Chapter 73 Changes the strength of the world
改变世界的力量
แม้นว่าสัตว์ร้ายเมิ่งสวีจะมีพลังชีวิตมหาศาล,และทรงพลังมาก,อย่างไรก็ตามรูปแบบสัตว์ร้ายและอวัยวะภายในได้ล่มสลายพังทลายด้วยฝีมือซูเห่าแล้ว,ไร้ซึ่งพลังจะทำอะไร,และจะต้องตกตายในเวลาอีกไม่นาน.
หลังจากสัตว์ร้ายเมิ่งสวีหมดลมหายใจ,หัวหงอีก็สั่งให้ทำความสะอาดสนามรบ,เจ้าเมืองหลูและคณบดีเซียวจีที่เร่งรีบกลับมา ก็มาถึง.
หัวหงอี้ที่จ้องมองทั้งสองด้วยท่าทางไม่พอใจ,เรื่องจบแล้ว,ค่อยกลับมาถึงอย่างงั้นรึ?
หลูลู่และเซียวจีจ้องมองกันและกันด้วยท่าทางอักอ่วน.
พวกเขาที่จ้องมองศพของสัตว์ร้ายเมิ่งสวี,ก็รู้สึกเย็นยะเยือบไปถึงสันหลัง.
ทั้งสองรู้ดี,ถึงจะเร่งรีบกลับมา,ก็ไม่มีประโยชน์มากนัก,เพราะว่าสัตว์ร้ายเมิ่งสวีนั้นต่อให้บรรพจารย์สามคนร่วมมือกัน,ก็ทำได้แค่ขับไล่มันออกไปเท่านั้น.
การจะสังหารสัตว์ร้ายเมิ่งสวีได้นั้น,แทบเป็นไปไม่ได้เลย.
หลังจากที่รับรู้เรื่องราวการต่อสู้,ทั้งสองก็รู้สึกสนใจชายร่างเล็กที่สวมเกราะทั่วร่างเป็นอย่างมาก,พวกเขาคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงเป็นบรรพจารย์ผู้หนึ่งที่ผ่านมาโดยบังเอิญ.
และหลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้สังหารสัตว์ร้ายเมิ่งสวีที่แท้จริง,บรรพจารย์ยุทธ์ทั้งสองก็พูดไม่ออก,จ้องมองหน้ากันด้วยความงงงวย.
เรื่องเช่นนี้,ขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์สามารถทำสำเร็จด้วยรึ?
หัวหงอีเอ่ยวิเคราะห์“พี่ชายคนนั้นคงเป็นบรรพจารย์ขั้นสูง,นอกจากนี้ยังเป็นปรมาจารย์นักสลักรูนด้วย!”
หลูลู่และเซียวจีตกใจ”ปรมาจารย์นักสลักรูนอย่างงั้นรึ?
พวกเขาเองก็สามารถวาดสลักรูนได้เช่นกัน,ทว่านอกจากรูนอักขระ“สกัด” รูนอื่น ๆ ของพวกเขา,อ่อนแอมาก,หากต้องต่อสู้ใช้ดาบดูเหมือนว่าจะทรงพลังกว่ามาก.
หัวหงอีที่พยักหน้ารับเอ่ยออกมาว่า“ข้าเห็นว่าพี่ชายคนนั้นไม่ได้แค่สลักรูนแค่ครั้งสองครั้ง,ทว่ายังใช้ออกมานับครั้งไม่ถ้วน.”
เขาชี้ไปที่บาดแผลของสัตว์ร้ายเมิ่งสวี“เจ้าดูนั่น,เขาได้ใช้ทะลวงและแหลมคม,ยังมีร่องรอยกัดกร่อนด้วย,นอกจากนี้ข้ายังเห็นเขาใช้ม่านพลัง,โก่งตัว,อักขระรูนทุกตัวใช้ออกมาอย่างราบรื่น,ราวกับว่าเขาเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง.”
หลูลู่พยักหน้ารับ“เป็นความจริง,คนที่ทำเช่นนี้ได้,ไม่ใช่คนทั่วไป,อีกฝ่ายต้องเป็นปรมาจารย์สลักรูนระดับสูงสุด.”
เซียวจีที่นึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้าคิดว่าจินต้าถงที่ตายไปเมื่อสองปีที่แล้ว,เป็นฝีมือของคนผู้นี้หรือไม่?!”
หัวหงอีและหลูลู่ตกใจ,พูดไม่ออกเช่นกัน.
ผ่านไปนานเหมือนกัน,หลูลู่เอ่ยออกมาทันที“เรื่องจินต้าถง,ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอีกแล้ว.”
หัวหงอีและเซียวจีพยักหน้ารับ.
หลูลู่เอ่ยออกมาทันที“หงอี,เจ้าขุดแกนสัตว์เมิ่งสวีออกมา,แล้วส่งไปยังเมืองหลวงที.”
หัวหงอีพยักหน้ารับ“ตกลง!”
หลังจากนั้น,เมืองหลิงหยุนก็ได้แพร่เรื่องราวตำนาน“นักรบเกราะเงิน”ออกมา.
......
ขณะที่ทุกคนกำลังกล่าวขวัญถึงนักรบเกราะเงิน,ซูเห่าก็มาถึงดินแดนรกร้าง,เริ่มไล่ล่าสังหารสัตว์อสูรขอบเขตบรรพจารย์แล้ว,นอกจากนี้เขายังเลือกตัวทุกตัวที่เจออีกด้วย.
เขาพบว่าไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวสัตว์ร้ายขอบเขตบรรพจารย์อีกต่อไป,เพราะเขาได้สังหารไปแล้วสองตน.
ความหนาแน่นของจิงซีขอบเขตบรรพจารย์ของสัตว์ร้ายนั้น,โดยพื้นฐานเหนือกว่าซูเห่า,ทว่าก็มีเพียงแค่ความสามารถเดียว,ส่วนซูเห่านั้นมีรูนอักขระมากมาย,ทำให้ความต่างกันนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง.
หลังจากสังหารสัตว์ร้ายขอบเขตบรรพจารย์ไปห้าตัว,ซูเห่าก็พบกับลักษณะพิเศษของสัตว์ร้ายของเขตบรรพจารย์,แต่ละตัวนั้นจะมีก้อนเนื้อที่มีลูกปัดสีเหลืองอยู่ด้านในทั้งหมด
หรือจะกล่าวว่าลูกปัดนี้เป็นการสะสมของจิงซีของสัตว์ร้ายขอบเขตบรรพจารย์ก็ได้.
“นี่ควรจะเป็นแกนพลังงาน,ไม่แปลกใช้เลยว่าพลังของสัตว์ร้ายขอบเขตบรรพจารย์,ไม่ได้ทรงพลังเหนือล้ำเกินจินตนาการแต่อย่างใด”ซูเห่าเอ่ยออกมาทันที,เขาที่เป็นปรมาจารย์ยุทธ์,สามารถรับมือกับขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ได้,ไม่ใช่ว่าเขาแข็งแกร่งเลิศล้ำ,ทว่าขอบเขตบรรพจารย์นั้นอ่อนแอเกินไป.
อืม...ซูเห่าที่คิดว่าตัวเองอาจจะเหนือกว่าปรมาจารย์ยุทธ์ขั้นสูง,ทว่าอย่างไรซะเขาก็ยังเป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง.
ซึ่งขอบเขตบรรพจารยับก็ไม่ได้ต่างจากปรมาจารย์มากนัก.
ความแตกต่างนั้น,ควรจะเป็นอวัยวะที่ใช้สะสมจิงซีเอาไว้ได้.
ด้วยร่างกายขนาดใหญ่ก็ต้องใช้จิงซีมหาศาล,ผลของร่างกายที่ใหญ่ย่อมมีมวลที่หนักกว่าและทรงพลังกว่า,ทว่าหากคำนวณพลังต่อปริมาตรแล้ว,ก็เหนือกว่าขอบเขตปรมาจารย์ไม่มากนัก.
นอกจากนี้เมื่อมีปริมาณจิงซีมหาศาล,ก็ต้องใช้เป็นจำนวนมากเพื่อพยุงร่างที่ใหญ่ยักษ์
ทว่าขอบเขตบรรพจารย์,ถึงจะมีแหล่งกักเก็บการจ่ายจิงซีนั้น,เมื่อต้องใช้ก็ต้องส่งออกลำเลียงออกมา,ทำให้การปะทุพลังนั้นมีอยู่อย่างจำกัดเช่นกัน.
กล่าวตามจริงหากเอ่ยถึงความหนาแน่นจิงซีขอบเขตบรรพจารย์แทบจะไม่แตกต่างจากของซูเห่าเลย!
“การก้าวสู่ขอบเขตบรรพจารย์,ต้องมีลูกปัดพลังงานนี้อย่างงั้นรึ?”ซูเห่าที่กำลังค้นหาการก้าวสู่ขอบเขตบรรพจารย์,ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับแกนพลังงานจริง.
ดังที่เหล่าหลิวเคยเอ่ย,จุดสูงสุดของเผ่าพันธ์มนุษย์นั้นอยู่ที่ขอบเขตจอมยุทธ์เท่านั้น,การยกระดับเป็นปรมาจารย์นั้น,มาจากการเลียนแบบสัตว์ร้าย.
ในทำนองเดียวกัน,เผ่ามนุษย์ที่สร้างแกนพลังงานไม่ได้,หากต้องการก้าวสู่ขอบเขตบรรพจารย์,ก็ต้องศึกษาจากสัตว์ร้ายเช่นกัน.
มีความเป็นไปได้สูงมาก,ว่าต้องล่าสังหารสัตว์ร้ายขอบเขตบรรพจารย์,จากนั้นก็ยึดครองแกนพลังงานนั่นมา,เปลี่ยนถ่ายเข้ามาในร่างของปรมาจารย์,หลังจากปรับแต่งให้เข้ากับร่างกายได้แล้ว,ก็จะกลายเป็นขอบเขตบรรพจารย์ได้.
การก้าวสู่ขอบเขตบรรพจารย์มีอยู่จำกัดมาก,เพราะความสำเร็จในการก้าวสู่ขอบเขตบรรพจารย์นั้น,จะต้องล่าสัตว์ร้ายขอบเขตบรรพจารย์และยึดครองแกนพลังงานมันมานั่นเอง.
กุญแจสำคัญ,คือการได้รับแกนพลังงาน,ก็เท่ากับตัดผ่านระดับได้ร้อยเปอเซ็น.
“แล้วขอบเขตบรรพชนล่ะ? ต้องเปลี่ยนร่างกายทั้งหมด,ให้เป็นสัตว์ร้ายเลยหรือไม่?”
ซูเห่ายังไม่เคยเจอสัตว์ร้ายขอบเขตบรรพชน,ไม่มีข้อมูลอะไรเลย,จึงไม่รู้ต้องวางแผนเช่นไรเหมือนกัน.
ดังนั้น,ก่อนอื่นเวลานี้คงทำได้แค่ศึกษาการก้าวสู่ขอบเขตบรรพจารย์ก่อนก็แล้วกัน.
เขาที่กลับมาศึกษารูนอักขระและวิจัยพื้นฐานจิงซีอีกครั้งด้วย
เหตุผลนั้น,สภาพแวดล้อมเผ่ามนุษย์นั้นย่ำแย่จริง ๆ,ทว่ารูนอักขระ,จะสามารถช่วยพัฒนาสภาพแวดล้อมสร้างเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ให้กับมนุษย์ได้.
หลังจากเรื่องสัตว์ร้ายเมิ่งสวีโจมตีเมืองหลิงหยุน,ซูเห่าก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าคนในโลกนี้,ทำไมถึงได้ไม่สนใจชีวิตและความตายมากนัก.
ความตายสำหรับพวกเขานั้น,เป็นเรื่องปรกติ,ขอเพียงมันสามารถเป็นประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้,พวกเขาก็พร้อมสังเวยชีวิต,พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นวีรบุรุษ,ไม่จำเป็นต้องให้ใครต้องจดจำพวกเขา.
เพราะสำนึกรู้ความรับผิดชอบมันฝังอยู่ในกระดูกของเผ่าพันธ์มนุษย์ทุกคน.
นี่คือสัมผัสความรับผิดชอบที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษ,เพื่อให้มนุษย์สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ท่ามกลางสัตว์ร้าย.
กล่าวได้ว่านี่คือจิตวิญญาณความเชื่อของมนุษย์ทั้งโลก.
แม้นว่าจะมีบางคนที่ยังมีความเห็นแก่ตัว,ทว่าเผ่ามนุษย์ท้ายที่สุดจะไม่ทิ้งความเชื่อดังกล่าวไป,เขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อที่ฝังอยู่ในสายโลหิตคนเหล่านี้,ไม่เข้าใจจิตใจแห่งการเสียสละของพวกเขาเช่นกัน.
ดังนั้น,ซูเห่าจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่.
เขาต้องการเข้าใจเกี่ยวกับรูนอักขระโดยสมบูรณ์.
ยกเว้นการผสานรูปแบบสัตว์ร้าย,นอกจากรูนอักขระเบื้องตัน,เขาต้องการศึกษาหลักการผสมกันของรูนอักขระ,ต้องการเข้าใจฟังก์ชันของรูนอักขระ,และประสิทธิผลของรูนอักขระแต่ละตัว,ตลอดจนการพัฒนาผสมผสานผลลัพธ์ของมัน.
จากนั้นเขาก็จะทำการเขียนมันออกมาเป็นตำรา,เผยให้กับสาธารณะชนทุกคนได้เรียนรู้,ให้ทุกคนมีโอกาสได้เรียนรูนอักขระ,ส่วนผลที่ตามมานั้นเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย.
ไม่ว่าการเผยแพร่ความรู้นี้ออกไปจะนำพากลุ่มผู้ปกครองเข้ามาสังหารเขาหรือไม่นั้น,เขาไม่ได้ใส่ใจมันนัก.
ขอบเขตที่เหนือกว่าปรมาจารย์นั้นถูกควบคุมเอาไว้อย่างเคร่งครัด,โดยตระกูลผู้ปกครอง.
เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นจำเป็นต้องมีสุดยอดฝีมือ,เหล่าสุดยอดฝีมือเหล่านั้นเองก็ย่อมต้องควบคุมอำนาจของตัวเองเอาไว้ในมือให้มั่น.
ไม่ยากจะคาดเดา,ทัศนะคติของผู้ปกครอง,พลังจากรูนอักขระ,พวกเขาเองก็ย่อมต้องการควบคุมเอาไว้ในมือเช่นกัน.
ทว่าความรู้เกี่ยวกับรูนอักขระเช่นนั้น,ไม่ใช่สิ่งที่ซูเห่าต้องการเห็น.
สิ่งที่เขาต้องการ,คือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคน,ควรจะมีพลังในการปกป้องตัวเอง.
ไม่ใช่เพียงแค่พึ่งพายอดฝีมือกลุ่มน้อย,ส่วนประชาชนคนอื่น ๆ ก็รอคอยเป็นอาหารให้กับสัตว์ร้ายกินจนอิ่มแล้วจากไป.
เขาที่เคยได้รับภัยพิบัติและความตายนับไม่ถ้วน,เข้าใจถึงความสิ้นหวังของการไร้ซึ่งพลัง,เมื่อเขาเห็นประชาชนทั่วไปที่ถูกกินร้องครวญครงอย่างสิ้นหวัง,ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว.
บางทีหากว่าทุกคนสามารถเรียนรู้รูนอักขระได้,เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย,อย่างน้อยควรจะมีความสามารถต่อต้านได้บ้าง,แม้จะมีพลังเพียง 0.01 % ก็ตาม.
แน่นอนว่านี่คือความน่าจะเป็น,สำหรับคนที่ต้องการแสวงหาพลังจากอักษรรูน,ต้องการยืนขึ้นสู้ด้วยตัวเอง,สำหรับซูเห่าย่อมไม่ปิดโอกาส,และต้องการช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้น.
เขาวาดหวังที่จะเปลี่ยนโลก,ด้วยการใช้พลังของรูนอักขระ!
ไม่อาจบอกได้ว่ามันจะเปลี่ยนวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของพวกเขาหรือไม่? พลังที่พวกเขาได้มาจะทำให้พวกเขาเปลี่ยนไปใหม? นี่ไม่ใช่สิ่งที่ซูเห่าต้องสนใจ.
เพื่อที่จะสร้างยุคใหม่ขึ้นมา,แน่นอนว่าจะต้องผ่านการไล่ล่าสังหารกันมากมายไม่รู้จบ,มีเพียงแค่โลหิตและกองกระดูกเท่านั้นที่จะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เจริญและก้าวสู่ยุคสมัยใหม่ได้.