ตอนที่ 1238 อย่าอาย ถ้าจะเป็นคนดี!
เย่ว์หยางออกจากโลกหิมะน้ำแข็งของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีและต้องการกลับไปยังโลกคัมภีร์เพื่อพบเจอสาวหิมะเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของนาง เขากังวลว่าถ้าเขาไม่รีบกลับไปปลอบใจนางนางอาจโมโหหึงไปนานถึงสิบวันครึ่งเดือน
แต่พลังงานลึกลับชนิดหนึ่งมิทราบโผล่ออกมาจากที่ไหน
ทำให้เขาไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่น้อย
ในทันใดนั้น
เย่ว์หยางผ่านไปตามมิติเวลาอย่างรวดเร็วจนเขาคิดไม่ออกตอบสนองไม่ทัน
พลังลึกลับนั้นเหมือนกับมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็น ห่อหุ้มร่างของเขาทั้งหมดแยกขาดจากกฎสวรรค์หรือข้อจำกัดทั้งปวงส่งเย่ว์หยางจากโลกหิมะน้ำแข็งไปยังมิติพิเศษที่เขาไม่เคยไปถึง
เฉพาะในพื้นที่มิตินี้ เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างบริบูรณ์
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ
ไม่มีสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกไม่มีกาลเวลา
ไม่มีกาลเวลาในพื้นที่มิตินี้และไม่มีแนวคิดโครงสร้างของมิติ ไม่มีกลางวันกลางคืนไม่มีด้านล่างด้านบนซ้ายขวาหน้าหลัง เว้นแต่พลังงานคงที่ขนาดมหึมาเกินกว่าจินตนาการหรือแอบมองไม่สามารถสังเกตเห็นอะไรได้จากที่นี่อีกแล้ว เย่ว์หยางเกิดความรู้สึกลวงว่าเหมือนตนเองถูกขังอยู่ในไข่ ความสับสนโกลาหลที่นี่ไม่ใช่ความสับสนอย่างที่เคยพบแต่เป็นความรู้สึกพิเศษสามารถสร้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ พลังพิเศษ
“ส่งข้ามาที่นี่ไม่เหมือนส่วนใดของโลกหรือสวรรค์มหาเทพจะเอายังไง?” เย่ว์หยางรำพึง “แม้ว่าเราคุณชายจะดูเหมือนอัจฉริยะ แต่พอแยกฟ้า แยกดินออกไปเกมนี้ยากจะเข้าใจจริงๆ มหาเทพมีงานใหญ่ให้ทำอย่างนี้ มันยากเกินไป
จะมองหาวัตถุโบราณหรือ?
เป็นการลงโทษหรือว่าจะให้รางวัลกันแน่?
จิตสำนึกลึกลับไม่มีอีกต่อไปไม่มีการพูดแม้แต่ประโยคเดียวไม่มีการอนุญาตให้คาดเดาเงื่อนไข นี่เป็นการทดสอบผ่านด่านครั้งสุดท้ายหรือไม่มีรางวัลพิเศษไหม?
เย่ว์หยางอดคิดไม่ได้!
เขาไม่สามารถเดาได้ก็ต้องลองดูว่าแมวตาบอดสามารถพบหนูตายได้หรือไม่
เริ่มก่อนเป็นเรื่องดีและนี่เป็นเรื่องที่ยากมากเพราะเย่ว์หยางรู้สึกว่าพลังงานที่นี่คงที่เกินไป
ถ้าเขาไม่สามารถก้าวข้ามเจตจำนงราชันย์นี้ได้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะโยกคลอนที่นี่ได้ อย่าว่าแต่ใช้พลังคงที่ที่นี่เพื่อแยกโลกและสวรรค์และสร้างโลกที่นี่เลย ต่อให้สร้างเม็ดทรายสักนิดก็เป็นไปไม่ได้ที่นี่ยากยิ่งกว่าโลกภายนอก!
ในพื้นที่มิตินี้ ไม่มีกาลเวลาและเย่ว์หยางไม่รู้ว่าเขาอยู่มานานแค่ไหน
เขารู้สึกไม่ชัดเจน
บางครั้งเขารู้สึกเหมือนกับว่าอยู่มาหมื่นปี บางครั้งรู้สึกเหมือนผ่านไปเพียงสิบวันครึ่งเดือน ที่น่ากลัวที่สุดคือบางครั้งก็รู้สึกเพียงชั่วขณะหนึ่งหรืออาจจะไม่เกินสิบนาที การเปิดฟ้าหรือเปิดมิติ เย่ว์หยางไม่สามารถทำได้ ต่อให้เขาเป็นเทพก็ตามที เย่ว์หยางได้แต่จ้องมองเฉยๆเย่ว์หยางไม่ได้มีทักษะยิ่งใหญ่ขนาดสร้างชีวิตได้แม้ว่าเขาจะมีความสามารถผลิตหุ่นรบคู่หูได้ จนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่เข้าว่าอสูรอย่างเช่นเทาเถี้ย และสิ่งต่างๆเกิดมามีสติปัญญาความรู้ได้อย่างไร?
แม้ว่าเขาจะสร้างมันขึ้นมา แต่กระบวนการสร้างสับสนไม่สามารถทำซ้ำได้
“หรือว่าเขาจะลองสร้างเม็ดทรายจริงๆ” เย่ว์หยางนิ่งอยู่เป็นเวลานานและพบว่าไม่มีใครสนใจตัวเขาเลย เขาเพียงแต่ใช้พลังงานมหาศาลที่นี่เพื่อสร้างโน่นสร้างนี่ฆ่าเวลา
จะพูดให้ถูกก็คือที่นี่ไม่มีการเสียเวลา
มิติเวลายังคงเหมือนเดิม
เขาแค่ไม่ต้องการให้จิตใจของเขาเบื่อเกินไปต้องตัดสินใจทำอะไรเสียบ้าง
ความคิดนั้นไม่เลวแต่ยากมากที่จะนำไปใช้ เพราะพลังงานคงที่ของที่นี่ไกลเกินกว่าที่เย่ว์หยางจะใช้เจตจำนงควบคุมได้ เย่ว์หยางต้องการใช้พลังงานในการสร้างและพบว่าเขากำลังสร้างทรายที่เล็กกว่ามดเสียอีก ยากยิ่งกว่าเคลื่อนย้ายภูเขา หลังจากความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กหนุ่มข้ามโลกรู้สึกลำบากแต่เมื่อเขาใจร้อนเกินไป มันก็จะไม่คงอยู่ ขณะเดียวกันเขาเริ่มมีอารมณ์ดื้อรั้น
เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้พลังงานคงที่ที่นี่หรือ? เราเคยใช้พลังงานเช่นนี้สร้างบางอย่าง
อย่าว่าแต่ทรายเลย
หลายอย่างก็สร้างขึ้นมาได้อย่างไม่ต้องตั้งใจมาแล้ว
อย่างไรก็ตามไอ้พลังงานบ้านี่ไม่อาจก่อกวนได้
บางที่อาจนานถึงสิบล้านปีอาจเป็นร้อยปี หรือเพียงสิบวินาทีก็ได้
เย่ว์หยางไม่มีเวลาและลืมเลือนเวลา ไม่รู้ว่าเขาต้องล้มเหลวไปกี่ครั้งคราแล้วในที่สุดหลังจากแสดงความโง่เป็นหมื่นครั้ง เขาก็สงบใจและคิดหาได้วิธีหนึ่ง
นั่นคือการใช้พลังงานของตัวเองในการสร้างสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการยอมรับจากมิติคงที่และจากนั้นจะค่อยรวมร่องรอยของพลังงานคงที่ สิ่งนี้อาจถือได้ว่าเป็นการใช้พลังงานคงที่แม้ว่านี่เป็นเครื่องนำทางก็ตาม แม้จำนวนพลังงานคงที่น้อยที่สุดก็เป็นการดำรงคงอยู่ที่นี่ เย่ว์หยางดึงเลือดหยดหนึ่งออกมาจากหัวใจมังกรแท้ จากนั้นอัดฉีดพลังงานที่หลากหลายและบรรจุพลังงานคงที่ไปเล็กน้อย พยายามที่จะให้มิติพื้นที่พิเศษนี้จดจำการมีอยู่ของมัน จำได้ว่านี่เป็นการสร้างขึ้นครั้งแรกที่ถูกสร้างขึ้นมา
“น่าปวดหัวเป็นบ้า ใครกันที่สร้างมิตินี้และพลังงานที่นี่! ไม่มีเจตจำนงเทพข้าจะควบคุมได้อย่างไร!” เกือบจะประสบความสำเร็จอยู่แล้ว แต่เย่ว์หยางก็ล้มเหลวเป็นพันครั้งจนเขามองดูเหมือนคนโง่ เขาสาบานว่าถ้านี่เป็นการทดสอบ ก็เป็นการทดสอบที่ยากที่สุดในชีวิตของเขา
นี่ไม่ใช่สิ่งที่พลังงานจะใช้ตัดสินได้
ต้องการเจตจำนง
เจตจำนงราชันย์มุ่งมั่นจะทำทุกอย่างไม่สิ้นสุด
เขาล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในชีวิตของเขาเย่ว์หยางไม่เคยลองใช้ความคิดที่สงบสุขและมุ่งมั่นเช่นนี้ด้วยเจตจำนงที่บริสุทธิ์มาก่อน พร้อมกับเพลิงอมฤตที่บริสุทธิ์เขารวบรวมร่องรอยพลังงานลึกลับไว้ในหยดเลือดสีทองที่กลั่นแล้ว จากนั้นด้วยวงจักรนิรันดรเขาแก้ไขอย่างมุ่งมั่นและเพิ่มพลังเทพไปในขณะเดียวกันเย่ว์หยางจิตนาการถึงความเป็นไปได้สำหรับการเติบโตและการยืดอายุปล่อยให้มันใช้การเจริญเติบโตและมีชีวิตเพื่อรักษาลักษณะการรับรู้อย่างต่อเนื่อง...เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาเพิ่งจะสร้างเทพเจ้าและมันไม่ได้ยากขนาดนั้น อย่างไรก็ตามเขาถ่ายเทภูมิปัญญาที่ดีที่สุดและความตั้งใจที่กล้าแข็งที่สุดของเขาลงไปในเลือดหยดนั้น
เขาไม่ได้ยืนยันว่าคืออะไรตราบใดที่มันประสบความสำเร็จ มันสามารถอยู่ในพื้นที่พิเศษนี้และได้รับการยอมรับจากที่นี้
แค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว
ทุกอย่างก็แค่ต้องการให้มันดำรงคงอยู่ชั่วกาลนานได้สำเร็จ
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างชีวิตหรือสร้างสิ่งที่ดำรงคงอยู่ได้อย่างอิสระเย่ว์หยางลืมตัวไปแล้วว่าตอนนี้เขาไม่สนใจความคิดผันผวนไม่แน่นอนนี้อีกต่อไปสุดท้ายเขาหวังว่าชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นนี้สามารถเกิดขึ้นในพื้นที่มิตินี้ตามเจตจำนงประสงค์ของเขา
บางทีเขาใช้วิธีการที่ถูกต้องอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
อย่างไรก็ตามเมื่อเย่ว์หยางไม่สามารถค้นหาเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงได้ในทันใดนั้นเลือดเกิดมีพลังผันผวนเหมือนกับมีชีวิต มันเกิดจากสิ่งไม่มีชีวิตไม่มีวิญญาณความรับรู้ ไม่มีเจตจำนง ทั้งหมดนี้ก่อตัวขึ้นอย่างอิสระทันทีมันเกิดขึ้นในมิติพื้นที่พิเศษนี้ นอกจากเย่ว์หยางแล้ว เจ้าสิ่งนี้นับเป็นสิ่งมีชีวิตตัวแรก
“......” ยังไม่ทันมีเวลาพอให้เขาได้มีความสุข
ไม่ทันได้ตั้งตัว
พลังลึกลับของมือที่มองไม่เห็นปรากฏอีกครั้งจับเขาโดยตรงและส่งไปยังโลกที่เขาไม่รู้จัก
แตกต่างจากก่อนหน้านี้เมื่อเย่ว์หยางออกมาแล้วเขาสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมิติคงที่พิเศษที่เขาอาศัยอยู่ แม้ว่าเขาจะไม่ทราบว่าต้องใช้วิธีใดเพื่อกลับไปอีกครั้ง แต่กระแสจิตของเขาอย่างน้อยก็ยังสัมผัสได้อยู่และก่อนออกไปเขาได้เห็นร่างที่น่ารักร่างแรกถือกำเนิดมาดูเหมือนว่ามันจะเปลี่ยนไปราวกับว่ากลายเป็นร่างดาบและดูเหมือนว่ามีร่างเหมือนมังกร ในท่ามกลางความมึนงงดูเหมือนกับว่ามีมือขนาดเล็กยื่นงอกออกมามันบินขึ้นไปบนฟ้า เย่ว์หยางไม่ทันจะได้รู้สึกเหมือนจริงเขาไม่ทันได้เอื้อมมือไปสัมผัสก็ถูกพาตัวออกมาเสียก่อน
มันอาจจะใช้เวลายืดยาวหลายร้อยล้านปีของห้วงมิติเวลาโดยไม่มีเหลือ
ขณะที่เย่ว์หยางกระพริบตาและลืมตา
ก็พบกับสามสาวเทวทูตในโลกไร้ที่สิ้นสุด
หญิงสาวหน้ากลมดูน่ารักยิ้มหวานให้เขา ขณะที่เทวทูตสาวห้าวกล้าหาญมีข้อสงสัยเล็กน้อย “เหลือเชื่อจริงๆ คนงี่เง่าอย่างเจ้าสามารถรู้แจ้งได้และสามารถให้ความรู้กับข้าได้ ข้าคิดว่าคงต้องเสียเวลาไปมากมายถึง 1,100,100,000 ปีไม่ได้คาดหวังเลยว่าเจ้าจะช่วยให้ข้าพลอยรู้แจ้งไปด้วย!”
“ขอแสดงความยินดีด้วยการทดสอบสิ้นสุดลงแล้ว” เทวทูตสาวคนกลางส่งคัมภีร์สีเงินให้เย่ว์หยาง “เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว!”
“หมายความว่ายังไง?” เย่ว์หยางสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“เจ้า..ตายไปแล้วคาดว่าคงเป็นปีศาจงมงาย!” เทวทูตสาวผู้กล้าหาญเหลือกตาอย่างไม่พอใจแต่นางก็อดหัวเราะอย่างมีความสุขมิได้
“เจ้าเคยตระหนักรู้การสร้างทำลายและความนิรันดร์ในความว่างเปล่า.. แต่การรู้แจ้งแบบนี้ยังไม่ใช่ความรู้สูงสุด หากเจ้าสามารถให้ความกระจ่างแก่ตนเองในเรื่องความนิรันดร์ได้นั่นคือการสร้างที่แท้จริง การทำลายที่แท้จริง ความนิรันดร์ที่แท้จริง! แน่นอนว่าเจ้าเพิ่งเริ่มเพียงก้าวแรกและยังมีระยะทางอีกไกลจากการสร้างที่แท้จริง แต่ตราบใดที่เจ้ารู้แจ้งได้อีกนั่นจะเป็นความสำเร็จของเจ้า สำหรับเรานี่คือการยอมรับ...” หลังจากเทวทูตคนกลางมอบคัมภีร์เงินให้เย่ว์หยางแล้ว นางยิ้มเล็กน้อย “คัมภีร์เทพส่งมอบให้เจ้าแล้วแต่มันยังไม่ยอมรับเจ้า เจ้ายังต้องพยายามให้หนักอีกต่อไป!”
“นี่ นี่คือคัมภีร์เทพหรือ?” เย่ว์หยางตกใจ
ทุกคนฆ่ากันแทบเป็นแทบตายปรากฏว่าคัมภีร์เทพตกอยู่ในมือของเทวทูตสามสาวเขาโดนหลอกอย่างแรง
อย่างไรก็ตามนี่ดูเหมือนผิดปกติเล็กน้อยหรือเปล่า? คัมภีร์เทพเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? คัมภีร์เทพควรมีแสงเทพสูงเป็นหมื่นๆเมตรฉายประกายสว่างไสวถึงสิบวันไม่ใช่หรือแต่คัมภีร์เงินนี้ดูเหมือนไม่เรืองแสงมากนัก
เย่ว์หยางเปิดคัมภีร์เงิน
พลิกหน้าเบาๆ
งงเป็นไก่ตาแตก
เขาพบว่าหน้าแรกของคัมภีร์เงินคือด่านแรกของดินแดนมิติทดสอบ หน้าที่สองก็คือด่านที่สอง...ทุกอย่างเกี่ยวกับดินแดนมิติทดสอบ ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาอสูร หุบเขาปีศาจหุบเขามนุษย์ หรือแม้แต่หอคอยเหนือหอคอย ขุนเขาเหนือขุนเขา ฟ้าเหนือฟ้า ทุกที่ทุกมิติ ทุกแห่งหน ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ เหตุการณ์ใดๆ แม้แต่ในอดีต ในอนาคตตราบใดที่สำรวจด้วยจิตสำนึกแล้ว ไม่มีอะไรที่เขาไม่เห็น
ทุกอย่างอยู่ในสายตาทุกอย่างอยู่ในมือของเขา!
“เจ้าหมายถึงให้ข้าหรือ?สถานที่หลบภัยแห่งนี้! ข้าคุณชายกลายเป็นผู้จัดการเกมเสียแล้วตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของการยื่นมือจัดการเสียแล้ว!” เย่ว์หยางยิ้มมีเลศนัย โชคดีที่จีอู๋ลี่หนีได้ทันมิฉะนั้นเขาคงร้องไห้เสียใจจนตาย ส่วนจงหัวและคนอื่นๆที่ตกค้างอยู่ในหุบเขามนุษย์คาดว่าคงจะไม่โชคดี!
“อย่ายิ้มให้มันน่าเกลียดได้ไหม!” เทวทูตสาวห้าวทนเห็นท่าทางแสยะยิ้มของเย่ว์หยางไม่ไหวนางเตือน “เจ้ายังไม่ได้รับการยอมรับจากคัมภีร์เทพ ข้าแค่มอบให้กับเจ้า เจ้ายังไม่ใช่เจ้าของ! ดังนั้นเจ้าจึงยังควบคุมไม่ได้ และยังไม่มีสิทธิ์ควบคุม แต่เจ้าสามารถเข้าไปเยี่ยมชมป้องกันได้เหมือนกับเรา!” ความหมายของสาวน้อยเทวทูตก็คือเตือนไม่ให้เย่ว์หยางมีความสุขเกินไปเขายังไม่มีสิทธิ์แก้ไขกฎในมิติดินแดนทดสอบ
“ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่คัมภีร์เทพยังอยู่ในมือ”
เย่ว์หยางยังคงแสยะยิ้มหัวเราะเหมือนดาวร้าย “ตราบเท่าที่ข้ามีของนี้อยู่ในมือทุกคนจะต้องดำเนินการฝ่าด่านต่อไป ข้าจะสนับสนุนทุกคนเต็มร้อยให้พยายามฝ่าด่านเพื่อให้ได้รับคัมภีร์เทพข้าจะไม่โจมตีคนอย่างไร้ประโยชน์แน่ ฮ่าฮ่าฮ่า..ก๊าก!”
ในเวลานี้แม้แต่เทวทูตสาวหน้ากลมผู้น่ารักที่ชอบช่วยเย่ว์หยางอยู่เสมอยังอดทำตาเหลือกมิได้
อย่าทำตัวเป็นคนไร้ยางอายเกินไปได้ไหม!
ทำแค่นี้ก็พอแล้ว
เย่ว์หยางถือคัมภีร์สีเงินและหันหน้าไปมองสามสาวเทวทูตที่ตกใจสะดุ้งกลัวจนจับกลุ่มทันทีเขายิ้มเหมือนหมาป่าเจ้าเล่ห์ “พวกเจ้าทั้งสามพิทักษ์คัมภีร์มาก็หลายปีตอนนี้ภารกิจเสร็จสิ้นมีความสุขหรือไม่? ถ้าตอนนี้พวกเจ้าว่างไม่มีอะไรทำ? ไปเที่ยวชมดูปลาทองที่บ้านข้าเอาไหม?”+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++*** คิดว่าหลังสิ้นเดือนนี้ไปแล้ว น่าจะกลับมาโพสได้วัน 2 ตอนครับ ช่วงนี้ทนอ่านไปวันละตอนก่อน