Chapter 14 Means
办法
เหอชิงชิงที่ลากรางกายที่อ่อนล้ากลับบ้าน,ชายร่างใหญ่ที่นั่งสมาธิอยู่ ก็ลืมตาขึ้น.
บุรุษคนนี้ก็คือเหอเจี้ยนหยง,เป็นหัวหน้าป้อมปราการซาซาน,บิดาของเหอชิงชิงนั่นเอง,ร่างกายของเขาที่ดูใหญ่ยักษ์ กล้ามเนื้อที่แน่นจนล้นออกมา,ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น,ผมที่ยาวมัดรวบผูกไว้ด้านหลัง,ทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างทะมัดทะแมง,เขาเห็นเหอชิงชิงที่ดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากขณะกลับมาก็เผยความสงสัย.
“ชิงชิง,เจ้าไปวิ่งเล่นที่ใหนมา,ถึงได้ดูเหนื่อยขนาดนี้.”
เหอชิงชิงที่เผยยิ้มลึกลับทันที“ความลับ,ไม่บอกหรอก.”
เหอเจี้ยนหยงที่หัวเราะเล็กน้อยกับท่าทางน่าขบขันของเหอชิงชิง.
เวลานั้นเหอชิงชิงที่ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้,ก็ย่นจมูกเอ่ยต่อเหอเจี้ยนหยง“ท่านพ่อ,คำตอบของท่านไม่ถูกเลย! หลังจากนี้ข้าจะไม่ถามท่านแล้ว.”
เหอเจี้ยนหยงที่เผยความงงงวย“คำตอบอะไรกัน?”
เหอชิงชิงที่เอ่ยทำไม้ทำมือ“ก็คำถามที่ว่าใครป่วยแล้ว ไปหาหมอไม่ได้ไง.”
เหอเจี้ยนหยงที่เผยความสงสัย“ไม่ถูกรึ? แล้วคำตอบคืออะไร?”
“คำตอบคือคนตาบอด!”
เหอเจี้ยนหยงที่เพ่งพิศไปชั่วครู่,ก่อนที่จะตอบสนอง ยกมือกุมทองหัวเราะดังลั่น“ฮ่าฮ่าฮ่า น่าสนใจ,น่าสนใจจริง ๆ! ใช่แล้วเป็นคนตาบอดจริง ๆนั่นล่ะ .”
เหอชิงชิงที่กระทืบเท้าเอ่ยออกมาว่า“ท่านพ่อท่านยังหัวเราะอยู่อีก,เซี่ยงหวู่บอกว่าคนที่ตอบไม่ได้เป็นคนโง่,เขาบอกว่าไม่เล่นกับคนโง่.”
เหอเจี้ยนหยงที่หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง“บุตรชายของน้องสามรึ?,ชิงชิง,เดี๋ยวพ่อจะไปหาเซี่ยงหวู่ให้เล่นกับเจ้าเอง.”
“ชิ! แม้แต่คำถามง่าย ๆ ยังตอบไม่ได้,ไม่ต้องการให้ท่านไปจัดการหรอก!”
เหอเจี้ยนหยงที่ยกมือขึ้นเกาศีรษะแบบงง ๆ.
......
ซูเห่าที่ลากร่างกายที่เหนื่อยล้ากลับบ้านช้า ๆ เช่นกัน,และทันทีที่เขาเข้าประตูมา,เขาก็เห็นซุปไข่ผักที่อู๋หยุนเทียนเตรียมไว้ให้.
ซูเห่าไม่เกรงใจ,ดื่มมันทันที ถึงสามถ้วยด้วยกัน.
อู๋หยุนเทียนที่เก็บชาม,ชี้ไปยังที่มุมหนึ่งของบ้านซึ่งมีเบาะนุ่มวางอยู่ “เจ้าไปนั่งที่นั่น,แล้วสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงพลังงานช้า ๆ”
หลังจากพูดจบเขาก็ออกจากประตูไป.
สัมผัสอะไรได้? ซูเห่าไม่อาจบอกได้,ทำได้แค่เพียงพยายามค้นหาช้า ๆ,เขาเป่าทุกอย่างออกจากสมอง,ก่อนที่จะเข้าสู่สมาธิ,จิตวิญญาณของเขาที่ยกระดับไปจนถึงจุดสูงสุด,จากนั้น...
ซูเห่าก็หลับไป.
เหนื่อยเกินไป,เขาไม่อาจควบคุมให้ตัวเองไม่หลับได้เลย.
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น,บิดาของเขากลับมาตรวจสอบ,เห็นซูเห่าหลับไปแล้ว,ก็เผยยิ้มและจากไป.
การจะประสบผลสำเร็จนั้นจะต้องผ่านความเจ็บปวดและพิจารณาตัวเองอย่างหนัก.
“เรื่องสำคัญเช่นนี้,ข้าหลับไปได้อย่างไร? ซูเห่า,ซูเห่า,เจตจำนงของเจ้าอ่อนแอไปแล้ว,เจ้าต้องการฝึกฝนวิชายุทธ์หรือไม่? ทำอะไรอยู่!”
เขาที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าครั้งหน้าจะไม่ผลอยหลับอย่างแน่นอน.
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดถึงความพยายามครั้งหน้า,ร่างกายที่เหนื่อยล้าหมดแรงจะทนทำสมาธิได้อย่างไร,ซูเห่าอดไม่ได้ต้องโอดครวญออกมา“แท้จริงแล้วชีวิตนักกีฬาก็ลำบากขนาดนี้นะเอง.”
เช้าวันถัดมา,เขายังคงออกวิ่งบนทุ่งราบในหุบเขา.
เดิมทีซูเห่าวิ่งคนเดียว,ทว่าเวลานี้เหอชิงชิงที่นำลูกน้องสองคนมาวิ่งด้วย,โดยหวังว่าจะกลายเป็นคนฉลาด,ทั้งสี่จึงวิ่งเป็นกลุ่มในลานหุบเขาดังกล่าว.
เพื่อเพิ่มการโน้มน้าวใจ,ซูเห่าที่ถามคำถามกับเหอชิงชิงไปด้วย“มีปลาสามตัวในลำห้วย,จับไปหนึ่งตัว,เหลือปลากี่ตัว?”
เหอชิงชิงตอบออกมาทันที“เหลือสอง!”
“ถูกต้อง! เห็นใหม,ชิงชิงเจ้าสามารถตอบคำถามได้,เพียงแค่วิ่งหนึ่งวันเท่านั้น,เจ้าร้ายกาจจริง ๆ!”
เหอชิงชิงที่ได้รับคำชม,ยิ่งทำให้เธอมั่นใจในการนำลูกน้องทั้งสองมาวิ่ง.
......
กลับบ้าน,ซูเห่าที่กินซุปไข่ผัก,ได้ถามออกมาทันที“ท่านพ่อ,ทำไมถึงต้องดื่มซุปไข่ผัก?”
“เพราะมันดูดซึมง่ายไงล่ะ.”
เป็นเช่นนี้นะเอง,ซูเห่าไม่สงสัยอีกต่อไป.
ทว่าเขาที่ทำสมาธิทำการสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงต่อไป,อย่างไรก็ตามเขา ในวันนี้เขาก็ไม่อาจสัมผัสอะไรได้เช่นเดิม,แต่มีข่าวดี,เขาสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ผลอยหลับได้แล้ว.
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น.
ซูเห่าลืมตาขึ้นจากการทำสมาธิ,ในใจเศร้าซึม ได้แต่ส่ายหน้าไปมา,ไม่ได้ผล,ตลอดเดือนนี้,เขาวิ่งอย่างหนักทุกเช้า,กลับมากินซุปไข่ผัก,นั่งสมาธิสัมผัสการเปลี่ยนแปลงพลังงาน,ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร,ก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงปราณโลหิตที่พ่อเขาเอ่ยถึงเลย,เป็นไปได้ว่าวิธีการที่พ่อของเขาสอน มีปัญหาอะไรหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม,การวิ่งและทำสมาธิตลอดทั้งเดือนไม่ได้ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด,ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นมาก,ผิวหนังมือและเท้าไม่อ่อนนุ่มอีกต่อไป,พลังกายของเขาเองก็เพิ่มมากขึ้น,ไม่เหมือนกับตอนแรก,การวิ่งในภูเขาจะทำให้เขาขาสั่นทุกครั้ง,การบริโภคอาหารและการผลาญพลังงานจนหมดสลับกันไปมา,ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งได้จริง ๆ.
การทำสมาธิ,ทำให้จิตใจของเขาไม่ฟุ้งซ่าน,เขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป,ทันทีที่เขานั่งลงและหลับตา,เขาจะไม่กระวนกระวายคิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง,สามารถเพิ่งสมาธิไปยังเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้.
การทำสมาธิกำจัดความฟุ้งซ่าน,ทำให้สมองของเขาจดจ่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้,ความคิดของเขาดูชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น,มันทำให้เขาชอบความรู้สึกที่ได้นั่งสมาธิคนเดียวอีกด้วย.
พูดให้ถูกเขาชอบสภาวะจดจ่อนี้มาก.
อย่างไรก็ตาม,สภาวะจิตจดจ่อนี้ กับไม่อาจช่วยเขาหาปราณโลหิตพบได้.
ในวันหนึ่ง,ซูเห่ามาพบอู๋หยุนเทียน,เอ่ยสอบถามด้วยความสงสัย“ท่านพ่อ,ข้าได้วิ่งจนหมดแรงและนั่งสมาธิเพื่อสัมผัสความเปลี่ยนแปลงแล้ว,อย่างไรก็ตาม,หนึ่งเดือนผ่านไปแล้ว,ข้ายังไม่พบอะไรเลย,ข้าไม่อาจหาปราณโลหิตได้,ข้าทำอะไรผิดหรือไม่?”
อู๋หยุนเทียนส่ายหน้าไปมา“เซี่ยงหวู่,เจ้าทำถูกต้องแล้ว,แต่การหาปราณโลหิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เจ้าคิด,นอกจากนี้คนทั่วไปที่ต้องการเป็นผู้ฝึกยุทธ์จะต้องพึ่งตัวเอง,เรื่องนี้ไม่อาจให้ใครช่วยเจ้าได้,นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ในเผ่าพันธุ์มนุษย์มีผู้ฝึกยุทธ์ไม่มากนัก.”
ซูเห่าที่ขมวดคิ้วไปมา“แล้วตอนนี้ข้าควรทำอย่างไร?”
อู๋หยุนเทียนกล่าวปลอบใจ“ไม่จำเป็นต้องกังวล,ค่อย ๆ สัมผัสหามันช้า ๆ,รับรู้มันด้วยใจ,หนึ่งเดือนไม่พบ,ก็ใช้เวลาครึ่งปี,ครึ่งปีไม่พบก็ใช้เวลาหนึ่งปี,จนกว่าเจ้าจะพบมัน.”
ซูเห่าที่เผยความสงสัยขึ้นมาทันที“แล้วท่านพ่อใช้เวลานานเท่าไหร่ในการหาปราณโลหิต?”
อู๋หยุนเทียนไม่ต้องการตอบในทันที,เขาจะบอกบุตรชายมากพรสวรรค์เขาได้อย่างไร,ว่าตัวเองใช้เวลาหนึ่งปีครึ่ง? ไม่มีทาง,หากบอกความจริงอีกฝ่ายไปว่าเขา ใช้เวลานานขนาดนั้น,ต่อมา จู่ ๆ บุตรชายอัจฉริยะของเขาค้นพบปราณโลหิตขึ้นมาล่ะ,เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใหนกัน? วิธีที่ดีที่สุดคือเงียบเอาไว้,ปล่อยให้เขาเดาเอง,ลูกชายคนนี้ทำให้เขาประหลาดใจได้เสมอตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา,หากว่าอีกฝ่ายค้นพบปราณโลหิตพรุ่งนี้,เขาก็จะไม่แปลกใจเลย.
เห็นอู๋หยุนเทียนไม่เอ่ย,ซูเห่าก็คิดว่าความเร็วของเขานั้นช้ามาก,จึงไม่ตอบกลัวว่าจะทำให้เขาไม่สบายใจ,ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่น“ตกลง,ท่านพ่อโปรดวางใจ,ข้าจะพยายามให้มาก,ค้นหาปราณโลหิตให้เจอเร็วที่สุด.”
อู๋หยุนเทียนพยักหน้ารับ“ข้าจะออกไปก่อน.”
กล่าวจบเขาก็จากไปโดยที่ไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย.
ปล่อยให้ซูเห่าจมอยู่ในความคิดคนเดียว“ข้าควรทำอย่างไรดี? ปราณโลหิตมันคือสิ่งใด,มีความลึกลับขนาดนั้น....”
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง,ดวงตาของซูเห่าก็เป็นประกาย,เต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้า.
“มีวิธีอยู่! มันจะต้องได้ผล!”