ตอนที่แล้วตอนที่ 1233 เวทีทอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1235 คุณชายหลี่หมิง

ตอนที่ 1234 จุดอ่อนของเจ้าอ้วนไห่?


อำนาจที่ทรงพลังเกิดมาจากเวทีทอง

นี่คือพลังที่ใกล้เคียงกับกฎสวรรค์

เย่คงขมวดคิ้วและกระโดดออกมาจากเวทีทองแต่เขาต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าขอบเวทีทองชั้นแรกมีม่านพลังใสปรากฏเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมคลุมไปทั่วเวทีทอง เย่คงเกร็งพลังวัชระขนาดใหญ่กระแทกใส่ม่านพลังใสพลังของเขาทำให้เวทีทองทั้งหมดสั่นสะเทือน แต่น่าเสียดายที่ม่านพลังใสไม่ได้รับความเสียหาย

“ไม่มีใครออกไปจากเวทีทองได้จนกว่าจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้”  คุณชายหลี่หมิงอธิบายกฎที่นี่

“อย่างนั้นก็สู้กัน!” พี่น้องตระกูลหลี่อัญเชิญกริฟฟินปราณฟ้าระดับเงินที่เพิ่งได้รับมาใหม่และเตรียมใช้งานอสูรวิญญาณราชสีห์เพื่อใช้ในการเสริมพลัง

ทันทีที่อัญเชิญอสูรศึกระดับเงินกลับไม่มีปฏิกิริยาสนองตอบ

เวทีทองมีระลอกคลื่นพลังพิเศษ

และขับไล่กริฟฟินทั้งคู่ออกไปจากเวที

กริฟฟินสองตัวไม่สามารถแม้แต่จะกลับเข้าไปในคัมภีร์อัญเชิญได้  พวกมันถูกโยนออกมานอกม่านพลังเวทีทอง

“ก็อย่างที่ข้าได้พูดบอกไปแล้วก่อนนี้เวทีทองนี้จำกัดอสูรศึกที่อยู่เหนือกว่าระดับทอง อสูรศึกใดก็ตามที่มีระดับต่ำกว่าชั้นทองไม่ว่าจะทรงพลังหรือพิเศษขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ในเวทีทองได้  ยิ่งไปกว่านั้นในเวทีทองนี้นักสู้ไม่สามารถใช้กำลังตนเองสู้ได้ ได้แต่อาศัยอสูรเพื่อต่อสู้”  คุณชายหลี่หมิงยิ้มอย่างสุภาพเขาแสดงท่าทางสง่างามกับเจ้าอ้วนไห่และเย่คง “ถ้าเจ้าไม่มีอสูรศึกเหนือระดับทองขึ้นไป ข้าก็คงต้องขออภัย!”

“พวกบ้านนอกจะมีอสูรศึกเหนือระดับทองได้ยังไงข้าไม่เคยคาดหวังว่าพวกเขาจะมีอะไรให้ประหลาดใจได้”  บัณฑิตวัยกลางคนตอนนี้หยิ่งยโสได้  และเขาโบกมือเหมือนทำการตรวจสอบ

ยิ่งเขาโบกมือก็ยิ่งมีอสูรศึกระดับทองปรากฏออกมาพวกมันส่งเสียงร้องกึกก้อง

และกำลังได้โอกาสที่ดี

ชายชราชุดคลุมดำก็ทำอย่างเดียวกัน

มีแต่อสูรศึกระดับทองที่ถูกบุรุษชราชุดยาวดำเรียกออกมาและมีแนวโน้มว่าล้วนเป็นสัตว์ประหลาดและอมนุษย์  มีอสูรศึกน้อยมากที่มีเลือดเนื้อและมีชีวิต   ตัวอย่างเช่นมังกรไฟกระดูกปีศาจที่ทำจากโครงกระดูกมังกรและวิญญาณชั่วร้ายที่ได้รับการสาปแช่งและตะเกียกตะกายออกมาจากความอย่างเย็นชา  และอสูรปราณฟ้าประมาณสามสิบประเภทที่แตกต่างกันและมีคุณลักษณะที่แตกต่างกันยืนอยู่อย่างมั่นคงด้านหลังบัณฑิตวัยกลางคนและชายชราชุดดำ

แต่ละตัวมีพลังปราณฟ้าระดับห้า

มีอสูรน้อยตัวมากที่ถึงปราณฟ้าระดับหก

หากเปรียบเทียบระดับความแข็งแกร่งของหัวหน้าผู้นำระดับปราณฟ้าอย่างเช่นนักสู้หัวสิงห์  อสูรระดับทองตัวใดตัวหนึ่งก็สามารถฆ่าหัวหน้านักสู้ปราณฟ้าพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย

อสูรศึกปราณฟ้าระดับที่สติปัญญาต่ำแต่มีพลังถึงปราณฟ้าระดับหกหมายความว่าอย่างไร?  เย่คงและเจ้าอ้วนไห่ไม่เข้าใจ! อย่างไรก็ตามพวกเขาเคยได้ยินข่าวลือดังกล่าวจากในตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ว่ามีวิธีการลับพิเศษบางอย่างที่สามารถเลื่อนระดับพลังอสูรศึกที่ทรงพลังทั้งที่มีสติปัญญาต่ำหรือไม่มีสติปัญญาได้จนถึงปราณฟ้าระดับหกหรือสูงกว่านั้น ซึ่งปกติอสูรเหล่านั้นจะมีพลังไม่สูงไปกว่าปราณฟ้าระดับห้าแม้ว่าการเลื่อนระดับอย่างบ้าคลั่งนี้จะต้องจ่ายด้วยราคาโหดร้ายที่สุด แต่เพราะตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์มีอสูรศึกจำนวนมาก  ยิ่งไปกว่านั้นไม่ทราบบุคลากรในตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตายไปมากมายเท่าใด

ข้อดีนี้ในปัจจุบันชัดเจนมาก

บัณฑิตวัยกลางคนและชายชราชุดยาวดำมีอสูรศึกชั้นทองเกินพลังปกติของพวกมันเองและยังมีอสูรศึกเป้าหมายสุดยอดที่มีระดับพลังเติบโตเหนือกว่าอสูรศึกปกติมากมาย

แม้ว่าจะมีช่องว่างห่างกันระหว่างปราณฟ้าระดับห้าและระดับหกทั้งสองนี้แต่ก็ทำให้บัณฑิตวัยกลางคนและชายชราชุดยาวดำกุมความได้เปรียบอย่างท่วมท้น

เจ้าอ้วนไห่มองดูมังกรไฟกระดูกปีศาจที่ยืนอยู่ด้านหลังชายชราชุดดำซึ่งมีพลังปราณฟ้าระดับหกจากนั้นมองดูวานรศิลายักษ์ปราณฟ้าระดับหกด้านหลังบัณฑิตวัยกลางคน เขาส่ายหัวช้าๆและถอนหายใจยาว

ดูเหมือนว่าอสูรศึกเหล่านี้ใช้ทางลัดเลื่อนระดับจนเป็นอสูรชั้นทองพลังปราณฟ้าระดับหก สำหรับหอทงเทียน

ไม่มีจริงๆ!

ถ้าเย่ว์หยางตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำคาดว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัญหาคือว่าไม่เคยมีนักรบหอทงเทียนคิดจะใช้วิธีนี้เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของอสูรศึกไม่กล้าพูดตัดสินให้ชัดเจน แต่ที่แน่นอนก็คือนักรบหอทงเทียนส่วนใหญ่อสูรศึกเป็นอสูรคู่หูที่ร่วมต่อสู้กับพวกเขา สถานะของอสูรศึกบางทีอาจเป็นเหมือนสหายและคนในครอบครัวมีเพียงไม่กี่คนที่ใช้อสูรศึกในฐานะเครื่องมือต่อสู้ที่สามารถเปลี่ยนมือได้ตลอดเวลา

นักรบหอทงเทียนให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความภักดีและการร่วมประสานของอสูรศึกแม้แต่เด็กหนุ่มจากโลกอื่นอย่างเย่ว์หยาง ก็ไม่เคยมองอสูรศึกว่าเป็นเหมือนทาส

เจ้าอ้วนไห่ผู้ถือครองคัมภีร์อัญเชิญพบว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนกับบัณฑิตวัยกลางคนหรือชายชราชุดยาวดำ

ไม่มีทางเปลี่ยนอสูรเหล่านี้มาเป็นเครื่องมือต่อสู้

อสูรของเขาไม่มีเจตจำนงเสรี

กล่าวคือไม่มีเจตจำนงเป็นของตนเอง

เพราะพวกมันตายได้ไม่นานพลังความแข็งแกร่ง ความตั้งใจทำลายล้างที่เหลือค้างอยู่ในร่างกายมีกำลังมหาศาลเพื่อให้เจ้านายได้ใช้เข้าต่อสู้...  เนื่องจากเป็นศพที่เดินได้หรือวิญญาณของคนตายเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องความภักดี เชื่อได้ว่าคงไม่ทำให้รู้สึกดีแน่นอน

สิ่งเดียวที่มีก็คือระดับพลังของพวกมันและพลังที่ถูกบังคับให้ใช้ก็ไม่ใช่พลังของตนเอง!

“นี่คือผลของการไล่ล่าไขว่คว้าพลังมากเกินไปหรือเปล่า?  โชคดีที่เราไม่ได้หลงทางทำอย่างเดียวกัน!”  สีหน้าท่าทางของเสวี่ยทันหลางแสดงออกถึงความรังเกียจ

“ข้าไม่เคยต้องการชีวิตของผู้อื่น แต่สถานการณ์นี้ทำให้ข้าต้องระเบิดความโกรธในหัวใจของข้าออกมาจริงๆ  มันน่ารังเกียจที่จะต้องทำเช่นนั้นจริง  เพื่อให้ได้พลัง  เจ้ายอมทอดทิ้งบรรทัดฐานสุดท้ายของชีวิตเสียได้!” เมื่อเทียบกับเสวี่ยทันหลาง องค์ชายเทียนหลัวทนต่อการดูแคลนชีวิตอย่างนี้มากกว่า ถ้าคนเหล่านี้ฆ่าอสูรศึกเขาอาจไม่โกรธมากเกินไป  แต่คนที่อยู่ต่อหน้าเหล่านี้เพื่อไขว่คว้าพลังระดับสูงมากเกินไปกลับทำให้อสูรศึกกลายสภาพเป็นอย่างนี้กลับทำให้เขาโกรธได้ทั้งที่เขาเป็นคนมีการศึกษาและอารมณ์ดี

“น่าขันไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่เจ้าแสวงหาหรือ?  ทำไมพวกเจ้าจึงต้องดิ้นรน? มิใช่เพื่อให้ได้พลังที่แข็งแกร่งขึ้นไปใช่หรือไม่? ทำไมเจ้าต้องให้อสูรศึกเสียเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อพวกเจ้าด้วย? เพื่อชัยชนะไม่ใช่หรือ?  เราก็เพียงแต่ใช้วิธีการแบบเดียวกัน เพียงแต่ฉลาดกว่าเดิม  ก่อนอื่นเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของอสูรศึกให้ได้ก่อนและจากนั้นก็ให้พวกมันสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ นี่มันผิดกันตรงไหน?  ในทางตรงกันข้าม ถ้าพวกเจ้าผู้มีความหน้าซื่อใจคดทำผิดพลาดอสูรศึกตายในสนามรบได้ แต่จากนั้นพวกมันก็อาจกลายเป็นอสูรศึกที่ยอดเยี่ยมในมือของพวกเรา เพราะอย่างน้อยพวกมันก็มีการป้องกันตัวที่แข็งแกร่งและร่างกายเป็นอมตะ!” บัณฑิตวัยกลางคนเผชิญหน้ากับความโกรธขององค์ชายเทียนหลัวอย่างสงบราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับความโกรธแช่นนี้มานานแล้ว และไม่รู้สึกประหลาดใจ

“อสูรศึกของเราก็คือสหายของเราแม้แต่อาจจะเป็นสหายรักด้วยซ้ำ!” องค์ชายเทียนหลัวโกรธ ไม่ได้ตั้งใจจะปฏิเสธคัดค้านหัวชนฝามากเกินไปแต่เรียกคัมภีร์อัญเชิญชั้นแพลตตินัมและอัญเชิญปีศาจเพลิงสวรรค์อสูรศึกของเขาออกมา”

ปีศาจเพลิงสวรรค์ประกอบไปด้วยปีศาจศิลาและอัปสรบินรวมตัวกันเป็นดาวตกสวรรค์

ศักยภาพดั้งเดิมนั้นยอดเยี่ยม

ต่อมาหลังจากเย่ว์หยางได้ให้พลังงานจากบ่อโลหิตชี่เทียนเหอเพื่อเปลี่ยนเส้นเอ็นผลัดกระดูกมีการชำระร่างอยู่หลายเดือนทำให้ศักยภาพขององค์ชายเทียนหลัวเพิ่มขึ้นไม่มีขีดจำกัดปัจจุบันภูมิปัญญาของอสูรพิทักษ์ของเขามีระดับปานกลางด้วยความช่วยเหลือรู้แจ้งของเจ้านายและการฝึกฝนอย่างหนักในบ่อโลหิตของชี่เทียนเหอและเย่ว์หยางมอบเพลิงแดงสวรรค์ให้เขา

อาจกล่าวได้ว่าแม้จะมีพลังเพียงปราณฟ้าระดับสี่แต่พลังที่แท้จริงไม่เหมือนกับช่วงเวลานั้นอีกต่อไป

องค์ชายเทียนหลัวตั้งใจพัฒนามันให้เป็นจ้าวปีศาจ

เพียงแต่ช่วงเวลายังไม่เพียงพอ

ก่อนที่เขาจะทันได้พัฒนาก้าวหน้าเขาต้องกลับมายังหอทงเทียนเพื่อเข้าร่วมสงครามต่อต้านในครั้งนี้..  ปีศาจเพลิงสวรรค์และยักษ์พายุอสูรศึกของเสวี่ยทันหลางหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาร่วมต้านแรงกดดันจากพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้าม

“ดีมาก ข้าชอบคนหนุ่มแน่นอย่างนี้!” ชายชราชุดคลุมดำมองดูยักษ์พายุและปีศาจเพลิงสวรรค์  เขาพยักหน้าพร้อมกับกล่าว  “ยิ่งเป็นคนหนุ่มที่มีศักยภาพมากก็เป็นหุ่นศพนักรบที่มีความแข็งแกร่งแน่นอนเพราะวิญญาณนักสู้ของคนหนุ่มอย่างนี้มีพลังใจกล้าแข็งเพียงพอ  ถ้าตายด้วยความคับแค้นใจศพก็จะมีสัญชาตญาณ ถ้าเจ้าสาปแช่งความตายนั่นจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด  ข้าชอบคนหนุ่มที่ต่อต้านโกรธข้าและอสูรศึกของพวกเขาด้วย  ก็อย่างที่เจ้าเห็นอยู่ข้างหลังข้าทุกอย่างคือสินสงครามของข้า!  ในอดีตพวกเขาก็เหมือนเจ้าสู้ตอบโต้ข้าอย่างกล้าหาญ  แต่น่าเสียดายที่ผลออกมาเหมือนกัน  พวกเจ้าก็ไม่ยกเว้น!”

“เราจะไม่ล้มเหลว” เย่คงตอบอย่างเด็ดเดี่ยวทันที

“ทำไมเจ้าพูดแบบนี้?”  บัณฑิตวัยกลางคนสับสนเล็กน้อย  ไม่ว่ามองดูจากมุมมองใด ฝ่ายของเขาชนะอย่างมิต้องสงสัยทำไมเด็กคนนี้ถึงมีความมั่นใจ?

“เพราะเราคือเพื่อนร่วมทีมเย่ว์หยางและเป็นพี่น้องของเขา!  ภายใต้การนำของเขาเราจะไม่มีวันล้มเหลวไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบันหรือในอนาคต!”  ใบหน้าของเย่คงแสดงความมั่นใจไม่มีใครทำให้คลอนแคลนได้ เมื่อเห็นสีหน้าแสดงออกเช่นนี้บัณฑิตวัยกลางคนและชายชราชุดดำตกตะลึงแต่คุณชายที่วางมาดเหมือนเทพเจ้าคุณชายหลี่หมิงยังคงยิ้มได้  “ข้าเข้าใจความมั่นใจของเจ้า  แต่ให้ข้าแก้ไขความเข้าใจผิดของเจ้าตรงจุดนี้คือเย่ว์ไตตันไม่ได้อยู่ที่นี่  เขาไม่ได้อยู่ข้างๆพวกเจ้า พวกเจ้าสู้ตามลำพัง!”

“เขาไม่ได้อยู่กับเราแต่ไม่มีอะไรต่างจากอยู่กับเรา เรายังคงไม่พ่ายแพ้!” พี่น้องตระกูลหลี่ยืนหยัดข้างเย่คง “นี่คือความตั้งใจที่เขานำเรามา ไม่หวั่นไหวในการต่อสู้ภายใต้การต่อสู้ด้วยเจตจำนงราชันย์ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ในที่สุดจะต้องพบกับความพ่ายแพ้!”

“เจตจำนงสู้ไม่ยอมแพ้หรือ?”  สีหน้าของคุณชายหลี่หมิงจริงจังอีกครั้ง

“นักรบหอทงเทียนทุกคนผู้มีคุณสมบัติต่อต้านแดนสวรรค์จะต้องมีเจตจำนงนักสู้เช่นนี้ นี่ทำให้เราแตกต่างจากพวกเจ้า” องค์ชายเทียนหลัวยืนขึ้นเผชิญหน้ากับศัตรูร่วมกับเย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่

“......” เสวี่ยทันหลายยังคงเงียบ

เขาไม่ได้ไล่ตามเจตจำนงราชันย์จากประตูเป็นตายต่อไปแต่เป็นพลังกฎสวรรค์ที่แผ่ออกมาจากเจตจำนงราชันย์

ตอนนี้มีเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ด้านหลัง

นั่นคือเจ้าอ้วนไห่

สีหน้าที่จริงจังของคุณชายหลี่หมิงตอนนี้จ้องมองดูเจ้าอ้วนไห่เหมือนกับมองดูสหายเก่าที่ไม่ได้พบเจอมาเป็นเวลานาน  เขายิ้มกล่าว “ข้าคิดว่าพี่ไห่ต้าฟู่คงไม่มีความรู้เข้าใจเจตจำนงราชันย์ใช่ไหม?”  เขารู้เรื่องการทดสอบประตูเป็นตายของหอทงเทียนแม้ว่าจะไม่ได้ทดสอบ แต่ก็รู้ว่าผิดปกติเพียงไหน และยากเย็นเพียงไหน

เจ้าอ้วนไห่ก็เหมือนคนอ้วนเหมือนจ้าวปีศาจอ้วนคุณชายหลี่หมิงไม่เชื่อว่าคนที่โลภอยากได้ทรัพย์สมบัติอย่างนี้จะผ่านประตูเป็นตายได้เขาไม่อาจรู้แจ้งผ่านด่านประตูเป็นตาย และได้พลังเจตจำนงราชันย์

ดังนั้นเขารู้สึกว่าในที่สุดเขาก็พบความแตกแยกในกลุ่มของเย่ว์ไตตันแล้ว

ในกลุ่มนักสู้ชุดนี้ผู้ที่อ่อนแอที่สุดไม่ใช่เย่คงซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ามีอสูรวานรระดับเพชรองค์ชายเทียนหลัวเป็นผู้มีความรู้มากในกลุ่ม เสวี่ยทันหลางแข็งแกร่งที่สุด สองแฝดพี่น้องตระกูลหลี่เงียบที่สุด...แต่กลับเป็นเจ้าอ้วนไห่ ไห่ต้าฟู่ผู้มีความโลภที่สุด!

เจ้าอ้วนไห่คือจุดอ่อนของกลุ่ม  แล้วเจ้าอ้วนไห่มีจุดอ่อนอะไรกันแน่?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด