Chapter 122 Wei eldest child is good
维老大好
การวิจัยที่ดำเนินไปถึงหนึ่งเดือน,ตลอดเดือนซูเห่าศึกษาการแปลงร่างของตัวเองอย่างระเอียด.
ส่วนเรื่องอาหาร,เสื้อผ้า เรื่องราวต่าง ๆ ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต,รับผิดชอบโดยหยาซาน.
ชีวิตเช่นนี้,มีความสุขมาก,เป็นชีวิตที่ดีแสนดีกว่าการทดลองในถ้ำชาติที่แล้วร้อยเท่า.
การวิจัยตลอดทั้งเดือน,ในที่สุดซูเห่าก็ได้พบกับคำตอบที่ต้องการอย่างหนึ่ง.
เขาพบลำดับยีที่เกี่ยวข้องกับการวิวัฒนาการเรียบร้อยแล้ว.
เขาสามารถเห็นกระบวนการสังเคราะห์ CRISPR / Cas 9 ด้วยตัวเอง.
การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงยีนเขาเองก็เข้าใจแล้ว.
ได้รับผลประโยชน์จากการการเปลี่ยนแปลงของชิ้นส่วนยีนที่ถูกดึงเข้าฐานข้อมูล,คัดลอกแคส9,นำชิ้นส่วนที่ได้ออกมาจับคู่กับชิ้นส่วนที่ถูกตัดและฟื้นคืนส่วนที่เสียหาย,ทำซ้ำติดต่อกันไป.
ใช่แล้ว,กระบวนการนั้นง่ายที่จะเข้าใจ.
ซูเห่าราวกับอนาคตได้ส่องสว่างขึ้นมาทันที.
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
ในห้องทดลองได้ยินเสียงหัวเราะอย่างพออกพอใจดังขึ้นมา.
ในเวลานั้นหยาซานและไทนีที่อยู่ด้านนอกต่างก็วิ่งเข้ามา.
หยาซานผลักประตูเข้ามาเห็นซูเห่าในชุดสีขาวท้าวสะเอวหัวเราะดังลั่น,ใบหน้าก็เผยความกังวลเอ่ยออกมาว่า“พี่ใหญ่เหว่ย,เป็นอะไรหรือไม่!”
ไท่นี่ที่อุ้มหนูตัวน้อยเข้ามา,ดวงตาเบิกกว้าง,เอ่ยด้วยท่าทางหวาดกลัว“ลุง,สู้ ๆ!”
จากนั้นก็หันหน้ามาหาบิดาของเธอ“พ่อ,ลุงไม่เป็นอะไรใช่ใหม?”
ไม่แปลกใจที่หยาซานและไท่นีจะเป็นห่วง.
ทั้งวันทั้งคืนที่พวกเขาดูแลซูเห่า,รู้ว่าซูเห่าแทบไม่หลับไม่นอน,แต่ละวันนั่งหลับตาครุ่นคิด,ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร,กระทั่งร่างกายผอมแห้งและซีดเซียวขึ้นด้วย.
พี่ใหญ่เหว่ยที่ทรงพลัง,คาดไม่ถึง ว่าจะผอมและซีดเซียว,ดวงตาคล้ำ,เหมือนกับสตรีที่แต่งหน้าเข้ม,ดูน่ากลัวมาก,ราวกับว่าพี่ใหญ่เหว่ยกำลังเจ็บป่วยและทุกข์ทรมาน.
หยาซานสงสัยเป็นอย่างมาก,เขารู้สึกเป็นห่วงพี่ใหญ่เหว่ยอาจจะเหงา,แม้นว่าจะแข็งแกร่งทรงพลังแต่ก็มีอายุเพียงสิบขวบ,ไม่มีความเร่งรีบที่จะแต่งงาน.
ซูเห่าที่ค่อย ๆ สงบลง,เห็นหยาซานและไท่นีเป็นกังวลก็เอ่ยออกมาว่า“ไม่เป็นไร,ข้ามีความสุข,ดีใจไปหน่อย,ไป,วันนี้ข้ามีความสุข,ทำอะไรอร่อย ๆ มาเลี้ยงฉลองหน่อย!”
ซูเห่าที่ครุ่นคิดและปรบมือดังเอ่ยออกมาว่า“ย่างหัวปลา,ซี่โครงหมูทอด,ลูกชิ้นเห็ด,ปีกไก่ห้ารส,ซาลาเปานึ่งใส่เห็นชิทาเกะไข่แดง...”
ซูเห่าก้าวออกมา,พูดเป็นต่อยหอย,“เอ่อ...หยาซาน,เตรียมอาหารเหล่านี้ให้พร้อม! เสร็จแล้วเรียกด้วย,ข้าจะออกไปกิน.”
หยาซาน“......”
ไท่นี“......”
“ปัง!”
ซูเห่าที่ก้าวออกมา,พร้อมกับนอนลงบนเตียงหมดแรงไปแล้ว
หยาซานที่ได้แต่ตอบช้า ๆ.“รับทราบพี่ใหญ่เหว่ย”
ไท่นี่ดึงเสื้อหยาซาน“พ่อ,ทำอาหารเหล่านั้นได้รึ?”
หยาซานเกาศีรษะ.“ไม่!”
ไท่นี่เอ่ยถาม“แล้วพวกเราจะทำอย่างไร? จะทำอาหารอย่างไรดี?”
หยาซานขมวดคิ้วเอ่ยออกมาว่า“แน่นอนว่าต้องทำ,แค่จำชื่อเอาไว้! อืม...แล้วให้พ่อครัวของเมืองนี้ทำให้กับพวกเรา!”
หยาซานที่กอดหนูตัวน้อย,ดวงตาเป็นประกาย“มีเหตุผล!”
หนูตัวน้อยที่กำลังดิ้นไปมา“อี๊ด อี๊ด อี๊ด”
......
ซูเห่าที่หลับเป็นเวลาสองวัน,ส่วนอาหารที่เขาสั่ง,ไม่ได้กินในที่สุด,มันได้กลายเป็นอาหารของหยาซานและไท่นี่ไป.
เหตุผลเพราะเขาหลับเป็นตาย,ปลุกไม่ตื่นนั่นเอง.
นอกจากนี้ทั้งสองก็ไม่กล้าเรียกเสียงดัง,ทำได้เพียงแค่เคาะประตูเอ่ยเบา ๆ“พี่ใหญ่เหว่ย....ออกมากินข้าวได้แล้ว...”
แน่นอนว่าไม่มีทางที่เขาจะตื่น.
ด้วยเหตุนี้,อีกครึ่งวันถัดมา,เขาก็ให้พ่อครัวเตรียมอาหารไว้ให้อีก,อย่างไรก็ตามซูเห่าก็ไม่ตื่น,ท้ายที่สุดก็เป็นอาหารของเขาและไท่นีอีกครั้ง.
จนกระทั่งถึงบ่ายวันหนึ่ง,ซูเห่าก็ตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงีย.
หลังจากตื่นขึ้นมา,เขาคิดถึงอาหารที่สั่งไป,เอ่ยพึมพำ“อาหารที่ข้าสั่งคงเสร็จแล้ว!”
เขาไม่ได้เข้าไปในพื้นที่พินบอลเพื่อตรวจสอบเวลา,ผลักประตูออกมา,เขาได้กลิ่นอาหารในห้อง,เป็นอาหารที่ยังคงร้อนอยู่.
เขาเผยยิ้มเอ่ยออกมาด้วยความสุข“ดูเหมือนว่าข้าจะถูกต้อง! ตรงเวลาพอดี!”
หยาซานที่เผยยิ้ม“เรื่องนี้....”
ใครบอกให้ซูเห่าเป็นพี่ใหญ่? พี่ใหญ่เอ่ยอะไรมาถูกทั้งหมดล่ะ.
ไท่นี่ที่หยิกหนูตัวน้อยในอ้อมกอดที่พยายามขัดขืนดิ้นออกจากตัวเธอ.
หนูตัวน้อย“....”
ซูเห่าเอ่ยทักทาย“มา ๆ,มานั่งกินข้าวเร็ว,ถือว่าข้าเป็นคนเชิญพวกเจ้า.”
หลังจากกินอาหารและสุราจนพอใจ,ซูเห่าก็ลุกขึ้น,เอ่ยออกมาว่า“ข้าจะเป็นคนล้างจานเอง,พวกเจ้าพักได้!”
นับตั้งแต่สามารถถอดความลึกลับของยีนได้,ซูเห่าก็อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก,ราวกับว่าเขาได้แก้ปัญหาสำคัญที่สุดได้,แม้แต่จิตใจของเขายังเปี่ยมล้นด้วยความตื่นเต้นไม่จางหาย.
“ไม่ยินดีด้วยเรื่องของวัตถุ, ไม่ทุกข์โศกด้วยเรื่องของตนเอง” นี่คือขอบเขตอารมณ์ขั้นสูง,กระทั่งซูเห่าก็ยังทำไม่สำเร็จ.
กล่าวได้ว่าจิตใจของมนุษย์แบ่งออกเป็นเจ็ดอาณาจักร.
“ขอบเขตสันชาติญาณ” “รู้ที่มาของปัญหา” “รู้จักตัวเอง” “ความรู้และการกระทำรวมเป็นหนึ่ง” “รู้จักเสียสละ” “รู้จักเมตตา” “รู้แจ้ง”
ทว่าขอบเขตจิตใจของซูเห่า,คาดว่าอยู่ในขั้นสาม“รู้จักตัวเอง” ในเมื่อเขารู้จักดีใจ,ก็ไม่อาจระงับอามรณ์ได้,ทำให้แสดงมันออกมาตรง ๆ.
เมื่อไปถึงขอบเขตที่ห้า,ก็จะเข้าใจที่มาของกฎสรรพสิ่ง,อารมณ์ความเปลี่ยนแปลงมีน้อยมาก,นี่คือความสำเร็จที่แท้จริงของอารมณ์ที่เรียกว่า“ไม่ยินดีด้วยเรื่องของวัตถุ, ไม่ทุกข์โศกด้วยเรื่องของตนเอง”
หลังจากซูเห่าล้างถ้วยชาม,เขาก็ก้าวออกไปเดินผ่อนคลาย,บนถนนของเมืองซือหลิน.
ผู้คนที่เห็นซูเห่า,ก็เผยยิ้มทักทายออกมาทันที“สวัสดีพี่ใหญ่เหว่ย!”
“พี่ใหญ่เหว่ยวันนี้อารมณ์ดีจริง ๆ!”
“สวัสดีตอนบ่ายพี่ใหญ่เหว่ย!”
......
หลังจากเตร็ดเตร่ไปทั่ว,ได้รับคำชมมากมายก็กลับที่พักอย่างมีความสุข.
หากมนุษย์กลายพันธ์เห็นซูเห่าแล้วไม่ทักทาย,จะเกิดอะไรขึ้น?
ที่จริงซูเห่านั้นไม่ได้ใส่ใจนัก,ทว่าเหล่าลิ่วล่อของเขา“แก๊งซือหลิน” เวลากลางคนนั้นจะลงมือไปจับคนเหล่านั้นมาลงโทษให้พวกเขามาท่อง“หลักจรรยาบรรณของมนุษย์กลายพันธ์”และท่อง“สวัสดีพี่ใหญ่เหว่ย”ซ้ำ ๆ.
เพราะคนของแก๊งซือหลินนั้นยกสถานะของซูเห่านั้นสูงส่งเป็นอย่างมาก,คำพูดของซูเห่าเปรียบได้ดั่งคำสั่งของนักบุญ.
โดยเฉพาะการถูกหยาซานล้างสมองซ้ำ ๆ,ทุกคนล้วนแต่กลายเป็นคลั่งใคร้เทิดทูนซูเห่าอย่างที่สุด.
เมืองซือหลินที่ดำเนินไปอย่างสงบสุข.
ซูเห่ากลับมายังที่พัก,วางแผนที่จะวิวัฒนาการเป็นขั้นสองมนุษย์กลายพันธ์“ผู้บ้าบิ่น”
เวลานี้วิวัฒนาการสถานะสองของมนุษย์เกราะจบแล้ว,ร่างกายของเขาที่เสถียร,สามารถวิวัฒนาการต่อได้แล้ว.
การวิวัฒนาการเป็นมนุษย์เกราะใช้เวลาหนึ่งเดือน,จิงซีของซูเห่ายกระดับสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน,ในเวลานี้เขากล่าวได้ว่าอยู่ในขอบเขตบรรพชนยุทธ์สูงสุดแล้ว,แม้นว่าจะยังไม่อาจเทียบราชามนุษย์ชาติที่แล้วได้,ทว่าก็ไม่ต่างกันมากนัก.
บางทีการวิวัฒนาการเป็นผู้บ้าบิ่น,จิงซีเพิ่มขึ้นอีกครั้ง,เวลานั้นคงเหนือกว่าราชามนุษย์ ชาติที่แล้วอย่างแน่นอน.
ขอบเขตสัมผัสเรดาร์ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก,ขยายออกไปเป็น 4500 เมตร,ปกคลุมทั่วเมืองซือหลินอย่างสมบูรณ์.
“ตั้งแต่มาถึงโลกนี้,ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว,ต้องรับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของโลกใบนี้ให้ได้,เปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นของข้า! แคส9,เจ้าหนีไปไหนไม่พ้นหรอก!”
กล่าวถึงแคส9 ไม่ใช่ว่ายังไม่มีเครื่องมือในการสังเคราะห์หรอกรึ?
เวลานี้ซูเห่ามีแนวคิดที่อหังการอยู่ในใจแล้ว.