Chapter 42 Just
正义
ซูเห่าไม่ต้องการเห็นนักเรียนปีสี่,มาสร้างปัญหากับเขาทีหลัง,คงจะดีหากจัดการทุกอย่างให้ราบเรียบ,ดีกว่าค่อย ๆ จัดการทีละเล็กทีละน้อย,มันเสียเวลา,และน่ารำคาญ.
เมื่ออู๋เซี่ยงหวู่เป็นที่โจษจันมีชื่อเสียง,ปัญหาซ่อนเร้นที่จะเข้ามาหาก็จะไม่มีอีกต่อไป.
ในนิยายที่เขาเคยอ่านในชาติก่อน,พวกตัวร้ายมักจะคอยมาหาเรื่องตัวเอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า,เพราะคิดว่าสามารถข่มเหงอีกฝ่ายได้,จนกระทั่งตัวเอกฉายแสงสะกดข่มคนเหล่านั้นไป เรื่องถึงจบลงทั้งหมด.
บทที่ตัวเองเผยความสามารถหลาย ๆ ครั้งย่อมทำให้เนื้อเรื่องดูสนุก,ทว่าสำหรับเขาแล้วกับไม่ค่อยยินดีนัก.
การมีเรื่องใหญ่ เล็กคอยให้เขาจัดการทุกวัน,เขายังจะมีเวลาเรียนอีกใหม? เขายังจะมีเวลาฝึกฝนอีกใหม? ดังนั้นเรื่องราวทุกอย่างที่น่าปวดหัวเหล่านี้ เขาต้องการจัดการให้เสร็จสิ้น,เพื่อที่จะได้มีเวลาในการเสริมสร้างความรู้บันทึกลงในพื้นที่พินบอล,ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่อไหร่พื้นที่พินบอลจะสมบูรณ์?
ยกตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาแทบไม่มีเวลาศึกษาโฟตอนคอมพิวเตอร์และควอนตัมคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมเลย,ต้องไม่ลืมว่าหากเขาสามารถพัฒนาระบบปฏิบัติการพื้นฐานดังกล่าวสำเร็จ,ระบบเสี่ยวกวง,ไม่เพียงแค่ยกระดับไปอีกขั้น,ความสามารถในการประมวลผลของมันจะช่วยเขาได้อีกมาก.
ดังนั้น,เขาจึงต้องการสภาพแวดล้อมที่สงบและเวลาจำนวนมากในการวิจัยและพัฒนา.
นอกจากนี้เขาวางแผนที่จะยกระดับเป็นปรมาจารย์ยุทธ์,จึงต้องการเวลาสงบใจด้วย.
อย่างไรก็ตามเขาได้สอบถามคนหลายคน,เขาก็รับรู้ว่า,ในสถาบันแห่งนี้,ไม่มีทางที่จะได้เจอนักเรียนปีสี่ง่าย ๆ,เพราะนักเรียนปีสี่นั้นจะเข้าทีมสำรวจหรือไม่ก็กององค์รักษ์,ออกไปฝึกฝนด้านนอก,ไม่มีกำหนดการกลับเข้ามาอาศัยในสถาบันแต่อย่างใด.
ซูเห่ารู้สึกวางใจขึ้นมาในทันที,เขาคว่ำปีหนึ่ง,ปีสองและปีสาม,คนเหล่านี้ไม่น่าจะมาสร้างปัญหาให้กับเขาได้อีกแล้ว.
อย่างไรก็ตามวันนี้เขาได้บดไข่เด็กผมตั้งไป,เขาต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ด้วย,ฝ่ายตรงข้ามอาจหาทางเขาคืน,หรือคนที่อยู่เบื้องหลังเขาอาจจะมาแก้แค้นได้.
“ดูเหมือนว่า,จะต้องเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ให้เร็วที่สุด,จะได้มีพลังป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้.”
คิดได้ดังนี้,ซูเห่าก็เดินกลับไปหาเสี่ยวปังและเหอชิงชิง,ผู้ชมรอบ ๆ ที่ถอยออกเปิดทางให้พวกเขาทันที.
“เสี่ยวปัง,ชิงชิง,พวกเรากลับ!”
ขณะซูเห่าและคนอื่นกำลังจะจากไป.
“ช้าก่อน!”ทันใดนั้นเสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้น.
ซูเห่าที่หันหน้ากลับไป,เป็นสาวน้อยผมสั้นที่เขาคว่ำไปก่อนหน้านี้นั่นเอง,เขารู้สึกประทับใจเธออยู่เหมือนกัน,ในบรรดานักเรียนปีสามมากมาย,มีเพียงเธอที่กลายเป็นจอมยุทธ์แล้ว.
ซูเห่าขมวดคิ้วไปมาเอ่ย ออกมาเล็กน้อย“มีปัญหาอะไร,เจ้าต้องการมีเรื่องอีกรึ?”
เย่เสี่ยวเมิ่งที่หายใจหอบเอ่ยออกมาว่า“เจ้าเป็นใคร,จู่ ๆ ก็มาสร้างปัญหา,ทุบตีผู้คน,คิดว่าที่นี่เป็นสถานที่อะไร? ต้องการเพียงแค่ใช้พวกเราเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์อย่างงั้นรึ?”
“ใช่เป็นเครื่องมือระบายอารมณ์อย่างงั้นรึ?”ซูเห่าที่จ้องมองฝ่ายตรงข้ามจากบนลงล่าง,จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า“เจ้าไม่คู่ควร!”
“เจ้า...”เย่เสี่ยวเมิ่งที่ชี้ไปยังซูเห่า,จนพูดอะไรไม่ออก,หากไม่เพราะว่า สู้อีกฝ่ายไม่ได้,เธอจะต้องทุบตีอีกฝ่ายให้สลบไปแน่ ๆ.
ซูเห่าที่เอ่ยออกมาอีกครั้ง“หากไม่มีอะไร,ข้าไปล่ะ!”
“หยุดนะ!”เย่เสี่ยวเมิ่งที่คำรามลั่น,วิ่งออกไปขวางซูเห่า,เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เจ้าจะต้องอธิบายเรื่องนี้มา,ไม่เช่นนั้นถึงข้าตายที่นี่,ก็ไม่ยอมปล่อยเจ้าไป.”
ซูเห่าที่เผยยิ้มออกมา,กล่าวหยัน“อธิบายอย่างงั้นรึ? เจ้าไม่คิดว่าตัวเองกำลังพูดอะไรไร้สาระอยู่รึ?”
เย่เสี่ยวเมิ่งเอ่ย“มันไร้สาระตรงใหน! เจ้าอธิบายมาซะ,ไม่เช่นนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่.”
ซูเห่าที่เผยแววตาเย็นชา“เจ้าขู่ข้ารึ?”
เย่เสี่ยวเมิ่งที่รู้สึกสั่นสะท้าน,ทว่าเพื่อความยุติธรรมในใจของเธอ,นางจึงไม่ยอมหลีกหนี“ไม่ได้ขู่,ทว่าข้าไม่อาจยอมรับได้ ที่จะยอมปล่อยให้เจ้ามาทุบตีโดยไร้เหตุผลเช่นนี้,นักเรียนปีสามไม่อาจชนะเจ้าได้ก็จริง,แต่พวกเราก็ไม่ใช่เครื่องมือระบายอารมณ์ของเจ้า.”
ซูเห่าที่ก้าวไปด้านหน้า,เอ่ยต่อเย่เสี่ยวเมิ่ง“ดังนั้นข้าจึงบอกเจ้าอยู่นี่ไง ว่าเจ้ากำลังพูดไร้สาระอะไรอยู่.”
เย่เสี่ยวเมิ่งที่เผยความสงสัย.
ซูเห่าที่เอ่ยต่อ“ก่อนหน้านี้,นักเรียนปีสามกลุ่มหนึ่งได้ไปปิดหอนักเรียนหญิงปีหนึ่ง,ใช้กำลังบังคับอย่างไร้เหตุผลเพื่อบังคับให้นักเรียนหญิงปีหนึ่งเป็นคนรักของเขาหนึ่งเดือน,เมื่อนักเรียนหญิงปีหนึ่งคนนั้นไม่ยอม พวกเขาก็ทุบตีเพื่อนของนาง,เจ้าลองบอกมาว่าข้าควรทุบตีพวกมันใหม?”
เย่เสี่ยวเมิ่งที่เพิ่งรู้,ก็ใบหน้าซีดเซียว“คนพวกนั้นล่ะ?”
ซูเห่าเผยยิ้ม“!ข้าได้หักแขนหักขาพวกมันไปแล้ว,ไม่ต้องรอให้เจ้า มาแก้ปัญหาหรอก?”
เย่เสี่ยวเมิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้,“เรื่องนี้เป็นพวกเขาเป็นคนสร้างปัญหา,ลงโทษพวกเขาก็พอแล้ว,ทำไมถึงต้องมาทุบตีนักเรียนปีสามทั้งหมด,ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการหาเครื่องมือระบายความโกรธหรอกรึ?”
ซูเห่าเอ่ย“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว,เจ้าไม่เข้าใจเหตุผลเรื่องนี้ชัดเจน.”
เย่เสี่ยวเมิ่งที่ขมวดคิ้ว“เหตุผลอะไร?”
ซูเห่าเอ่ย“เจ้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดของชั้นปีสามอย่างงั้นรึ?”
เย่เสี่ยวเมิ่งที่พยักหน้ารับ.
ซูเห่ากล่าวหยัน“เหตุผลก็คือเจ้าไง!”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ซูเห่าที่ส่ายหน้าไปมา“เจ้าไม่คู่ควรเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด,ความแข็งแกร่งที่สุดในรุ่นของเจ้ามีไว้เพื่ออะไร,เจ้ายังไม่รู้เลย,ในแต่ละสังคมนั้น,คนที่แข็งแกร่งที่สุดมีหน้าที่เป็นผู้นำ,เป็นผู้กำหนดเจตจำนงของคนส่วนรวม,ให้ทุกคนในกลุ่มต้องปฏิบัติตาม,ไม่ปล่อยปะละเลยให้คนในกลุ่มใช้แปลกแยกแหวกออกนอกกลุ่ม.”
“แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าทำหน้าที่รับผิดชอบดั่งผู้นำหรือไม่? เจ้าสมควรรับฉายา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในปีสามแล้วรึ?”
“นักเรียนปีสามไร้ซึ่งกฎเกณฑ์,ทำไมเจ้าไม่ทำอะไร,ปล่อยให้ไร้การควบคุมแบบนี้ไปเช่นนี้นะรึ?,วันนี้พวกเขาข่มเหงรังแกนักเรียนปีหนึ่ง,พรุ่งนี้ก็ออกปล้นชิงข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่า,วันมะรืนพวกมันก็ไปเป็นโจรปิดถนนรีดไถเงินชาวบ้าน,แม้แต่วันข้างหน้าอาจจะไล่ล่าสังหารผู้คนด้วยความสนุกก็ได้,แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าจะบอกว่าไม่รู้ไม่เห็น,ถึงรู้,ก็ต้องโทษคนเหล่านั้นที่กระทำเช่นนั้น,ไม่เกี่ยวกับข้า,ความรับผิดชอบของเจ้าคืออะไร? กฎเกณฑ์ของเจ้าล่ะ? เจตจำนงของเจ้าล่ะ?”
เย่เสี่ยวเมิ่งที่ดวงตาเบิกกว้างกลมโต,แววตาที่สั่นสะท้านด้วยความตกใจ.
ซูเห่ายังคงเอ่ยต่อ“เรื่องในวันนี้,หากไม่มีข้า,เจ้าลองคาดเดาผลที่จะเกิดขึ้นได้ใหม? เจ้าคิดว่านักเรียนหญิงปีหนึ่งจะได้รับบาดเจ็บทางจิตใจมากมายขนาดใหน? ใช่แล้ว,ความผิดทั้งหมดจะต้องโทษผู้กระทำความผิด,ทว่าเจ้าในฐานะคนที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นปีสาม,บอกข้ามาว่าเจ้าควรรับผิดชอบอะไรใหม,เจ้าควรถูกทุบตีใหม? พวกนักเรียนปีสามทั้งหมด,ที่ถูกทุบตีในวันนี้,บริสุทธ์อย่างงั้นรึ? ข้าไม่ควรทุบตีพวกเจ้างั้นรึ?”
ซูเห่าที่เอ่ยเพิ่ม“ข้าจะบอกเจ้าให้ชัดเจน! พวกหลงระเริงไร้ความผิดชอบนั้นน่ารังเกียจยิ่งกว่าคนที่กระทำความผิดซะอีก!”
จากนั้น,ซูเห่าก็ก้าวไปด้านหน้า,ยกหมัดขึ้นต่อยเย่เสี่ยวเมิ่งลอยกระเด็นออกไป.
ทว่าเย่เซี่ยวเมิ่งที่กลายเป็นโง่งม,ไม่หลบแม้แต่น้อย,ลอยละลวงล่วงหล่นลงไปนอนราบบนพื้น,ไม่ลุกขึ้น,แววตาเหม่อลอยจ้องมองท้องฟ้า,บ่นพึมพำเสียงเบา“ข้าไม่ทำอะไร.....ข้าผิดอย่างงั้นรึ?”
ทว่าเวลานั้นเสี่ยวอี้ซูนักเรียนปีสองที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยืนตะลึง นิ่งอยู่กับที่เหมือนกัน“นี่ข้า....ควรแบกรับความรับผิดชอบอย่างงั้นรึ? ข้าเองก็ทำผิดด้วยอย่างงั้นรึ?”
กระทั่งจินต้าเหยี่ยนยอดอัจฉริยะยังจ้องมองแผ่นหลังซูเห่า,ด้วยแววตางงงวย.
เหล่าผู้ชมที่มารวมตัวกันในวันนี้ต่างก็ตะลึงในคำพูดของซูเห่ากันทั้งหมด.
ราวกับว่าเข้าใจความจริง,แต่ก็คลายจะไม่เข้าใจด้วยเช่นกัน.
พวกเขารู้สึกว่า“คนบินปิศาจอู๋เซี่ยงหวู่นั้น”ยากที่จะเข้าใจ.
คำพูดของเขานั้น,สร้างความประทับใจให้กับผู้คนรอบ ๆ ไม่น้อย,ในใจพวกเขาที่มีคำพูดบางอย่างเกิดขึ้น บางที,คนบินปิศาจอู๋เซี่ยงหวู่นั้นอาจจะไม่ใช่คนที่ยโสโอหังก็เป็นได้.
“เจ้าเด็กนี่,น่าสนใจจริง ๆ!”
ที่ไกลออกไป,บนหลังคา,ชายวัยกลางคนที่สวมชุดลายเมฆสีขาว,หัวเราะออกมาด้วยท่าทางชอบใจ.
เขาก็คือคณบดีของสถาบันหลิงหยุน,เซียวจีที่จ้องมองดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบอยู่นั่นเอง.