ตอนที่ 1 ทักทายในวันพักผ่อนของครอบครัว
ตอนที่ 1 ทักทายในวันพักผ่อนของครอบครัว
ช่วงสายวันพักร้อนของครอบครัวซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีโอกาสเช่นนี้
เวลานี้รถของครอบครัวเล็ก ๆ หนึ่งกำลังแล่นอยู่บนทางหลวง ซื่อเสี่ยวหยุน กำลังคุยกับ จางหลานจื้อ แม่ของเธอขณะมองดูภูเขาและแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราดนอกหน้าต่าง
มันเป็นวันหยุดยาวที่หาได้ยากของพวกเขาทั้งหมด และครอบครัวที่แสนจะยุ่งวุ่นวายนี้ก็บังเอิญมีวันหยุดตรงกัน ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจขับรถจากเจียงเฉิงไปยังหวงซาน เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น
เหมือนว่าจะมีฝนจะตกเมื่อก่อนหน้านี้และถนนลื่นก็เล็กน้อย แต่ถนนที่ว่านี้ก็อยู่ในสภาพที่สามารถสัญจรได้ดี ซื่อต้าเฉิน พ่อของเขากดระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติและรักษาความเร็วไว้ที่ 100 หลา
ทันใดนั้นสุนัขสีเหลืองซึ่งอาจเป็นสุนัขจรจัด ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอย่างไม่ทันคาดคิดเมื่อกำลังขับรถด้วยความเร็วสูง ซื่อต้าเฉิน เหยียบเบรกทันทีและจับพวงมาลัยให้มั่นคงที่สุด เขารู้ว่าสิ่งที่เป็นข้อห้ามเมื่อหยุดรดกระทันหันคือการหักพวงมาลัยอย่างไร้สติ
ซื่อต้าเฉิน ซึ่งขับรถมา 30 ปี เขาจึงรู้ข้อห้ามนี้ดี
อย่างไรก็ตามทั้งสามคนในรถยังคงได้ยินเสียงดัง "ปัง!!" อย่างแรงจากนั้นรถก็เบรกจนหยุดนิ่ง อาจเป็นเพราะพวกเขาหลบจากสุนัขตัวนั้นไม่พ้นก็เป็นได้ ซื่อต้าเฉิน เปิดไฟฉุกเฉิน และกำลังจะลงจากรถเพื่อตั้งป้ายเตือนให้รถที่ขับตามมาระวังและรู้ว่าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ก่อนที่เขาจะปลดเข็มขัดนิรภัยออก ก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงกรีดร้องของ ซื่อเสี่ยวหยุนและจางหลานจื้อ เวลานี้รถที่พวกเขานั่งอยู่เหมือนถูกผลักออกไปอย่างแรงและชนเข้ากับแผงกั้นทางหลวงโดยตรง ถุงลมนิรภัยทั้งหมดทำงานและรถพลิกคว่ำลงไปทันที พวกเขาทั้งสามคนหลุดออกจากรถ และยังกลิ้งลงไปกับพื้นที่มีความชันสองสามรอบจนกระทั่งตกลงไปในแม่น้ำที่อยู่ข้างถนนทาง
ซื่อเสี่ยวหยุน มีเพียงความคิดเดียวในใจของเธอในขณะนี้ที่เธอกลิ้งลงไปอย่าควบคุมไม่ได้: “จบแล้ว ทริปวันหยุดของครอบครัวฉัน!!!”
หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง โดยที่ยังไม่ทราบสาเหตุ ซื่อเสี่ยวหยุน ก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่คอของเธอ ราวกับว่าคอของเธอหักไปแล้ว ร่างกายของเธอเปียกชุ่มและรู้สึกหนาวมากมีเสียงก้องหึ่ง ๆ รอบตัวเธอในเวลานี้ เธอพยายามอย่างมากที่จะลืมตาขึ้น แต่เปลือกตาของเธอก็ดูเหมือนหนักมากและลืมตาไม่ได้ ในที่สุดเธอก็พยายามอีกครั้งเพื่อลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่สิ่งที่เห็นขณะนี้กลับเป็นภาพที่น่าประหลาดใจมาก
มีคนแปลกหน้าหลายคนรอบตัวเธอล้วนแต่งกายด้วยชุดคล้ายกับว่ากำลังอยู่ในฉากภาพยนตร์ย้อนยุค ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นนักแสดงกลุ่มใหญ่ ซื่อเสี่ยวหยุน สับสนและแปลกใจมาก ก่อนที่เธอจะพยายามเปล่งเสียงถามใครบางคนที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อเธอเห็นเด็กชายรูปร่างผอมผิวเข็มคนหนึ่งเดินมาจากฝูงชนด้วยความตื่นตระหนกนั่งยอง ๆ ลงและจับที่ไหล่เธอเขย่าสองสามครั้ง และเขายังพูดอย่างกังวล และเรียกเธอว่า : "ชุนหยา! ชุนหยา! เจ้าฟื้นแล้ว เร็วเข้า! มองข้าสิ ข้าเป็นพี่ชายของเจ้าจำได้ไหม ทำไมเจ้าตกลงไปในบ่อน้ำหรือว่ากระโดดลงไปจริง ๆ “เด็กชายคนนี้ เขามีทีท่าเป็นห่วงเธอจนแทบจะร้องไห้ แต่ขณะนี้ซื่อเสี่ยวหยุน รู้สึกราวกับว่าคอของเธอกำลังจะหลุดออก เธอจึงพยามที่จะพูดแต่ก็มีเพียงคำรามเสียงเบา ๆ อยู่ในคอเท่านั้น:”อย่า..อย่าเขย่า คอของฉัน มันเหมือนกำลังจะหักอยู่แล้ว”
เด็กหนุ่มผิวเข้มและผอมคนดังกล่าวก็หยุดการเคลื่อนไหวของเขาทันทีเมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้นเขาแปลกใจเล็กน้อย แต่เขาคิดว่าน้องสาวของเขาคงเจ็บที่คอจริง ๆ และเธออาจพูดแปลกไปเพราะเพิ่งจะฟื้น
ซื่อเสี่ยวหยุน มองไปด้านข้างและมีคนอีกสองคนอยู่ไม่ไกลจากเธอนัก พวกเขานอนอยู่บนพื้นเป็นชายและหญิงที่มีใบหน้าที่บ่งบอกถึงมึนงงเช่นเดียวกับเธอ
ดวงตาของพวกเขาทั้งสามประสานกันในขณะนั้น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความงุนงง ใบหน้าที่คุ้นเคยแต่มีบางอย่างเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อพวกเขามองเห็นกันแล้วทุกคนก็เงียบก่อนที่ ซื่อเสี่ยวหยุน จะมีท่าทางลังเลในความคิดของเธอและพูดว่า: “1994”
ซื่อต้าเฉิน: "05"
จางหลานจื้อ: "07"
ที่พวกเขากำลังพูดถึงคือรหัสล็อคประตูบ้านและเป็นวันเกิดของเธอด้วย เพื่อเช็คว่านี่คือพ่อแม่เธอจริง ๆ แต่หน้าตากับอายุของพวกเขาไม่เหมือนเดิม อันที่จริงพ่อแม่ของเธออายุเกือบ 50 แล้ว สองคนนี้ยังดูเหมือนคนที่อายุแค่สามสิบเท่านั้นเอง เกิดอะไรขึ้นหลังจากอุบัติเหตุเมื่อสักครู่นี้ทำให้พ่อกับแม่ของเธอเปลี่ยนไปได้อย่างไร ซ้ำยังผอมแห้ง เป็นไปได้ไหมว่า พวกเดินทางทะลุมิติหรือมาถึงโลกคู่ขนานหรือย้อนเวลามายังอดีต? เหมื่อซีรี่ส์ที่เธอเคยดูมาก่อน ที่รู้แน่ ๆ คือ เธอยังไม่ตายและเธอมีสติที่สมบูรณ์มาก
“หากเป็นจริงเรื่องนี้มันก็น่ากลัวเกินไป! นี่ไม่ใช่ความฝันใช่ไหม?”ดวงตาของ ซื่อเสี่ยวหยุน เบิกกว้างโดยไม่ได้ตั้งใจ และอีกสองคนดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ และมองหน้ากันด้วยความตกใจ
ก่อนที่พวกเขาจะพูดอะไร ในเวลานี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงใครบางคนดังมาจากฝูงชนที่มุงดูพวกเขาอยู่นั้น : “เอาล่ะ เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนฟื้น ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว ไปกันเถอะ ฉื้อโถว เจ้ากับอารองพาพ่อแม่ของเจ้าเข้าไปในบ้านได้ แล้วอุ้ม ชุนหยา เข้าไปในบ้านด้วย”
ซื่อเสี่ยวหยุน หันไปตามเสียงช้า ๆ และเห็นหญิงชราร่างผอมบางยืนอยู่ไม่ไกล หญิงชรามีใบหน้าผอม โหนกแก้มสูง ปากปิดและมีรอยย่นรอบริมฝีปาก
ทันทีที่หญิงชราพูดจบ คนหลายคนช่วยประคองเธอรวมทั้งพ่อแม่ของเธอ พาเข้าไปในบ้านที่ใกล้พังหลังหนึ่ง
ตอนนี้ ซื่อเสี่ยวหยุน มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสถานที่ที่พวกเขาทั้งสามคนนอนอยู่นั้น เป็นพื้นหญ้าข้างบ่อน้ำโบราณที่อยู่กลางลานโล่งแจ้งของบ้านหลังหนึ่งที่เก่ามาก และตัวของพวกเขาทั้งสามคนก็เปียกปอนไปหมดในขณะนี้ หรือว่าพวกเขาจะผ่านออกมาจากบ่อน้ำจริง ๆ งั้นเหรอ? ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี่เธอกำลังประสบอุบัติเหตทางรถยนต์ไม่ใช่เหรอ?แล้วทำไมถึงมาอยู่ในร่างกายเล็ก ๆ นี้ได้? : "อะไรเนี่ย..ฉันก็ตัวเล็กลงด้วย"
ซื่อเสี่ยวหยุน ถูกพาตัวเข้าไปในกระท่อมเล็ก ๆ และมีเครื่องหมายคำถามเต็มหัวของเธอในเวลานี้ การตกแต่งในห้องไม่มีอะไรจะธรรมดาไปกว่านี้อีกแล้ว มีเตียงสองหลัง เตียงใหญ่หนึ่งและเตียงเล็กหนึ่ง ทั้งด้านซ้ายและขวาเตียงเล็กถูกปิดด้วยม่านกันฝุ่นเก่า ๆ และมีตู้เสื้อผ้าอยู่ตรงกลาง ดูทรุดโทรมมาก พื้นบ้านที่ทำจากดินเหนียว แต่เพราะถูกเหยียบย่ำตลอดทั้งปี พื้นโคลนจึงดูดำเป็นมันเงาไม่ต่างจากพื้นขัด
ทั้งสามคนเข้าไปในกระท่อมโดยไม่พูดอะไร ต่างคนต่างมองหน้ากัน มีชายหนุ่มอีกคนที่ช่วยพวกเขามองมาที่พวกเขาและพูดว่า: “ท่านพี่ ข้าบอกท่านแล้ว อย่ากลับไปเล่นการพนันอีก ถ้าไม่ใช่เพราะหยานซีเด็กข้างบ้านมาเจอพวกท่านวันนี้ พวกท่านทั้งสามคงจมลงไปในบ่อน้ำแล้ว มีปัญหาอะไรก็ค่อย ๆ แก้ไขก็ได้ กระโดดลงไปในบ่อน้ำทำไมกัน ก่อนหน้านี้ก็ทุบตีลูกเมียอย่างบ้าคลั่งพี่เป็นอะไรไปแล้ว!” ชายหนุ่มคนนี้ดูจะกำลังต่อว่าด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก
ซื่อต้าเฉิน กระพริบตาและมองไปที่ชายหนุ่มคนดังกล่าวและพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้พูดเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนว่าชายคนดังกล่าวต้องเป็นใครสักคนที่รู้จักและหวังดีอย่างแน่นอน
ชายคนนั้นคือเห็นว่าเหมือนพี่ชายของเขาคงยังไม่สร่างเมาเพราะ ซื่อต้าเฉิน ดูมึงงงและยังไม่สามารถพูดคุยกันได้ในขณะนี้
ดังนั้นเขาจึงบอกให้ ซื่อต้าเฉิน พักผ่อนและให้ ฉื้อโถว เฝ้าดูอยู่ที่นี่ก่อนที่เขาจะจากไป
ขณะนี้นอกจากพวกเขาทั้งสามคนแล้วในกระท่อมหลังนี้มีเพียง ฉื้อโถว เด็กหนุ่มที่เรียกซื่อเสี่ยวหยุนว่าชุนหยา เขาดูเหมือนจะเป็นคนในบ้านหลังนี้ และต้องรู้จักเจ้าของเดิมของร่างทั้งสามนี้เป็นอย่างดี
แต่เวลานี้พวกเขาทั้งสามต้องการให้ ฉื้อโถว ออกไปก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงมองหน้ากันและขยิบตา ด้วยความเข้าใจกันในครอบครัวเท่านั้น เมื่อเห็นสิ่งที่พ่อแม่แสดงออก ซื่อเสี่ยวหยุน ก็เข้าใจทันทีว่าพ่อแม่ของเธอหมายถึงอะไร และเธอจึงพูดกับ ฉื้อโถว ว่า : “พี่ชาย คุณบอกว่าเป็นพี่ของฉันใช่ไหม อย่างนั้นช่วยต้มน้ำให้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันอยากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“เจ้าพูดแทนตัวเองว่าอะไรนะ ฟังดูแปลก ๆ เจ้าไม่สบายหรือเจ้าถูกผีเข้าใช่หรือไม่?”
“อ่อ..ไม่สิ!ข้า! ข้าจำได้แล้ว ๆ ข้าอยากอาบน้ำเท่านั้นเองพี่เห็นไหมว่าตอนนี้ตัวข้าเปียกไปหมดและหนาวมากด้วย” ซื่อเสี่ยวหยุน สวมบทบาทการพูดแบบเดียวกับคนที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว แน่นองว่าเธอเคยดูซีรี่ส์ย้อนยุคมาไม่น้อย และมันมีประโยชน์จริง ๆ
“ใช่..เจ้าสลบไปในบ่อน้ำตั้งนาน ข้าจะไปต้มน้ำให้เจ้าเดี๋ยวนี้” ฉื้อโถว พยักหน้าตอบและออกไปต้มน้ำทันที
“พ่อ! แม่! เขาออกไปแล้ว เอาไงต่อดี? เกิดอะไรขึ้นกับเรา!” ซื่อเสี่ยวหยุน พูดอย่างกังวลด้วยเสียงเบาทันทีที่ ฉื้อโถว เดินออกไป
ซื่อต้าเฉิน ตอบต่อไปด้วยใบหน้าที่สับสน: "พ่อก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ด้วยว่าทำไมลูกดูตัวเล็กลงอย่างน่าแปลกใจ! และหน้าตาของลูกดูเหมือนตอนที่ลูกยังเป็นเด็กไม่มีผิด”
ก่อนที่ซื่อเสี่ยวหยุนจะพูดจางหลานจื้อ ก็พูดว่า: “ใช่ ที่รักคุณก็เปลี่ยนไปเหมือนกันและดูแม่สิ ไม่ต่างกันเลย มันเกิดอะไรขึ้น?ทำไมพวกเราดูเด็กลงมาก”
จากนั้น ซื่อเสี่ยวยุน ก็พยักหน้าหลายครั้งอย่างเห็นด้วย ทั้งสามมองหน้ากันเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี
“ตอนนี้หนูรู้สึกว่าตัวเล็กมากเลยด้วย ตาของหนูก็มองเห็นชัดมาก ไม่ต้องใช้แว่นสายตาอีดแล้ว เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมว่าพวกเราจะย้อนเวลาเหมือนซีรี่ส์ที่หนูเคยดู แต่ที่นี่ไม่ใช่เมืองที่เราเคยอยู่มาก่อนมันคือยุคสมัยไหนกันล่ะ?” ซื่อเสี่ยวหยุน เกาศีรษะที่เปียกของเธอและพูดอย่างลังเล
"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเราหาทางกลับบ้านของเรากันเถอะค่ะ!" ซื่อเสี่ยวหยุน กล่าวอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว
“โชคดีที่คุณยายเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว ไม่เช่นนั้นท่านคงต้องมาลำบากกับเราที่นี่เวลานี้ด้วยอีกคน” หลังจากที่ จางหลานจื้อ พูดเช่นนี้ เธอก็รู้สึกแปลกกับบรรยากาศรอบ ๆ
ซื่อเสี่ยวหยุน มองไปที่พ่อแม่ของเธอซึ่งพวกเขาไม่คุ้นกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปในตอนนี้มากนัก และพูดว่า: "อย่างน้อยครอบครัวของเราก็มาด้วยกันทั้งหมดไม่ต้องห่วงใคร แต่ว่าสองคนนี่ใช่พ่อกับแม่ของหนูแน่นะ”
"ใช่ดูจากสภาพของการแต่งตัวตอนนี้ แม่คงดูไม่ได้เลย ดูมือของเธอคนนี้สิทำไมแห้งแตกขนาดนี้ เธอเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน?" จางหลานจื้อ ก้มมองดูที่ร่างกายของเธอในเวลานี้
ทั้งสามคนเงียบไปครู่หนึ่งเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากทุกอย่างที่ไหน
ซื่อเสี่ยวหยุน เริ่มพูดก่อน: “แล้วตอนนี้หนูจะชื่ออะไรกันแน่ เด็กผู้ชายคนนั้นเรียกหนูว่าชุนหยา”
จางหลานจื้อ: "นั่นน่ะสิ แม่ล่ะอยู่ในร่างของใคร"
ซื่อเสี่ยวหยุน: “มันเกิดอะไรขึ้น กับเราที่นี่ตอนนี้ เขาเป็นลูกของสองคนนี้อย่างนั้นหรือ?”
ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งก่อนที่ ซื่อต้าเฉิน จะพูด : “คงจะใช่ เขาอาจเป็นลูกชายของคนที่เรากำลังใช้ร่างของเขาในตอนนี้”
จางหลานจื้อ: “ที่รักคุณหมายความว่า เรามาอยู่ในร่างของคนอื่นจริงจริงเหรอ? แล้วร่างกายของ เราจะกลับไปได้ไหม?”
"ไม่มีใครรู้ว่าเราอยู่ในร่างของคนอื่นหรือว่านี่คือตัวเราเองแต่เวลาอาจต่างออกไป" ซื่อต้าเฉิน พูดอย่างไม่มีเหตุผลใด ๆ อ้างอิงในเวลานี้
ซื่อเสี่ยวหยุน: "พ่อคะ ผู้ชายคนนั้นบอกว่าพ่อเล่นการพนันจริงหรือเปล่า?”
ทั้งสามคนเกิดถามคำถามมากมายพร้อมกัน
“พ่อบอกหนูก่อน” ซื่อเสี่ยวหยุน กล่าวอย่างสับสน
ซื่อต้าเฉิน ได้พยายามแยกแยะความคิดที่สับสนของเขาและพูดว่า : “เมื่ออยู่ที่นี่เราชื่ออะไร เราต้องสวมบทบาทตามที่พวกเขาเข้าใจไปก่อนเพื่อความอยู่รอด แล้วค่อยว่ากันทีหลัง”
แม่และลูกสาวส่ายหหน้าอย่างหมดหวัง จากนั้น จางหลานจื้อ กล่าวว่า: "เราจะหาทางกลับไปได้ใช่ไหมคะที่รัก?”
พ่อและลูกสาวส่ายหน้าและถอนหายใจอยู่นาน จากนั้นซื่อเสี่ยวหยุน ถามต่อว่า: “ก่อนที่เรามาอยู่ที่นี่ เกิดอะไรขึ้นในบ้านเก่า ๆ หลังนี้นะ มีการกระโดดลงไปในบ่อน้ำเพื่อต้องการตายเหรอ? ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรกันแน่ ทำไมคนพวกนั้นถึงคิดว่าเรากระโดดลงไปในบ่อน้ำ เมื่อกี้เรายังนั่งอยู่ในรถและกำลังจะไปเที่ยวไม่ใช่เหรอ”
เมื่อฟังลูกสาวพูด สามีภรรยาทั้งคู่ก็ยังส่ายหน้าพร้อมกันเช่นเดิม
ซื่อเสี่ยวหยุน เริ่มปวดหัวเธอไม่รู้อะไรเลยในเวลานี้ เธอจำได้ว่าเธอลาพักร้อนเพื่อจะไปเที่ยวกับพ่อและแม่ของเธอแล้วเกิดอุบัติเหตุจึงมาโผล่ที่หมู่บ้านโบราณแห่งนี้ มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินไปสำหรับนักการตลาดอย่างเธอ ที่สำคัญร่างกายของเธอตอนนี้คือเด็กแปดขวบ : “ฉันจะทำอย่างไรดี?”
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังเกาหัวอยู่นั้นประตูก็ถูกผลักเปิดออกและทั้งสามคนก็มองไปที่ ฉื้อโถว ที่ยืนอยู่ตรงประตูพร้อมกันด้วยความไม่คุ้นเคยและสายตาระหว่างพวกเขาก็สอดประสานกันอีกครั้งเมื่อทุกคนมองมาที่เขา และได้แต่ถามว่า "ท่านพ่อ ท่านแม่ ชุนหยา มีอะไรเหรอ? น้ำร้อนพร้อมแล้ว รีบไปอาบน้ำกันสิ" ฉื้อโถว กล่าวและรีบเดินออกไป เขามักจะตื่นตระหนกได้ง่ายเพราะถูกพ่อของเขาทุกตีอยู่บ่อยครั้ง
ซื่อต้าเฉิน พูดทันที: "อย่าเพิ่งไป! มานี่ก่อน!" ฉื้อโถว ได้ยินดังนั้นก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเหมือนกำลังวิ่งหนีเสียงเรียกของพ่อเขาในเวลานี้
แม่และลูกสาวมองไปที่ ซื่อต้าเฉิน พร้อมกัน ซื่อต้าเฉิน เกาหัวแล้วพูดว่า : “ทำไมคุณถึงมองผมแบบนั้น ผมไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ เขาเหมือนกลัวผมมากนะ”
จางหลานจื้อ พูดว่า: “ใช่ ปล่อยเขาไปเถอะอย่าเพิ่งถามอะไรเขาเลย อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า สภาพความเป็นอยู่ที่นี่สุขอนามัยดูไม่ค่อยดีนัก และฉันไม่รู้ว่าถ้าเราป่วยจะรักษาได้ไหม?”
จางหลานจื้อ เคยเป็นหัวหน้าพยาบาลของโรงพยาบาลใหญ่ และเธอค่อนข้างหมกมุ่นเรื่องความสะอาดมากเป็นพิเศษ
หลังจากนั้น ซื่อต้าเฉิน จึงเดินไปที่ลานบ้านเพื่อตักน้ำในบ่อน้ำให้แม่และลูกสาว ทั้งแม่และลูกสาวกำลังมองหาเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนก่อนที่จะถอดเสื้อผ้าชุดเดิมออก
เมื่อมองดูรอบ ๆ บ้านพวกเธอก็แปลกใจ เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้า ที่อยู่ใกล้เตียงทั้ง 2 เตียงและยังมีเสื้อผ้าวางอยู่บนเตียงเป็นผ้าฝ้ายสามชุดขนาดพอดีกับพวกเธอแม้มันจะดูเก่ามากแต่ก็ใช้ได้
แม่และลูกสาวเปลี่ยนเสื้อ ในขณะที่ ซื่อต้าเฉิน กำลังรออยู่นอกประตู ในเวลานี้ เขามองไปที่ลานรอบ ๆ
บ้านหลังนี้เป็นเพียงกระท่อมมุงด้วยใบจากแยกเป็นสองส่วน สร้างขึ้นทางด้านตะวันออกและตะวันตก ด้านหลังหนึ่งมีรั้วและเลี้ยงไก่สองสามตัวในนั้น มีจอบและแคร่ทำจากไม้ไผวางอยู่ข้าง ๆ ตรงที่ภรรยาและลูกสาวของเขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้นคงจะเป็นห้องนอน และอีกด้านหนึ่งมีเตาที่สร้างขึ้นจากดินและมีกองฟืนอยู่ข้าง ๆ ด้านอกมีบ่อน้ำเล็กในสวน และพวกเขาทั้งสามคนเพิ่งได้รับการช่วยเหลือมาจากบ่อน้ำนี้เองเมื่อครู่นี้
และในเวลานี้ซื่อต้าเฉิน ยังเห็นสุนัขสีเหลืองโผล่มาเพียงครึ่งตัวที่มุมของประตูลานบ้าน เหมือนกับว่ามันมองมาที่เขา เขาจึงเรียกหาฉื้อโถว ซึ่งอยู่ห่างจากเขาไม่ไกลนัก เวลานี้ฉื้อโถวกำลังแสร้งทำเป็นยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่างเขาไม่อยากเข้าใกล้พ่อของเขาหรือซื่อต้าเฉิน
“สุนัขตัวนี้เป็นของบ้านเราหรือเปล่า?” ซื่อต้าเฉิน เดินเข้ามาใกล้และถาม ฉื้อโถว ชำเลืองมองที่สุนัขตัวนั้นและพูดว่า : "สุนัขหรือ?ท่านพ่อหมายถึงเจ้าหมาตัวนั้นใช่ไหม? แต่มันไม่ได้อยู่กับครอบครัวของเรา มันคงมาหากินอะไรมากกว่า" อันที่จริง ฉื้อโถว ก็คิดว่ามันน่าแปลกมากเขาก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน
ซื่อต้าเฉิน รู้สึกประหลาดใจมาก สุนัขตัวนี้อาจเป็นตัวที่เขาเคยพบเจอมาก่อน และมาพร้อมกับพวกเขาในอุบัติเหตุเมื่อสักครู่นี้หรือไม่?
ซื่อต้าเฉิน เดินไปที่ด้านข้างของสุนัข และนั่งลงกอดสุนัข และขอให้ ฉื้อโถว นำฟางมาวางไว้ข้างโรงเลี้ยงไก่ เขาจะให้สุนัขตัวนี้นอนตรงนั้น แต่มันจะอยู่ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวมันเอง
ฉื้อโถว ดูพ่อของเขากอดสุนัขและรู้สึกว่าพ่อของเขาแปลกไปกว่าเดิมมาก ปกติแล้วพ่อของเขามองว่าสุนัขไม่มีประโยชน์และจะไม่กอดหรืออุ้มมันแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น วิธีที่พ่อแม่และชุนหยา มองเขาก่อนหน้านี้ก็แปลกมากเช่นกัน และทั้งสามคนก็ดูแปลกไปตั้งแต่พวกเขาได้รับการช่วยเหลือให้ฟื้นขึ้นมาจากบ่อน้ำ
ฉื้อโถว แอบสงสัย ซื่อต้าเฉิน ที่กำลังใจดีกับสุนัขและอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
ขณะที่เขากำลังจะพูด ซื่อเสี่ยวหยุน ก็เปิดประตูและตะโกน: “พ่อคะ..ไม่สิ!” เธอหยุดชะงักชั่วคราวเพราะเห็นฉื้อโถว อยู่ที่นั่นด้วย : "ท่านพ่อ ไปเปลี่ยนชุดสิคะ ข้าเปลี่ยนแล้วสบายตัวขึ้นมากเลย”
"อ่อ..เปลี่ยนเสร็จแล้วเหรอ ลูกสาวพ่อคุยกับพี่ชายของลูกไปก่อนนะ” หลังจากที่พูดจบ เขาก็ยักคิ้วมองที่ ซื่อเสี่ยวหยุนและ ซื่อเสี่ยวหยุน ก็ยักคิ้วมองที่ ซื่อต้าเฉิน พ่อของเธออย่างเข้าใจ พวกเขายังสามารถปรับตัวและปรับคำพูดให้ใกล้เคียงฉื้อโถว เพื่อป้องกันความสงสัยของเขา