ตอนที่ 1239 ปากพาตาย
หมัดฮิปโปดาวตก!
ในท่ามกลางเสียงหัวเราะของคุณชายหลี่หมิงบัณฑิตวัยกลางคนได้ยินเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับฟ้าถล่ม
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีวิชาหมัดมวยที่เรียกว่าหมัดฮิปโปดาวตกไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นแม้แต่ยอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญวิชาหมัดมวยก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะผู้บัญญัติวิชานี้เป็นเด็กหนุ่มจากโลกอื่น! แต่ไม่สำคัญว่าเขาจะเข้าใจมันหรือไม่ แต่เขาไม่สามารถขัดขวางพลังของมันได้....เมื่อบัณฑิตวัยกลางคนได้ยินเสียงร้องเตือน เขารู้สึกว่ากระดูกทั้งหมดของเขาราวกับถูกค้อนหนักนับไม่ถ้วนทุบใส่อย่างรุนแรงแม้แต่กระดูกที่สมบูรณ์ก็ยังไม่เหลือ เขายังรู้สึกว่าอวัยวะภายในทั้งหมดของเขาถูกบดขยี้จนแหลกสลายและพุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ
อย่างไรก็ตามขณะที่จะพุ่งออกมาจากลำคอ
ฝ่ามือที่แช่แข็งได้แม้กระทั่งวิญญาณกดลงบนใบหน้าของเขา
บัณฑิตวัยกลางคนรู้สึกว่าร่างกายของพวกเขารวมถึงวิญญาณของเขาถูกแช่แข็งรวมทั้งความเจ็บปวดด้วย
บัณฑิตวัยกลางคนล้มลงกับพื้นและแตกกระตายเป็นชิ้นๆเลือดเนื้อและวิญญาณของเขาแตกสลายถูกทำลายภายใต้กฎของผู้พ่ายแพ้ของเวทีทองและในที่สุดก็หายไปเหลือแต่ความว่างเปล่าราวกับว่าพวกเขาไม่เคยปรากฏมาก่อนในโลก
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นแต่อสูรที่ทำสัญญาทั้งหมดก็ระเบิดและตายไปในเวลาเดียวกัน
คัมภีร์อัญเชิญชั้นทองระเบิดกลางอากาศ
ตกร่วงทันที
เมื่อมันร่วงลงบนเวทีทองก็กลายเป็นของที่ไม่มีเจ้าของเศร้าหมองไม่มีประกายเหมือนตอนเป็นคัมภีร์ทองครั้งก่อน
เสียงหัวเราะของคุณชายชะงักเหมือนถูกมีดตัดเขามองทุกอย่างข้างหน้าอย่างคาดไม่ถึงตะลึงงันอยู่ชั่วครู่ทำอะไรไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าเขาคำนวณทุกอย่างด้วยตัวเองไว้แล้วแน่ใจว่าจะไม่มีการต่อสู้ที่คาดไม่ถึง ผู้ช่วยที่เป็นเหมือนมือขวามือซ้ายของเขาถูกฆ่าได้อย่างไร? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เป็นไปได้หรือว่าเย่ว์ไตตันจะมาที่นี่เพื่อพลิกสถานการณ์?
ไม่เวทีทองไม่ได้เสียสมดุล ไม่ควรมีใครเข้ามาร่วม และถ้ามีคนบุกเข้ามาเขาจะต้องรู้เป็นคนแรก
ถ้าไม่ใช่เย่ว์ไตตันผู้พลิกสถานการณ์ในตำนานแล้วอย่างนั้นนี่คืออะไร? สนามรบทั้งหมดปลอดภัยอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้อย่างไร?
“ตายซะเถอะ!” ขณะที่ร่างเย่คงถูกอสูรกดไว้เย่คงพยายามรวบรวมพละกำลังอยู่นานเรียกวานรเพชรกระโดดเข้ารับมือบุรุษชุดคลุมดำที่ถูกซุ่นเทียนต่อยจากนั้นจับร่างของบุรุษชุดคลุมดำบิดจนร่างขาดสองท่อน โลหิตฉีดพุ่งจากศพและองค์ชายเทียนหลัวถูกไล่ต้อนจนหมดแรง ใช้เพลิงฟ้ากวาดไหม้โลหิตทั้งหมดไม่เหลือ
ขณะที่เพลิงฟ้ากำลังเผาผลาญวิญญาณในเลือดสีดำ
มันบินหนีออกไปทันที
ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
ซุ่นเทียนและเสวี่ยทันหลางสองคนที่อยู่ใกล้ที่สุดลงมือขัดขวางทันทีขณะที่หญิงสาวเท้าเปล่าและเย่คงลงมือล้มเหลว
อย่างไรก็ตามในเวลานี้ มีอสูรที่สูงกว่าเย่คงยื่นมือที่น่าเกลียดจับวิญญาณดำที่มาจากร่างของชายชราชุดดำได้
วินาทีต่อมาแขนที่เกลียดของวานรยักษ์รั้งกลับ
มีอสูรยักษ์ที่น่าเกลียดน่ากลัวขนาดทำให้เด็กหยุดร้องไห้และฝันร้ายไปตลอดชีวิต มันมีขนาดตัวเท่าเนินเขายืนอยู่ในท่ามกลางเวทีทอง อ้าปากที่น่าเกลียดกว้างสัตว์ประหลาดนั้นคว้าวิญญาณชายชราชุดดำและกลืนลงไปอย่างง่ายดายจากนั้นส่งเสียงเรอราวกับว่ากินอาหารมื้อใหญ่ด้วยความพอใจ
หลังจากกินวิญญาณสีดำแล้ว
อสูรหุ่น(ศพ) ทั้งหมดก็ระเบิดตาย กระดูกผุกร่อนกระจายอยู่ทั่วทุกที่
กลิ่นของซากศพที่เปลี่ยนไปเป็นควันดำลอยขึ้นจากเวทีทองเพลิงฟ้าจากองค์ชายเทียนหลัวและลมยะเยือกของเสวี่ยทันหลางคอยควบคุมควันดำกระดูกค่อยๆ สลายอย่างต่อเนื่องจนเหลือแต่ผงเถ้าถ่านสีเทาและรอยเปื้อนยากจะลบเลือน
“ข้าก็ควรไปเช่นกัน!” ร่างของซุ่นเทียนจางลงอย่างรวดเร็วพลังงานของร่างเหือดหายไปเหมือนหิ่งห้อย
“สามารถสู้ร่วมกับท่านเรารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก” ก่อนนี้เย่คงยังดูถูกซุ่นเทียนว่าน่ารังเกียจแต่ตอนนี้เขาพูดด้วยสีหน้าจริงใจที่ยากจะเห็นได้ เขากำหมัดทาบอกยืนเคารพด้วยมารยาทของนักรบอย่างจริงจัง มารยาทแบบนี้โดยทั่วไปจะปฏิบัติต่อผู้อาวุโสกล่าวคือตอนนี้เขาไม่ได้ปฏิบัติต่อคนผู้นี้เหมือนศัตรูแต่ถือว่าเป็นผู้อาวุโสที่น่าเคารพนับถือคนหนึ่ง
“ฮ่าฮ่าข้าก็มีความสุขมากเช่นกัน ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันอย่างนี้บางทีมหาเทพคงเมตตาสงสารข้า ทำให้ข้าหายวิกลจริตฟื้นจากความสับสนได้ใช้ความสามารถเล็กน้อยปกป้องดินแดนมาตุภูมิ...”ซุ่นเทียนมีสีหน้าสง่างามตามปกติ ใบหน้ามีรอยยิ้มเป็นมิตรเหมือนกับลุงเพื่อนบ้าน
ดวงตาของเขาไม่ลึกอีกต่อไป
ไม่มีความคิดสังหารอีกต่อไป
ตรงกันข้ามกลับเป็นการปลดเปลื้องภาระที่มิอาจพรรณนาได้...ซุ่นเทียน ราชาที่ครั้งหนึ่งเคยสู้กับผู้เยาว์อย่างเย่ว์หยาง เย่คงเจ้าอ้วนไห่ถึงสามครั้งครา อัจฉริยะผู้เย่อหยิ่งนี้กลายเป็นคนวิกลจริตเพราะความล้มเหลวของเขา ตอนนี้เขาต่างไปจากที่เคยเป็นตามปกติ แต่เหมือนกับผู้อาวุโสในตระกูลที่ใกล้จะจากโลกไป สายตาของเขามองดูเย่คงเสวี่ยทันหลางและองค์ชายเทียนหลัวอย่างผ่อนคลายสบายใจ
ในที่สุดเขามองดูเจ้าอ้วนไห่ในร่างที่น่าเกลียดค่อยๆจางหายไปกลายเป็นเจ้าอ้วนสีหน้าหวาดๆ
สายตาที่มองดูในครั้งนี้ไม่มีความเกลียดชังและเป็นศัตรูเหมือนในอดีตอีกต่อไป
แต่เป็นความการุณย์
เหมือนมองดูลูกหลานด้วยความเมตตา
“ข้าจะจำท่านลุงไว้ตลอดไป แม้ว่าท่านจะเคยเป็นศัตรูของเราแต่วันนี้ท่านเปลี่ยนไปอย่างน่าประทับใจเรามาก! เอ่อแม้ว่าข้าอ้วนไห่ที่เคยเป็นขยะไม่มีอะไรจะพูดก็ตาม แต่ในใจข้าจะไม่ลืมราชาผู้หยิ่งในศักดิ์ศรี ข้าจะไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งท่านสามารถทำให้ข้าต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างหนักจะไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งข้าเคยทำงี่เง่าและไร้สติจนส่งผลต่อท่านลุงผู้อาวุโสในวันนี้!” เจ้าอ้วนไห่ยืนอยู่ต่อหน้าซุ่นเทียนที่มีสีหน้าเป็นประกายเปล่งปลั่งมือของเขาเหยียดออกเหมือนอยากกอดคู่ต่อสู้ที่ครั้งหนึ่งต่อสู้กับเขาแทบตาย
“ฮ่าฮ่า..พวกเจ้าเด็กๆให้บทเรียนกับข้ามากมาย.. ข้าเคยก้าวเดินผิดทางมาก่อนและไม่ได้มีการแก้ไขนอกจากผิดพลาดถลำลึกเข้าไปเรื่อยๆ โชคดีที่พวกเจ้าทำให้ข้าได้มีโอกาสเริ่มต้น มิฉะนั้นข้าคงไม่ได้เป็นลุงเหมือนในวันนี้!” ซุ่นเทียนเริ่มกอดเจ้าอ้วนไห่ เขาทำเช่นนี้เท่ากับเร่งให้ร่างกายสูญสลายเร็วขึ้นถ้าไม่ใช่เพราะจักรพรรดิทองอสูรพิทักษ์ของเขาที่พยายามประคองชีวิตซุ่นเทียนไว้คาดว่าเขาคงไม่อาจทนอยู่ได้แม้แต่วินาที
“ตลอดที่ผ่านมาท่านลุง ท่านคือนักสู้ที่เราผู้เยาว์ภูมิใจและถือเป็นแบบอย่าง เราจะช่วยดูแลหอทงเทียน ดูแลมาตุภูมิของเราหอทงเทียนจะไม่มีวันล่มสลาย เราไม่อาจสัญญากับท่านได้มากกว่านี้แล้วความสามารถของเรามีขีดจำกัด เราไม่สามารถทำอะไรเพื่อท่านได้แต่นี่คือสิ่งเดียวที่เราสัญญากับท่านได้!” เจ้าอ้วนไห่พูดพลางหลั่งน้ำตาเป็นทาง
น้ำตาหยดลงร่างที่พร่าเลือนของซุ่นเทียนมากขึ้น
จากนั้นหยดลงพื้น
จากนั้นซุ่นเทียนกอดเจ้าอ้วนไห่หัวเราะอย่างมีความสุข “ข้าตายไปแล้ว ข้าตายในเงื้อมมือเจ้าวันนั้น แต่สวรรค์เมตตามอบโอกาสให้ข้าได้ชดใช้ ข้าได้กำไรชีวิตมาแล้วทำไมต้องต่อต้านความตาย ข้าตระหนักว่าความตายเป็นการเริ่มต้นอีกครั้ง ก่อนที่ข้าจะเดินทางสู่ปรภพ ข้าจะมอบความปรารถนาสุดท้ายให้ศัตรูเก่าของข้า อดีตคู่ต่อสู้ของข้าอย่างเจ้าข้าเคยดูถูกว่าเป็นมดแมลงน้อย เด็กน้อย การเติบโตก้าวหน้าของพวกเจ้าทำให้ผู้อาวุโสแทบมิอาจทนดูได้เด็กน้อย..เจ้าเรียกข้าว่าลุง ข้าจะมอบลูกน้อยที่มีค่าที่สุดในชีวิตข้าให้เจ้า...นั่นเหมือนกับชีวิตของข้า เป็นสิ่งเดียวที่ข้ามี...”
ก่อนร่างกายของซุ่นเทียนจะสลายไปอย่างสมบูรณ์ซุ่นเทียนใช้ทักษะแฝงเร้นของคัมภีร์อัญเชิญเปลี่ยนจักรพรรดิทองเป็นแสงสีทองกลุ่มหนึ่ง
ก่อนจะแทรกหายเข้าไปในหน้าผากเจ้าอ้วนไห่
จากนั้นทั้งหมดกระจายเป็นแสงสีทองเรืองแสงและหายไปทีละนิดๆ
คัมภีร์อัญเชิญที่สูญเสียเจ้าของร่วงตกลงพื้นเจ้าอ้วนไห่ที่มีหน้าเป็นประกายสีทองก้มหน้ามองน้ำตาหยดลงบนคัมภีร์อัญเชิญที่หมองประกายค่อยๆเช็ดไม่ให้มีฝุ่นและรอยเปื้อน
“ข้าจะหาเจ้านายที่ดีที่สุดให้มัน!” เจ้าอ้วนไห่เงยหน้ามองท้องฟ้าพึมพำกับตนเอง “เจ้านายคนต่อไปของมันจะต้องเปล่งประกายรุ่งเรืองกว่าท่านโปรดมองดูจากฟากฟ้าเถิด..”
เย่คงและเสวี่ยทันหลางจับไหล่ของเจ้าอ้วนไห่แต่พวกเขาเงียบไม่พูดอะไรปลอบใจเขา
องค์ชายเทียนหลัวไม่พูด
แต่หญิงสาวเท้าเปล่าผู้ไม่รู้ว่านางทรยศเจ้านายหลุดออกจากพันธสัญญาตั้งแต่เมื่อใด นางยิ้มให้พวกเขาขณะมองดูคุณชายหลี่หมิงที่กำลังโกรธโมโหมาก นอกจากพี่น้องตระกูลหลี่ที่อยู่ในเวทีไม่รู้เรื่องเหตุเปลี่ยนแปลงภายนอก ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายนั้นชัดเจน อย่างไรก็ตามสิ่งที่แตกต่างจากครั้งก่อนก็คือคุณชายหลี่หมิงขาดกำลังคน เหลืออยู่ตัวคนเดียว ขณะที่ฝ่าย เย่คงเจ้าอ้วนไห่ไม่ได้รับความเสียหาย และหญิงสาวเท้าเปล่านี้เป็นผู้ช่วยที่เข้มแข็ง
“เจ้าอ้วน! เป็นเจ้าเสแสร้งแกล้งแสดงละครตบตา!” คุณชายหลี่หมิงเกลียดชังจนสบถคำพูดออกมา ขณะนั้นเองเขารู้สึกอยากกัดกินเลือดเนื้อของเจ้าอ้วนไห่ยิ่งนักมิฉะนั้นคงไม่สามารถขจัดความโกรธเกลียดออกไปจากใจได้แน่
คุณชายหลี่หมิงไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้ไม่เคยทำผิดพลาดและไม่เคยถูกหลอก
ปรากฏว่าถูกหลอกลวงปั่นหัวโดยเจ้าอ้วนงี่เง่า
นี่คือความอัปยศอับอายครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ต่อให้ศัตรูตบหน้าเขาอย่างรุนแรงคุณชายหลี่หมิงก็ยังไม่โกรธและอับอายเท่าใดนัก...เพราะนี่คือความปั่นป่วนของระดับสติปัญญาของเขาความปั่นป่วนยุ่งยากของสติปัญญาที่เขาภูมิใจที่สุด! เป็นเพราะเขาดูแคลนเจ้าอ้วนงี่เง่านี่เกินไปเขาประเมินเจ้าอ้วนต่ำเกินไปอย่างสิ้นเชิงจึงทำให้ต้องเสียนักสู้ที่เป็นมือขวาและมือซ้ายของเขาในการต่อสู้ครั้งแรก
“ข้าผิดไปแล้วท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว ท่านพ่อวิพากษ์วิจารณ์ข้าถูกแล้ว ข้ามักจะประเมินคนต่ำเกินไปข้าต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ในภายหลัง!” คุณชายหลี่หมิงสูดหายใจลึกและข่มความโกรธและความอาย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาโกรธแต่เป็นเรื่องของความอาย
“สายเกินไปแล้ว!” เย่คงแค่นเสียงเย็นชา
“......” เสวี่ยทันหลางไม่พูดแต่มองดูคุณชายหลี่หมิงเหมือนมองคนตาย
“เจ้าโกรธนักไม่ใช่หรือ? เจ้าอยากกัดกินเลือดเนื้อข้ามากนักไม่ใช่หรือ?” เจ้าอ้วนไห่ยิ้มเหมือนดอกไม้บานและหัวเราะจนไขมันกระเพื่อม “บอกตามตรงข้าก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเจ้าและเข้าใจเจ้าเป็นอย่างดี เพราะเราเป็นคนประเภทเดียวกันโง่และตาบอดเหมือนกัน! แต่ข้ายังดีกว่าเจ้าเล็กน้อย นั่นคือข้าไม่เคยเห็นว่าวิสัยทัศน์การมองของข้าสมบูรณ์แบบ แน่นอนว่าข้ารู้ตัวดีว่าข้ามันก็แค่ขยะ ดังนั้นข้าจึงมักใช้สายตามุมมองของคนอื่นเป็นมาตรฐาน อย่างเช่นเย่ว์ไตตันที่เจ้าต้องการเอาชนะและอิจฉาเขาแม้กระทั่งในความฝันของเจ้า.... ในฐานะที่เป็นลูกพี่แต่ไม่เป็นที่น่าสนใจเหมือนรุ่นน้อง นั่นเป็นเรื่องน่าอนาถ ข้ามองดูเจ้าเป็นตัวอย่างแล้วไม่รู้ว่าเพราะเหตุไรถึงได้สับสนก็ไม่รู้ ข้ามีลูกน้องฝีมือดีหลายคนไม่ว่าจะเป็นเจ้าลิง หนุ่มน้ำแข็ง องค์ชาย..โฮ้ย...ใครเขกหัวข้าวะ?”
เจ้าอ้วนไห่ไม่กล้าอวดดีเพราะกลัวโดนเย่คงลากไปฝัง
หน้าของคุณชายหลี่หมิงบิดเบี้ยวน่าเกลียด
อย่างไรก็ตามเขาพยายามคงศักดิ์ศรีความภูมิใจสุดท้ายเอาไว้ “ที่เวทีทอง ไม่ว่าเจ้าจะใช้ของวิเศษอะไรมีอสูรปราณฟ้าสักกี่ร้อย ก็ไม่มีอะไรนอกไปจากหาเรื่องตาย”
ร่างกายมากกว่าครึ่งหนึ่งของเจ้าอ้วนไห่ถูกฝังอยู่ในอิฐทองทันทีเขาพยายามดิ้นรนตะโกน “ข้ารู้ว่าเจ้ามีสมบัติมากมาย แต่เวทีทอง แม้ว่าเนื่องจากหลี่ชิวหลี่เกอเจ้าสองคนนี่จะโง่เง่าไม่พูดอะไร แต่ดูเหมือนพวกเขาจะใช้มดกัดกินเวทีทองของเจ้า เจ้าควรนำสมบัติวิเศษที่คล้ายกับธงเทพเพลิงทองออกมาใช้ดีกว่า โอวเจ้าลิง เจ้าก็โดนฝังด้วยหรือ? ข้าเป็นลูกพี่ของเจ้ากล้าท้าทายลูกี่หรือ... โอ๊ย.. ช่วยด้วยๆ!”