(ฟรี) บทที่ 380 รางวัลของระบบ เทคนิคการวาดดาบจ้านเทียน!
แสงวาบขึ้นตรงหน้า
คัมภีร์โบราณเล่มหนึ่งลอยอยู่ข้างหน้าเขาอย่างเงียบๆ ปกที่ดูแปลกตาเป็นสีเหลืองเล็กน้อย ไม่มีข้อความใดๆและส่วนท้ายก็ไม่สมบูรณ์ ราวกับเป็นของจิปาถะที่ใช้รองขาโต๊ะ
หลี่หรานตกตะลึงเล็กน้อย “นี่คืออะไร?”
เขาเคยชินกับการได้รับสมบัติล้ำค่า รางวัลธรรมดาๆเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ในเวลานี้เอง เสียงเตือนของระบบดังขึ้นในหูของเขา
【ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่ได้รับพลังเหนือธรรมชาติ “เทคนิคการวาดดาบจ้านเทียน”!】
“จ้านเทียน… เทคนิคการวาดดาบ?”
หลี่หรานขมวดคิ้ว “ทำไมมันฟังดูคุ้นๆ”
ดูเหมือนว่าเขาเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนสักแห่ง แต่หลังคิดอย่างรอบคอบแล้วกลับนึกไม่ออก
เขายกมือขวาขึ้นและเอานิ้วมือแตะปกคัมภีร์เบาๆ
ไม่มีลมรอบๆแต่คัมภีร์โบราณกลับเปิดขึ้นเอง ยังไม่มีข้อความบนนั้นแต่เป็นภาพที่ปรากฏขึ้นมา
มันเป็นท่าทางการวาดดาบง่ายๆ
ภาพวาดนั้นเรียบง่ายและฝีแปรงก็หยาบมากเช่นกัน แม้แต่มนุษย์ที่ถือดาบก็ถูกร่างขึ้นมาอย่างลวกๆ แต่มันกลับมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
หลี่หรานมองไปที่มันด้วยความงุนงง และดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่คัมภีร์โบราณเปิดไปยังหน้าสุดท้ายแล้ว
ทันใดนั้นคัมภีร์โบราณก็ค่อยๆแตกสลายและกลายเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ทะลุผ่านหว่างคิ้วของเขา ดวงตาของเขาปิดแน่นและราวกับมีแสงจากท้องฟ้าส่องลงมา
ทันใดนั้นการหายใจของหลี่หรานก็ลดระดับลง
ทุกลมหายใจกลายเป็นยาวมาก หลังจากหายใจเข้าเต็มที่ห้าครั้งก็หายใจออกช้าๆราวกับเป็นจังหวะบางอย่าง
แม้ว่าการหายใจจะช้าลง แต่พลังปราณในร่างกายของเขากลับโคจรเร็วขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดแสงสีเงินที่อุดมสมบูรณ์ก็เกือบจะเติมเต็มทั่วทั้งตันเถียน
ทันใดนั้นหลี่หรานก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีเงิน นัยน์ตาเฉยเมยโดยไม่มีร่องรอยของอารมณ์
เขายกมือซ้ายขึ้นมาและย่อตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆยกมือขวาขึ้นมาวางไว้หน้ามือซ้ายอย่างช้าๆ
เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรอยู่ในมือ แต่ราวกับว่าเขากำลังจับด้ามดาบอยู่!
รอบด้านมืดลงทันที
“ฟัน!”
ด้วยเสียงตะโกนเบาๆ มือขวาก็เหวี่ยงออกไป!
พร้อมกับเสียงหวีดหวิวที่คมชัดในอากาศ ปราณดาบไร้รูปก็พุ่งออกไปราวกับพายุ!
แสงสีเงินสว่างวาบในความว่างเปล่า ราวกับจะควบแน่นแสงทั้งหมดระหว่างสวรรค์และโลก เกิดเป็นวงโค้งที่ลึกล้ำและแหลมคม!
บูม!
ทั้งห้องนอนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
—
ฉู่หลิงฉวนกำลังสอนเซินหนิงอย่างจริงจัง น่าแปลกที่เด็กสาวตัวเล็กๆคนนี้ไม่เพียงมีพรสวรรค์มากเท่านั้น แต่ยังมีความเข้าใจอันน่าอัศจรรย์อีกด้วย หลังจากประสบความสำเร็จในหลอมรวมลมปราณ ฐานการบ่มเพาะของนางก็หนาแน่นขึ้น หากไม่ใช่เพราะเส้นชีพจรของนางยังค่อนข้างบอบบาง นางคงอยู่ในขั้นกลางของขอบเขตหลอมรวมลมปราณแล้ว
แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาอีกสิบวันถึงครึ่งเดือนก่อนจะทะลวงไปสู่ขั้นกลางได้สำเร็จ
ในเรื่องนี้ฉู่หลิงฉวนมีทั้งความยินดีและทุกข์ใจ
ในตอนแรกเซินหนิงได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์เพียงเพื่อเอาชนะเหลิงอู่เหยียน แต่หลังจากการติดต่อกันในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ความคิดของนางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เซินหนิงเป็นคนฉลาด มีมารยาท และมีวุฒิภาวะที่ไม่ตรงกับอายุ นางแสดงความรู้สึกขลาดเขลาเป็นครั้งคราวซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารและรักใคร่
ฉู่หลิงฉวนไม่เพียงแต่หลงใหลในพรสวรรค์ของนางเท่านั้น แต่ยังชอบสาวน้อยคนนี้มาก และปฏิบัติต่อนางในฐานะศิษย์ส่วนตัวอย่างสมบูรณ์
เมื่อเห็นเซินหนิงนั่งไขว่ห้างและหลับตาบ่มเพาะนางก็ลอบถอนหายใจเล็กน้อย
“เฮ้อ ยิ่งเจ้าบ่มเพาะเร็วเท่าไหร่หลี่หรานก็จะจากไปเร็วขึ้นเท่านั้น… รู้งี้ข้าตั้งเงื่อนไขสำหรับการออกไปหลังจากสร้างรากฐานแล้วก็ดี”
ฉู่หลิงฉวนรู้สึกขัดแย้งอย่างมาก นางหวังว่าเซินหนิงจะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่นางก็ไม่ต้องการให้หลี่หรานจากไปเร็วเกินไป
“หลี่หราน…”
เมื่อนึกถึงชื่อนี้ ใบหน้าที่หล่อเหลาก็ปรากฏขึ้นในความคิดของนาง ภาพที่เขาเรียกนางว่า “อาจารย์หลิงฉวน” ด้วยรอยยิ้ม
แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ใบหน้าของนางแดงเล็กน้อย
ฉู่หลิงฉวนรู้อยู่แก่ใจว่านี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ธรรมดาๆอีกต่อไป
คำพูดเพียงไม่กี่คำจากอีกฝ่ายสามารถก่อกวนจิตใจของนางได้อย่างง่ายดาย นางมักจะถูกเขาทำให้ขุ่นเคือง แต่หัวใจของนางกลับเขินอายและอ่อนหวานยิ่งกว่า
นอกจากหลี่หราน ไม่มีใครเคยให้ความรู้สึกนี้กับนาง
ฉู่หลิงฉวนนึกถึงบางสิ่งและหัวใจก็เต้นรัว “เอ๊ะ ข้าคงไม่ได้ชอบเขาใช่ไหม?”
จากนั้นนางก็ส่ายหัวอย่างรุนแรง
“เป็นไปไม่ได้ ข้าเกลียดเขาที่สุด…”
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างนางกลับไม่มีความมั่นใจในใจเลย
ฉู่หลิงฉวนไม่ได้บ่มเพาะเต๋าไร้อารมณ์และนางก็ไม่ได้มีงานอดิแรกอย่างการบำเพ็ญตบะ เหตุที่นางโสดมาโดยตลอดเพราะไม่มีใครเข้าตา...
แต่แม้ว่าหลี่หรานจะพิเศษมาก พวกเขาก็พึ่งรู้จักกันไม่นานใช่ไหม?
นางคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่นางลืมไปเสียสนิทว่านางไม่ได้ปฏิเสธการนอนด้วยกันกับเขาเลย…
อวี้ชิงหลันนั่งไขว่ห้างอยู่ข้างนาง
เมื่อมองไปที่ฉู่หลิงฉวนที่จู่ๆก็หน้าแดง จู่ๆก็ส่ายหัว และบางทีก็คุยกับตัวเอง ดวงตาของนางก็งุนงงเล็กน้อย
“ผู้นำนิกายฉู่”
ฉู่หลิงฉวนกลับมามีสติ “หือ? เกิดอะไรขึ้น?”
อวี้ชิงหลันขมวดคิ้ว “เจ้าป่วยหรือเปล่า?”
“…..” ฉู่หลิงฉวนพูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าสิป่วย!”
อวี้ชิงหลันถามอย่างสงสัย “แล้วเมื่อกี้เจ้าพึมพำอะไร?”
“มะ...ไม่มีอะไร” ฉู่หลิงฉวนหน้าแดงและหันศีรษะหนี
อวี้ชิงหลันไม่ใส่ใจ นางมองไปที่เซินหนิงพร้อมกับพยักหน้าและพูดว่า “เด็กสาวคนนี้มีพรสวรรค์และความเข้าใจที่ทรงพลังจริงๆ เกรงว่านางจะพอเทียบได้กับหลางเยว่”
ฉู่หลิงฉวนพ่นลม “ศิษย์ของข้าแข็งแกร่งกว่าศิษย์ของเจ้ามาก! นี่คืออัจฉริยะที่ฝึกฝนทั้งเต๋าและศิลปะการต่อสู้!”
“เวลาและพลังงานของมนุษย์มีจำกัด ฝึกฝนทั้งเต๋าและศิลปะการต่อสู้ไม่ได้หมายความว่าจะแข็งแกร่งกว่า”
“เจ้าแค่อิจฉา!”
“......”
อวี้ชิงหลันส่ายหัวและไม่สนใจที่จะโต้เถียงกับนาง
ฉู่หลิงฉวนกอดอกและพูดเย้ยหยัน “เจ้ารู้ว่าเวลาและพลังงานมีจำกัด แต่เจ้ายังยึดติดกับหลี่หรานอยู่อีก? หลังจากคำนับอาจารย์มากมาย… เขาจะไปมีเวลาเรียนรู้เต๋าของสถาบันเทียนซูได้ยังไง?”
อวี้ชิงหลันไม่เปลี่ยนสีหน้า “ไม่เพียงแต่เขาสามารถเรียนรู้ได้เท่านั้น แต่เขายังเรียนรู้ได้ดีมากอีกด้วย มีเพียงผู้นำนิกายฉู่ที่นอนกับหรานเอ๋อร์ทุกวัน นี่คือสิ่งที่คนเป็นอาจารย์ควรกระทำหรือเปล่า?”
เมื่อนางพูดเช่นนั้น ใบหน้าของนางไม่แดงแต่หัวใจกลับเต้นแรง นางลืมไปเสียสนิทว่านางได้ทำมากกว่านั้น
ฉู่หลิงฉวนหน้าแดงและพูดอย่างฉุนเฉียว “เจ้า…”
ก่อนที่นางจะทันได้โต้ตอบ ทันใดนั้นทั้งห้องนอนก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ทั้งสองผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นก็หันศีรษะมามองหน้ากัน
“ปราณดาบนี้…” ทั้งสองสบตาและพูดพร้อมกัน “หลี่หราน!”
ในเวลาเดียวกันทั่วทั้งนิกายก็กลายเป็นโกลาหล!
/////