถูกหลอกได้ง่าย เมื่อเห็นเจ้าพยายามฉายฉากภาพซ้ำๆ ข้าก็ไม่ตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว นั่นเป็นการพิสูจน์ว่าฉากภาพที่เจ้าสร้างขึ้นนั้นเป็นของปลอมแม้จะสร้างจากภาพจริง เพราะในกระบวนการนี้เจ้าใช้รูปภาพเพื่อกลบเกลื่อนความหน้าซื่อใจคดของเจ้า!”
“เจ้าพูดเรื่องอะไรกันแน่?” บัณฑิตวัยกลางคนสีหน้าเย็นชา
“อา!พูดอย่างนี้บางทีอาจเหมาะสมมากกว่า!”เย่ว์หยางมองดูที่บัณฑิตวัยกลางคน ดวงตาของเขาเหมือนกับจะเจาะลึกเข้าไปในใจของอีกฝ่ายได้ในทันที “เจ้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและโชคลาภอย่างผิวเผิน แต่ในความเป็นจริงเจ้ามีความปรารถนาในใจ ต้องการจะได้รับคำชื่นชมเยินยอจากผู้อื่น ทุกครั้งที่เจ้าทำอะไรบางอย่าง คาดว่าเจ้าก็ต้องคิดแบบนี้ประมาณว่า ‘เร็วๆ มาดูข้าแสดงฝีมือมาดูว่าข้ากล้าหาญ ฉลาด อัจฉริยะ หล่อเหลาแค่ไหน? ข้าอ่อนน้อมถ่อมตนที่สุดในโลก จะหาคนแบบข้าได้ที่ไหนกัน โลกทั้งหมดอยู่ในความควบคุมของข้า ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการของสามกองทัพใหญ่หรือว่ากองทัพปีศาจ ทั้งหมดเหมือนอยู่ในกำมือข้า จงมาช่วยชื่นชมสรรเสริญข้า ทันทีที่ข้าออกศึก ชัยชนะจะมาหาข้าทันทีทั้งแดนสวรรค์ ทั้งโลกจะต้องสั่นสะเทือนเพราะข้า’ เหตุผลที่เจ้าไม่พอใจคนอื่นก็เพราะเจ้าไม่ได้พูดพล่ามมากพอ เหตุผลที่เจ้าแค้นหอทงเทียนเป็นเพราะไม่มีผู้ใดในหอทงเทียนรู้วิธีชื่นชมรสนิยมที่ไม่ดีของเจ้า ในทางกลับกันไม่มีการขาดแคลนคำเยินยอในตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเจ้าจึงเข้ากันได้อย่างมีความสุขและรู้จักกันในนามของนักปราชญ์อันดับหนึ่งของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ ฟังเจ้าพวกนั้นผายลมให้ฟังทั้งวันมันน่าสบายใจขนาดไหน? ข้าคาดว่าฟังคนผายลมให้ฟังเช่นนี้ทำให้เจ้าแทบลอยหากมีคนไม่ทราบว่าเจ้าเป็นคนฉลาดอันดับหนึ่งของแดนสวรรค์ เจ้าคงต้องโกรธ เพราะมันเป็นการทำให้เจ้าไม่เด่น เป็นความรู้สึกที่แย่ในหัวใจของเจ้า ข้าไม่ได้พูดผิด กบฏอันดับหนึ่งของหอทงเทียนคนที่ฉลาดที่สุดในแดนสวรรค์แห่งตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ คนบ้ายออันดับหนึ่ง ผู้อาวุโสตงฟาง”
บัณฑิตวัยกลางคนหน้าเขียวคล้ำ
เขาไม่เคยโกรธจัดแบบนี้มาก่อนในชีวิต
เจ้าเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่อยู่ข้างหน้าเขาใช้คำพูดสามหาวยิ่งนัก ทิ่มแทงคนด้วยคำพูดแหลมคม แทบจะฉีกหัวใจเขาขาด
เย่ว์หยางไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นเขายกย่องตนเอง “เจ้าควรจะขอบใจข้า หลายหมื่นปีไม่มีใครเข้าใจเจ้า มีแต่ข้าเท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าชอบให้มีคนผายลมให้ฟัง แน่นอนจะถือว่าข้าเป็นคนสนิทของเจ้าก็ได้!”
“ข้าเข้าใจแล้ว ทำไมเจ้าถึงต้องการแก้แค้นหอทงเทียนบ้านที่เจ้าบอกว่าเสียสละทั้งเลือดและน้ำตาหรือ? เพราะมันน่าอึดอัด เจ้าทำได้ดีมากทำงานอย่างหนักตัวเป็นเกลียวเพื่อวางแผนมาหลายปี ไม่มีใครเข้าใจเจ้า ไม่มีใครแม้แต่จะขัดขวางเจ้า ทุกคนคิดว่าเจ้าไม่สนใจชื่อเสียงลาภยศสรรเสริญ ทุกคนคิดว่าเจ้าไม่ชอบเสียงผายลมเยินยอ และชื่อเสียงในชีวิตของเจ้า พวกเขาคิดว่าภาพพจน์ของเจ้าไม่ต้องการชื่อเสียง เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้ารอมาหลายร้อยปีแล้วแต่ไม่มีใครมาตบก้นเจ้าได้ ไม่มีใครใช้ตำแหน่งทางการที่หยาบคายของผู้บัญชาการทหารสูงสุดเพื่อดูแคลนบุคลิกเจ้านับว่าเขาผิดมาก ผลก็คือ...เย่ว์หยางกล่าวอย่างมั่นใจ ”คนอย่างเจ้าเสียเวลาไปเป็นพันปี แต่ได้ฟังแค่เสียงผายลมเล็กๆ น้อยๆ แล้วเจ้าจะรู้สึกพอใจได้อย่างไร?”
“เจ้าพูดพอหรือยัง?” บัณฑิตวัยกลางคนตาแดงก่ำ
“จวนจะจบแล้ว ในที่สุดก็ต้องพูดอะไรสักอย่าง” เย่ว์หยางเพิ่มเติมอีกประโยค “เจ้าเพิ่งบอกว่าต้องการเอาของที่เป็นของเจ้ากลับคืน ตอนนี้ข้าเห็นด้วยเจ้าไปที่หอทงเทียนชั้นหก ข้าจะส่งคน 100คนไปร่วมประจบประแจงเจ้า คอยสรรเสริญเยินยอเจ้าทุกวันเพื่อให้เจ้าพอใจ หากเจ้าคิดว่าไม่พอ หรือยังไม่สนุกมากพอ ข้าสามารถเพิ่มจำนวนคนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นพันคนหมื่นคน ถ้าในหอทงเทียนเรามีคนไม่พอเราพยายามจะพาเจ้าไปแดนสวรรค์ด้วยกัน และหาคนจำนวนหนึ่งในแดนสวรรค์ พาคนของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ออกมาต้อนรับผู้อาวุโสตงฟาง นี่คือสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ!”