(ฟรี) บทที่ 375 เซิงเย่ผู้มีความสุขและโศกเศร้า
เฉินหยุนเต๋าเอะอะเกินไปและดึงดูดความสนใจของนิกายขนาดใหญ่ทั้งหมด
สิ่งที่เกิดขึ้นบนเกาะดาบเมฆาแพร่กระจายไปทั่วดินแดนอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว
ประการแรกคือตัวตนของหลี่เถียจู่
เทพดาบมังกรเงินในตำนานนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนตั้งแต่การปรากฏตัวของนาง
นางยังเป็นที่รู้จักในฐานะดาวรุ่งแห่งวิถีธรรม อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเทียบเคียงกับหลี่หรานได้ และความหวังของรุ่นเยาว์แห่งวิถีธรรมที่จะต่อสู้กับหลี่หราน
เป็นเวลานานที่หลี่หรานเป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับพวกเขา
ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้คืออยู่ภายใต้เงาของเขา และพวกเขาไม่มีความคิดที่จะเหนือกว่าเขาด้วยซ้ำ
และหลี่เถียจู่ผู้อยู่ในการจัดอันดับอัจฉริยะสวรรค์ด้วยร่างกายของมนุษย์ธรรมดา ในที่สุดก็นำความหวังอันริบหรี่มาสู่วิถีธรรม
นางพิสูจน์ด้วยความสามารถอันเหนือมนุษย์ของนางว่าหลี่หรานนั้นไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน!
โลกนี้ไม่ได้มีสุดยอดอัจฉริยะเพียงผู้เดียว!
วิถีธรรมรู้สึกตื่นเต้นอยู่พักหนึ่ง แต่เพียงไม่กี่วันต่อมาเรื่องจริงก็ถูกเปิดเผยออกมาว่าหลี่เถียจู่คือหลี่หราน และเขายังได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ส่วนตัวของฉู่หลิงฉวนและอวี้ชิงหลัน
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความโกลาหล
อันดับสวรรค์ได้รับการแก้ไขในชั่วข้ามคืน และศิษย์หลายพันคนของวิถีธรรมก็กลายเป็นหดหู่ทันที
ตอนนี้นิกายวิถีธรรมแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
หนึ่งคือฝ่ายที่นอบน้อมและยอมแพ้
ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าหลี่หรานเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนอันกว้างใหญ่
รุ่นเยาว์คนใดจะเทียบชั้นกับเขาได้?
เมื่อรวมกับอาจารย์สตรีระดับจักรพรรดิทั้งสามแล้ว ตัวตนและภูมิหลังของเขานั้นเกินจริงไปมาก
พวกเขาไม่สามารถเอาชนะเขาได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถยั่วยุเขาได้
ดังนั้นพวกเขาจึงละทิ้งการต่อต้าน บางคนถึงกับเข้าร่วมกลุ่มแฟนคลับของเขา
ท้ายที่สุดหลี่หรานมีอาจารย์วิถีธรรมสองคน ดังนั้นเขาจึงไม่นับเป็นปีศาจอีกต่อไป
ฝ่ายที่นอบน้อมนี้เป็นฝ่ายของคนส่วนใหญ่
แต่ยังมีอีกฝ่ายซึ่งเป็นคนส่วนน้อยที่ต่อต้านอย่างแข็งขัน
พวกเขาเชื่อว่าวิถีธรรมและปีศาจอยู่ร่วมกันไม่ได้ เหลิงอู่เหยียนเป็นปีศาจเลือดเย็นที่ฆ่าคนราวกับผักปลา ศิษย์ของนางจะเป็นคนดีได้อย่างไร?
สำหรับความสามารถในการต้านทานคลื่นสัตว์อสูรนั้นเป็นเพียงการ “เอาหน้า”
คนเหล่านี้ไม่กล้าที่จะรุกรานหลี่หรานอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปสนใจที่ศาลาหมื่นดาบและสถาบันเทียนซู
พวกเขาปล่อยข่าวลือและซุบซิบนินทาตลอดทั้งวัน บอกว่านิกายหลักทั้งสองนี้กำลังสมรู้ร่วมคิดกับปีศาจและเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อวิถีธรรม
แต่ศาลาหมื่นดาบไม่เคลื่อนไหวใดๆ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ออกมาโต้แย้งสิ่งตรงกันข้าม
ตั้งแต่ศิษย์ไปจนถึงผู้อาวุโส ราวกับทุกคนยอมรับความจริงนี้
พระราชวังเต๋าสูงสุดและวิหารอู่หวางก็ปิดนิกายของพวกเขาไปตามๆกันและไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
มีเพียงนิกายระดับสองและสามเท่านั้นที่ยังคงโจมตีแต่ก็ไม่สามารถสร้างคลื่นลมใดๆได้
นอกจากตัวตนของหลี่เถียจู่แล้ว ยังมีเรื่องอาการบาดเจ็บของเฉินหยุนเต๋า
เขาเสียหน้าที่เกาะดาบเมฆา จากนั้นก็ถูกขัดขวางโดยเหลิงอู่เหยียน เขาถูกตัดขาและได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้แต่ร่างเต๋าของเขาก็แทบจะพังทลาย
แต่เดิมนิกายอื่นๆไม่เชื่อในเรื่องนี้
ไม่ว่าเหลิงอู่เหยียนจะแข็งแกร่งแค่ไหน เฉินหยุนเต๋าก็ไม่ใช่มังสวิรัติ
นั่นคือผู้นำของวิถีธรรม นักพรตผู้สังหารปีศาจในตำนาน!
แต่เมื่อพวกเขาไปที่เทือกเขาเฟยหยุนเพื่อถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระราชวังเต๋าสูงสุดกลับปิดนิกายและไล่แขก อีกทั้งยามที่เฝ้าประตูภูเขาก็ดูตื่นตระหนก
สิ่งนี้เริ่มทำให้เรื่องเล่ามีเค้าลางของความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
มีแม้กระทั่งข่าวลือว่าสงครามระหว่างวิถีธรรมและปีศาจกำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้เหลิงอู่เหยียนจะทำลายล้างวิถีธรรมทั้งหมด!
วิถีมารควรปรบมือและฉลองกับข่าวนี้ แต่ในเวลานี้นิกายเต๋าหยินและนิกายเซิงอวี่กลับปิดนิกายไปตามๆกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิกายเต๋าหยิน พวกเขาถึงกับประกาศออกมาว่าต้องการรับสมัครศิษย์สตรีและคนที่หน้าตางดงามจะได้รับความสำคัญเป็นอันดับแรก
—
เมืองหลวง
คลังสมบัติราชวงศ์เซิง
เซิงเย่เดินไปรอบๆชั้นสามด้วยมือที่ไพล่หลัง ในขณะที่เฉาเหยียนเดินตามหลัง
แม้ว่าจะเป็นชั้นสาม แต่พื้นที่ก็ไม่ใหญ่เท่ากับชั้นหนึ่งหรือชั้นสอง มันสามารถถูกมองว่าเป็นห้องลับเล็กๆเท่านั้น มีอาวุธวิเศษในรูปแบบต่างๆมากมายวางเรียงรายอยู่
แต่แสงศักดิ์สิทธิ์และกลิ่นอายอมตะที่แผ่ออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าสองชั้นแรกรวมกัน
เมื่อมองไปรอบๆ ที่แย่ที่สุดคือสมบัติกึ่งศักดิ์สิทธิ์ และแม้แต่สมบัติศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดก็สามารถพบเห็นได้ทุกที่
นี่คือภูมิหลังของราชวงศ์เซิงที่สั่งสมมานับพันปี
เซิงเย่พูดอย่างเฉยเมยว่า “เฉาเหยียน ครั้งสุดท้ายที่ข้าบอกให้เจ้าเติมคลังสมบัติ เจ้าทำหรือยัง?”
[TL: แก้ชื่อจาก เฉาหว่าน -> เฉาเหยียน]
เฉาเหยียนยืนหลังค่อมและตอบว่า “ตอนที่บุตรศักดิ์สิทธิ์หลี่เอาสมบัติวิญญาณสิบชิ้นและสมุนไพรอมตะทั้งแปดไป ตาแก่คนนี้ได้เติมเต็มพวกมันแล้ว ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งของระดับเดียวกัน”
“แต่ดาบวิเศษกู่เซี่ยเล่มนั้น… ตาแก่คนนี้หามาแทนไม่ได้จริงๆ”
เพื่อให้รางวัลแก่ความสำเร็จของหลี่หราน เซิงเย่ไม่เพียงมอบฉายา “ปีศาจสวรรค์ปราบโลกก” ให้เขาเท่านั้น แต่ยังให้รางวัลพิเศษแก่อีกฝ่ายโดยปล่อยให้เขาเข้ามาในคลังสมบัติเพื่อเลือกตามต้องการ แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่หลี่หรานเอาไปล้วนแต่เป็นของชั้นยอด…
เซิงเย่เจ็บปวดมาก แต่เขาไม่สามารถกลับคำได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระบายความโกรธไปที่เฉาเหยียน เขาสั่งให้อีกฝ่ายหาของมาทดแทนสมบัติที่หายไปทั้งหมด
เฉาเหยียนนำทรัพย์สมบัติของตระกูลออกมาและส่วนใหญ่ถูกแทนที่แล้ว แต่คุณสมบัติของดาบวิเศษกู่เซี่ยนั้นพิเศษเกินไป แม้ว่ามันจะไม่ใช่สมบัติศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็สามารถกลืนกินเลือดเนื้อและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
เฉาเหยียนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้สิ่งที่คล้ายคลึงกัน แต่ไม่สามารถหาสิ่งใดได้
เซิงเย่ชำเลืองมองเขาและพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ดูท่าทางหวาดกลัวของเจ้าสิ มันก็แค่ดาบวิเศษ ข้าดูขี้เหนียวขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เฉาหยานบ่นเงียบๆในใจ ‘ถ้าท่านไม่ตระหนี่ ท่านคงไม่บอกให้ข้าหาสมบัติมาทดแทนหรอก’
แต่เขาไม่กล้าพูดออกมาและตอบกลับด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “จักรพรรดิเซิงเป็นคนใจกว้าง โดยธรรมชาติแล้วเขาย่อมไม่สร้างความยุ่งยากให้ตาแก่คนนี้”
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา ลืมเรื่องดาบวิเศษไปเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทสำหรับความกรุณา”
เฉาเหยียนมองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเซิงเย่และถามด้วยความสงสัย “ดูเหมือนฝ่าบาทจะอารมณ์ดี?”
เซิงเย่ไม่เก็บรั้ง เขาพยักหน้าและพูดว่า “เมื่อเร็วๆนี้มีสิ่งดีๆเกิดขึ้น… เจ้ารู้จักหลี่เถียจู่หรือเปล่า?”
“หลี่เถียจู่? เฉาเหยียนผงะไปครู่หนึ่ง”ร่างเทพดาบเกี่ยวข้องยังไงกับราชวงศ์เซิง?”
“แน่นอนว่าย่อมเกี่ยวข้อง” เซิงเย่ประสานมือไว้ด้านหลังและพูดว่า “นี่คืออัจฉริยะที่ไม่เคยพบมาก่อนในรอบหมื่นปี เขาดูดซับปราณดาบระดับจักรพรรดิด้วยร่างกายของมนุษย์ธรรมดา เมื่อเทียบกับหลี่หรานแล้วเขาไม่ได้ด้อยกว่าเลย”
“อีกทั้งฉู่หลิงฉวนกับวิหารโหยวหลัวมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ และนางยังมีความขัดแย้งกับหลี่หราน”
“ตราบใดที่หลี่เถียจู่คนนี้เติบโตขึ้น นางจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังที่สุดของหลี่หราน หลังจากนั้นราชวงศ์เซิงจะมีอำนาจสูงสุดตลอดไป”
“เช่นนั้นแล้วข้าจะไม่มีความสุขได้ยังไง?”
เฉาเหยียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “มันเป็นเช่นนั้น”
ท้ายที่สุดแล้วคำว่า “สมดุล” เป็นสิ่งสำคัญ
หลี่หรานทำให้เซิงเย่ปวดหัวอย่างมาก แต่ตอนนี้มีอัจฉริยะที่สามารถยับยั้งคู่ต่อสู้ได้ปรากฏตัวขึ้นและยังอยู่ฝั่งตรงกันข้าม...
นี่เป็นเรื่องดีสำหรับราชวงศ์เซิง
“ขอแสดงความยินดีด้วยฝ่าบาท ราชวงศ์เซิงของท่านจะรุ่งเรื่องและคงอยู่ตลอดไป!” เสียงประจบสอพลอของเฉาเหยียนดังขึ้น
เซิงเย่กำลังเล่นกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในมือ และรอยยิ้มของเขาก็กว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะนี้เอง อากาศบิดเบี้ยวไปและชายในชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“รายงานฝ่าบาท มีข้อมูลด่วนพ่ะย่ะค่ะ!”
“ข้อมูลด่วน?” เซิงเย่เลิกคิ้วขึ้น “ไม่มีคนนอกที่นี่ พูดมาได้เลย”
ชายชุดดำพูดเสียงต่ำ “ตามข้อมูลที่เชื่อถือได้ ตัวตนที่แท้จริงของหลี่เถียจู่แห่งศาลาหมื่นดาบคือการปลอมตัวของหลี่หราน บุตรศักดิ์สิทธิ์ของวิหารโหยวหลัว…”
เซิงเย่ตัวแข็งทื่อและขมวดคิ้ว “เดี๋ยวก่อน เจ้าว่าไงนะ?”
ชายชุดดำพูดซ้ำ “หลี่เถียจู่คือหลี่หรานจริงๆพ่ะย่ะค่ะ!”
เซิงเย่ “……”
เฉาเหยียน “……”
บูม!
สมบัติศักดิ์สิทธิ์ตกลงไปบนพื้นและเซิงเย่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างว่างเปล่า สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
“โกหก! เจ้าโกหกใช่ไหม?!”
/////