ตอนที่ 1242 ไม่ใช่เจ้า เจ้าไม่สามารถบังคับได้!
เดิมทีเย่ว์หยางต้องการกลับไปยังวังเทียนหลัวเพื่อพบกับแม่สี่
รู้กันดีว่านางคือผู้ที่เขากังวลห่วงใยที่สุด
นางและน้องสาวตัวน้อย
ขณะที่ผู้นำเผ่าพันธุ์ต่างๆ ทั่วหอทงเทียนต่างเทเลพอร์ตเข้ามาและเตรียมเผชิญหน้ากับกองทัพรุกรานของแดนสวรรค์ด้วยปณิธานมุ่งมั่นไม่ธรรมดาจากนั้นมีข้อมูลส่งผ่านคัมภีร์อัญเชิญแม้จะอยู่ห่างไกลเป็นพันๆ ไมล์และแทรกซึมอยู่ในทะเลสำนึกของเย่ว์หยาง หลังจากเย่ว์หยางสัมผัสถึง ตอนแรกเขาตกใจจากนั้นรู้ตัวทันทีว่าเป็นข้อความจากมือมืดที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ จุนอู๋โหย่วและผู้เฒ่าเย่ว์ไห่เห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนจึงรีบถามอย่างรวดเร็ว
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนยืนอยู่ข้างตัวเขา
นางกับเขาส่งกระแสจิตถึงกันได้ แม้ว่าจะไม่ชัดเจนเต็มร้อยแต่ก็พอเข้าใจได้บ้างบางส่วน
ไม่เพียงแต่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเท่านั้นที่มีทักษะหกรับรู้ แม้แต่เจ้าเมืองโล่วฮัวและนางเซียนหงส์ฟ้าก็ยังรู้สึกถึงลางหายนะได้
“ข้ามีความรู้สึกที่มิอาจบรรยายได้มีบางอย่างเกิดขึ้นและข้าต้องไปจัดการเรื่องนี้ที่นั่น พวกเจ้าไปที่ทวีปกวงหมิงก่อนโดยมิต้องรอข้า ช่วงเวลาที่ข้ายังไม่กลับมาเรื่องในสนามรบข้าขอมอบให้อู๋เสีย ถ้าอู๋เสียไม่ว่างก็มอบให้เชี่ยนเชี่ยนและเทียนฟาสองคน...” เย่ว์หยางรู้สึกได้ถึงสัญชาตญาณต่อสู้ของพวกนางได้และปล่อยพวกนางออกมาจากโลกคัมภีร์ด้วยท่าทีจริงจังรวมทั้งหญิงงามอู๋เหินและเย่ว์หวี่ที่ไม่ค่อยมีส่วนร่วมในการต่อสู้
ในที่สุดเย่ว์หยางเหลือไว้แต่เพียงเสี่ยวเหวินหลีคนเดียว
แม้แต่ดาบอสูรเทาเถี้ยและแมงป่องดาวฟ้าพวกมันทุกตัวได้รับคำสั่งให้ติดตามองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน
อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เย่ว์หยางใช้ไพ่ในมือเกือบทั้งหมดของเขาเป็นครั้งแรก เขาทุ่มเทพลังต่อสู้ของเขาไปจนหมดทุกคนจะเข้าร่วมในการศึกครั้งนี้
“เจ้าจะเริ่มต่อสู้ตัดสินเด็ดขาดตั้งแต่แรกเชียวหรือ?” ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ตกใจเมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของเย่ว์หยาง
“เข้าใจแล้ว” จุนอู๋โหย่วสมแล้วที่เป็นจักรพรรดิเขารู้ได้อย่างรวดเร็วและสามารถตัดสินใจได้ ภายใต้ความรู้สึกที่อ่อนโยน เขามองดูธิดาสุดที่รัก เขาต้องการจะลูบศีรษะนาง แต่ในวินาทีต่อมาเขาได้สละทิ้งความรักและมือที่ยื่นออกมาหมายจะลูบศีรษะนางกลายเป็นกำมือแน่นท่าทีของเขาภาคภูมิสง่างามต่างจากความเป็นสุภาพบุรุษ เหมือนกับพยัคฆ์ร้ายนักรบ
เขาจับมือขวาของธิดาที่ถือดาบเทพพยัคฆราชองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนยกดาบแตะที่ข้อมือของเขา
รวมกับผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ที่กล่าวอำลาหลานชายเบาๆพร้อมทั้งเดินเคียงข้างไปที่จุดเทเลพอร์ตของหอทงเทียนชั้นล่างพร้อมกัน
ไม่ว่าเขาจะเป็นจักรพรรดิชาวโลกหรือนักรบผู้ปกป้องบ้านเกิด เขาตระหนักว่าคือการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตั้งแต่แรกเริ่มไม่มีเวลาพักหายใจ การโจมตีของศัตรูไม่ใช่ว่ามีเพียงไม่กี่เดือน ที่สำคัญกองทัพศัตรูจะตามมากดดัน ดังนั้นต้องสู้ให้เด็ดขาดตั้งแต่แรก
ในขณะนี้เขาคิดว่าหอทงเทียนมีเวลาพักพอแล้ว
แต่เย่ว์หยางกระทำหมดทุกอย่าง
เขาจึงเข้าใจได้ทันที
ศัตรูที่แท้จริงในขณะที่เย่ว์หยางกลับมาหอทงเทียน จะเริ่มการโจมตีทั้งหมดและเป็นการต่อสู้ที่เด็ดขาด... เป้าหมายศัตรูก็คือเด็กน้อยข้างหน้าเขา และศัตรูได้คำนวณทุกอย่างไว้แล้วรวมทั้งการกลับมาของเขา
พวกเขาไม่ต้องคิดเรื่องนั้นตราบใดที่เย่ว์หยางน้อยพ่ายแพ้ อย่างนั้นหอทงเทียนจะตกต่ำดำดิ่งมากยิ่งกว่ายุคจักรพรรดิอวี้
อาจจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงโดยไม่มีผู้ใดรอดชีวิตอยู่ได้
ดังนั้นขณะนี้จุนอู๋โหย่วตื่นตัวว่าเขาไม่ใช่จักรพรรดิของมนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นนักรบที่ปกป้องดินแดนมาตุภูมิเป็นบิดาผู้ปกป้องธิดาสุดที่รัก
“พี่ไห่! จำได้ไหมครั้งแรกที่เราเข้าสู่สนามรบ?” จุนอู๋โหย่วพบว่าดวงอาทิตย์อุทัยฉายแสงอยู่เต็มท้องฟ้า
“วันนี้อากาศดีเหมือนกับวันนั้น!” ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่มองดูท้องฟ้าและยิ้มทันที
เขาเริ่มหัวเราะเบาๆ
แต่เขาเริ่มหัวเราะดังขึ้นทุกขณะเสียงหัวเราะที่ห้าวหาญดังขึ้นไปถึงชั้นฟ้า
ภายใต้ดวงอาทิตย์อุทัยจุนอู๋โหย่วและผู้เฒ่าเย่ว์ไห่อาบแดดยามเช้าและหัวเราะกึกก้องฟ้าอยู่เป็นเวลานาน
เย่ว์หยางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนกอดกันและกล่าวคำอำลากันแม้แต่เด็กสาวเป่าเอ๋อก็ไม่เว้นที่ทำให้เขาเสียดายก็คือเสวี่ยอู๋เสียบอกว่าจะไปโลกมหัศจรรย์ของปิงหยินเพื่อตามหาอี้หนานและปิงเอ๋อและนางคงตามมาสมทบไม่ทัน... เขาไม่กังวลเรื่องอี้หนานและปิงเอ๋อ พวกนางจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับสาวกิเลนปิงหยิน แต่เสวี่ยอู๋เสียไม่อยู่ก่อนเริ่มสงครามไม่ได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดนาง ทำให้เย่ว์หยางรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เขารู้ว่านางจะไม่พลาดการต่อสู้ครั้งนี้อีก แต่เขาไม่รู้ว่านางจะกลับมาเมื่อใด
ปล่อยวางสิ่งที่รบกวนใจไปก่อน
เย่ว์หยางตรงเข้าไปหาองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนพวกเขายิ้มเฉิดฉายราวกับจะปลอบประโลมให้ทุกคนคลายกังวล “บางทีหลังจากข้าคลี่คลายปัญหานี่สักพัก เจ้ารอข้า ข้าจะไม่ให้เจ้าผิดหวังแน่”
“ข้าเชื่อเจ้า ข้าจะรอเจ้า!” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนจูบเย่ว์หยางไม่บ่อยนักแต่ครั้งนี้นางเป็นฝ่ายเริ่มเอง
แม้แต่เย่ว์หวี่ก็ยังอดอ้าแขนกอดนางมิได้
หลิวเย่หลบอยู่ด้านหลังอย่างเขินอาย
จนกระทั่งองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนต้องนำทุกคนจากไปนางเทเลพอร์ตกลับมาและกระโดดกอดอาจารย์อย่างกล้าหาญแต่ยังไม่ทันทีเย่ว์หยางจะกอดนางตอบนางกลับหายตัววับกลับไปเข้ากลุ่มราวกับกลัวว่าเย่ว์หยางจะกัดนาง
เป่าเอ๋อที่มักสร้างปัญหาแต่ก็เป็นตัวนำโชค เหลียวหลังกลับโบกมือให้เขาบ่อยๆ “ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าเจ้าสู้ไม่ได้ ข้าจะช่วยเจ้า คราวนี้ข้าจะทำงานอย่างดี คอยดูให้ดี!”
“.......” เย่ว์หยางพูดไม่ออก เจ้าเป็นสาวน้อย อย่าก่อเรื่องให้คนอื่นสับสนดีกว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องช่วยคนอื่น มีแต่คนอื่นจะต้องช่วยเจ้า!
ถ้าไม่ใช่เพราะรู้สึกมีลางสังหรณ์อยู่ในหัวใจ
เย่ว์หยางไม่ต้องการให้ทุกคนออกจากโลกคัมภีร์ออกไปสู้จริงๆ
อย่างไรก็ตามในความคิดของเขาสัญชาตญาณของการสู้ในสนามรบคือ ไม่ปล่อยให้ทุกคนอยู่ใกล้ เพื่อความปลอดภัยของพวกนาง เย่ว์หยางตัดสินใจเชื่อในตัวเองอีกครั้งและเสี่ยงส่งอู๋เหินและเย่ว์หวี่ลงสนามรบ ไม่ได้ปกป้องพวกนางเหมือนแต่ก่อน เป็นไปได้ไหมว่าในการต่อสู้ครั้งนี้แม้แต่โลกคัมภีร์ก็ไม่ปลอดภัยต่อไปอีกแล้ว?
ถ้าเขามีเวลาเขาต้องการกลับไปถามแม่สี่หรือฝ่าบาทจริงๆ
บางทีพวกเขาอาจให้คำตอบที่ดีกว่า
นอกจากนี้ยังมีจื้อจุนและจักรพรรดินีราตรีหลังจากฝึกฝนอยู่ที่บันไดสวรรค์ เขาสงสัยว่าพวกนางจะได้รับข้อมูลการบุกรุกของศัตรูที่แข็งแกร่งนี้หรือไม่?
ก่อนหน้านี้คัมภีร์อัญเชิญของหอทงเทียนไม่มีความสามารถในการสื่อสารกันและกันใครเป็นผู้ให้วิธีการนี้ อย่างไรก็ตามผู้เฒ่าหนานกงยังส่งข้อมูลระยะไกลถึงแดนสวรรค์ที่แยกห่างกันได้
เย่ว์หยางสูดหายใจลึก
ศัตรูแข็งแกร่งอยู่ข้างหน้า
ยิ่งกว่านี้ นี่เป็นศัตรูที่น่ากลัวผู้รวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ เขาเกรงว่าแม้แต่การกลับมาของเขาก็อยู่ในการคำนวณของคนผู้นี้ด้วย
เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เย่ว์หยางรู้สึกอึดอัดเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา ท่านอาจไม่กลัวศัตรูที่ทรงพลังแม้ว่าจะเป็นศัตรูฝีมือสูงส่งก็ตาม ตราบใดที่ท่านพยายามพากเพียรอย่างหนักชัยชนะจะตกเป็นของท่าน อย่างไรก็ตามในการเผชิญหน้ากับคนฉลาดและเหมือนกับปีศาจแบบนี้ เขาคำนวณศัตรูได้อย่างแข็งแกร่งแม่นยำและควบคุมสถานการณ์โดยรวม หากเขาต้องการเอาชนะคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวคนนี้ มีแต่ต้องใจจดใจจ่อจริงๆ!
“พลังปณิธานราชันย์ไม่หวั่นไหวดุจเพชร” เย่ว์หยางกำจัดความคิดและอารมณ์ที่ทำให้ไขว้เขวในจิตใจของตนเองอยู่ในสภาพจดจ่อสูงสุด
ความคิดเดียว
เย่ว์หยางทะลวงผ่านช่องว่างมิติเวลาได้อย่างง่ายดาย
เช่นเดียวกับการเดินทางที่ก้าวเดินอยู่บนท้องถนนผ่านภูเขาแม่น้ำหลายสาย ในการเดินทางหลายพันไมล์ เขาเดินทางเหมือนคนธรรมดาที่สง่างามเรื่อยๆสบายๆ ดุจเดินชมสวนหลังบ้าน เขาเดินไปตามทิศทางที่มีกระแสยั่วยุจากระยะไกลเป็นพันลี้ ในชั่วพริบตาเดียวก็ปรากฏกายใต้เงื้อมเขาที่ดูแปลกตา
ในแนวเขามีน้ำตกอยู่ด้านหนึ่งมองดูราวกับสายรุ้ง
น้ำตกทิ้งตัวลงมาในระยะสูง 3000 ฟุตแต่ก็ยังดูเงียบสงบ
ที่ด้านหนึ่งมีต้นสนใหญ่พอๆกับมังกรใหญ่ แผ่ขยายกิ่งก้านสองกิ่งมองดูเหมือนเจ้าบ้านต้อนรับอาคันตุกะจากแดนไกล
บรรยากาศผ่อนคลาย
กระดานหมากรุกหิน
ชิ้นหมากรุกจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่บนกระดานหินดึกดำบรรพ์มีรอยตะไคร่น้ำขึ้น
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวก่อให้เกิดภาพลักษณ์กลับกันกับแสงแดดยามรุ่งอรุณที่สาดแสงสีทอง
มีนิ้วคู่หนึ่งดูราวกับหยกคีบจับหมากเบาๆ บัณฑิตวัยกลางคนยิ้มวางหมากเหมือนพบพานสหายและยิ้มอย่างเป็นกันเองให้กับคุณชายสามตระกูลเย่ว์ “เจ้ามาแล้ว เชิญนั่ง! มาไวกว่าที่ข้าคิดเสียอีก..”
เพียงประโยคนี้ เย่ว์หยางรู้สึกใจหายวูบทันที
ถ้าเขาไม่เปลี่ยนจากอาคันตุกะเป็นเจ้าภาพอย่างนั้นคนที่อยู่ต่อหน้าจะกลายเป็นเจ้าของหอทงเทียนใช่ไหม?
“หอทงเทียนเป็นของข้าแม้ว่าจะถ้าจะต้อนรับ ก็สมควรเป็นข้า!” เย่ว์หยางพูดถึงทัศนคติเขาอย่างหนักแน่น
“อย่างนั้นหรือ? เป็นบุรุษหนุ่มที่มั่นใจเสียจริง! อย่างไรก็ตามหอทงเทียนไม่ใช่ของเจ้า เข้าใจไหม? อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่!” บัณฑิตวัยกลางคนไม่โกรธแม้แต่น้อย เขายิ้มเล็กน้อย
“ตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้นอนาคตก็จะเป็นของข้า ข้าคือเจ้าของมัน! ในเมื่อข้าเป็นจ้าว ต่อให้เป็นเจ้าของในอนาคตข้าก็ต้องมีอำนาจครอบครองมีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนาคตของมัน!” เย่ว์หยางจ้องมองบัณฑิตวัยกลางคน และเน้นทีละคำ “ข้า คือ เจ้าของ หอทงเทียน ไม่ใช่เจ้า! ที่นี่ไม่ได้เป็นของเจ้าทั้งในอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต!”
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ก็ต้องจบกระดานนี้เสียก่อนจึงจะชัดเจน” บัณฑิตวัยกลางคนหัวเราะ “บางทีหลังจากเล่นจบกระดานนี้แล้ว อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตก็ได้จริงไหม?”
“ไม่ว่าต้องเล่นกี่กระดานอนาคตจะไม่เปลี่ยน!” เย่ว์หยางมั่นใจเต็มร้อย
“เจ้ารู้ได้อย่างไร ถ้าเจ้ายังไม่ลอง?” บัณฑิตวัยกลางคนวางหมากในมือเหนือกระดานหินตัวหมากนั้นทำให้พื้นที่กลับสู่ความวุ่นวาย
“เพราะโชคชะตา” เย่ว์หยางนั่งลงทันทีและนั่งอยู่หน้าก้อนหิน เขาจับหมากรุกโรยรอบๆตัวหมากที่บัณฑิตวัยกลางคนเพิ่งวางและพบว่า มีหมากล้อมไว้อย่างแน่นอน ภายใต้การจ้องมองของบัณฑิตวัยกลางคนเย่ว์หยางหยิบหมากขึ้นและโยนอย่างไม่เป็นทางการพร้อมกับแค่นเสียงดุเดือด“มันเป็นของข้า ข้าสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม ข้าไม่ได้ขออะไรที่ไม่ใช่ของข้า!”
“พ่อหนุ่ม! เจ้าไม่เชื่อหรือว่าการทำงานอย่างหนักสามารถต่อต้านฟ้าได้ เจ้าเชื่อในเรื่องโชคชะตามากน้อยแค่ไหน?” บัณฑิตวัยกลางคนเหมือนกับคุยกับสหายเก่าที่คั่นด้วยโต๊ะหินและหยิบชิ้นหมากรุกขึ้นมาวางบนพื้นหินตามที่ต้องการ
“ข้าไม่เชื่อว่าข้าไม่มีอะไรเกี่ยวกับท่าน แต่ที่นี่ขอเตือนบางคนว่าการฝืนบังคับเกินไปบางครั้งก็ไร้ประโยชน์!”
เย่ว์หยางทำได้อย่างรวดเร็ว
เขาหยิบชิ้นหมากและวางต่อข้างหมากที่บัณฑิตวัยกลางคนวางอยู่แล้วทันที
เป็นตำแหน่งที่บัณฑิตวัยกลางคนวางได้ยินเย่ว์หยางพูดว่า ‘ฝืนเกินไปก็ไร้ประโยชน์’ สีหน้าของบุรุษวัยกลางคนเปลี่ยนไปเล็กน้อยและการเคลื่อนไหวของเขาช้าลงเล็กน้อย ดังนั้นเย่ว์หยางวางหมากแรกเขากลับไปดูหมากที่เย่ว์หยางวางไว้อย่างประณีตราวกับว่าขุมทรัพย์ที่เขาทุ่มเทมาทั้งชีวิตแต่ไม่มีความหวังจะได้