Chapter 120 The method of creation talent magical powers
创造天赋神通的方法
กลับมายังห้องทดลองอีกครั้ง,ซูเห่าหาสถานที่สบายนอนลง,จิตสำนึกเข้าสู่พื้นที่พินบอล.
เปิดไดอารีวิจัยยีน,เริ่มตรวจสอบผลของการวิจัยไปทีละขั้น ๆ.
“ทำเครื่องหมายยีนและจับคู่ปลายทางเครื่องหมายยีน....”
“เปรียบเทียมความแตกต่างระหว่างยีนมนุษย์,จูเห่าเหริน ในคลังข้อมูลยีน,ทำเครื่องหมายชิ้นส่วนยีน....”
“เปรียบเทียบความแตกต่างจูเห่าเหรินและมนุษย์กลายพันธ์,ทำเครื่องหมายในชิ้นส่วนยีน....”
“สร้างเขตพื้นที่ชิ้นส่วนยีนจูเห่าเหริน,พื้นที่รอง,พื้นที่ยังไม่ได้ถอดรหัส,พื้นที่รหัสทั่วไป,ฐานข้อมูลยีน,แคส9,สวิตซ์ควบคุม...”
“เปรียบเทียบความแตกต่างจูเห่าเหรินทั่วไปและขั้นหนึ่งมนุษย์กลายพันธ์ : ฐานข้อมูล,แคส9,สวิตซ์ควบคุมการแทรกชิ้นส่วนยีน,พื้นที่ยังไม่ถอดรหัสที่มีชิ้นส่วนยีนแทรกเข้าไป...”
“การสังเคราะห์แคส 9 ,การแยกส่วนและการเข้าถึงได้ทุกเวลา....
“การทดลองไปด้านหน้าและการทดลองย้อนกลับ...”
......
ซูเห่าที่ตรวจสอบรายงานที่เลื่อนยาวลงมา,พบว่าผลการวิจัยนั้นก้าวหน้ามาก,จากนี้สามารถทำทุกอย่างดำเนินการได้ตามแผน.
“ปัญหาที่ยังไม่ได้แก้ไข,จะทำการสังเคราะห์แคส9 และ CEISPR-Cas 9 อย่างไร,ให้สามารถตัดแต่งยีนได้ตามใจ.”
ความยากของปัญหานี้,คือเทคโนโลยีและวัสดุอุปกรณ์ของโลกนี้ยังไม่พร้อม ทำให้เขาไม่มีรากฐานอะไรให้ใช้,เวลานี้จึงทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน.
ในความเป็นจริงไม่ใช่ว่าเขาไม่อาจสังเคราะห์แคส9ได้,ซูเห่าสามารถใช้ห้องแปลงร่างที่ติดกับกระเพาะสังเคราะ CEISPR-Cas 9 จำนวนมากได้,และยังสามารถปรับแต่งยีนได้อีกด้วย,ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ซูเหาต้องการ.
เขาคิดไปมากกว่านั้น,ในโลกนี้มีห้องแปลงร่างในการสังเคราะห์แคส9,ทว่าหลังจากเกิดใหม่ในโลกอื่น,เขาจะสังเคราะห์แคส9 ได้อย่างไร?
ไม่มีทางที่จะมีห้องแปลงร่างติดตัวไปด้วย.
การจะมีห้องแปลงร่างในโลกอื่นก็ไม่ยากก็แค่เพียงต้องปรับเปลี่ยนยีนให้กำเนิดห้องแปลงร่างได้ อย่างไรก็ตามการกลายพันธ์เพิ่มพลังก็ต้องเปลี่ยนยีนเหมือนกัน......
ดังนั้น,ไม่มีวิธีอื่นเลยรึ?
ซูเห่าไม่เชื่อว่าจะไม่มีวิธีอื่นเลย,ทว่าข้อมูลที่มีนั้นยังไม่พอ,จึงไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรเท่านั้น.
“บางที,เมื่อข้าวิวัฒนาการแล้ว,หลังจากได้รับข้อมูลวิวัฒนาการของตัวเอง,อาจจะพบคำตอบ.”
ซูเห่าครุ่นคิดเงียบ ๆ เกี่ยวกับวิธีปรับปรุงยีน.
ดูเหมือนว่าต้องวิวัฒนาการตอนนี้?
......
การวิวัฒนาการเพียงลำดับเดียวของโลกนี้,ไม่ใช่เป้าหมายของซูเห่า,เป้าหมายของเขาคือวิวัฒนาการทั้งหมด,สามารถวิเคราะห์และใช้ประสิทธิภาพจากยีนทั้งหมดได้.
หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าอย่างไร,ขอเพียงเขาค้นพบความลับของยีนทั้งหมด,เขาก็จะสามารถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเกรงขามได้ทั้งหมด.
กระทั่งสัตว์ร้ายในชาติก่อนของเขาด้วย.
ตราบเท่าที่เขาเข้าใจว่าทำไมสัตว์ร้ายในชาติก่อนถึงแข็งแกร่ง,เขาก็สามารถนำพลังดังกล่าวมาใช้ได้.
แล้วทำไมสัตว์ร้ายถึงทรงพลัง?แน่นอนว่าเพราะรูปแบบสัตว์ร้าย,และความสามารถในการสะสมจิงซีจำนวนมาก,ทำให้มันทรงพลัง.
แล้วสิ่งใดที่ก่อกำเนิดรูปแบบสัตว์ร้ายล่ะ?
คำตอบก็คือยีน.
กล่าวอีกอย่างหนึ่ง,ซูเห่าสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงและเข้ารหัสยีนได้,ก็จะควบคุมวิธีการของสัตว์ร้าย,กลายเป็นตัวตนที่น่าเกรงขามตั้งแต่เกิดได้.
เขาสามารถทำให้คน ๆ หนึ่งเกิดมาแล้วมีพลังที่ไม่ธรรมดาตั้งแต่แรกเริ่มได้.
นี่คือความคิดที่เรียบง่ายมาก.
สำหรับยีนของหยาซาน,ที่สามารถสร้างเกราะปกคลุมยื่นออกมาด้านนอกร่างกาย,เช่นนั้นเขาก็มีวิธีการสร้างรูนอักขระขึ้นมาได้จากเกราะที่ยื่นออกไปได้,หรือก็คือการเปลี่ยนจากการก่อตัวสร้างเกราะให้กลายเป็นการก่อตัวสร้างโครงสร้างรูนอักขระขึ้นมาแทน.
มีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน.
ตราบเท่าที่พบลำดับยีนที่ถูกต้อง,ก็สามารถสร้างรูปร่างอะไรได้ตามต้องการ,กระทั่งรูนอักขระรูปแบบต่าง ๆ.
สักวันในอนาคต,เมื่อซูเห่าครอบครองความสามารถนี้,เขาก็จะสามารถปรับเปลี่ยนยีนได้ตามความต้องการ,สามารถปรับเปลี่ยนร่างกายให้สามารถสร้างรูนอักขระแบบใหนก็ได้,และได้รับพลังพิเศษมากมาย.
นอกจากนี้ไม่เพียงมีพลังพิเศษตั้งแต่เกิด,ทว่าเขายังสามารถปรับเปลี่ยนยีนของผู้อื่น,ให้คนอื่นได้รับพลังด้วย.
หากทำได้เช่นนั้น...นี่จะเป็นเรื่องที่น่าพรั่นพรึงแน่นอน...
พลังที่เป็นดั่งเวทย์มน,บางทีอาจจะสามารถสืบทอดต่อไปให้ลูกหลานได้.
หรือที่เรียกว่าสายโลหิตของพระเจ้าผู้สร้าง!
ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ซูเห่าตื่นเต้น,พลางเอ่ยพึมพำ“หากข้าสามารถครอบครองตัวเข้ารหัสยีนได้,ไม่ใช่ว่าข้าจะกลายเป็นเทพผู้สร้างได้หรือไม่?”
ด้วยพลังของการปรับแต่งยีนสามารถปรับเปลี่ยนส่วนต่าง ๆ ร่างกายของมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย,ใครต้องการตาสองชั้น,ดวงตาที่งดงาม,จมูกโด่ง,ทุกสิ่งทุกอย่าง,เป็นไปได้ตามที่เขาต้องการ.
ความสามารถในการปรับแต่งร่างกายทุกส่วนด้วยความสามารถของการปรับเปลี่ยนรหัสยีน! กระทั่งพลังพิเศษต่าง ๆ มากมาย,เพียงแค่คิดก็รู้สึกเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมแล้ว.
ซูเห่าที่ฝันหวานถึงอนาคต,ทว่าเมื่อคิดถึงกระบวนการในปัจจุบันก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา.
......
สองเดือนหลังจากนั้น.
ซูเห่าที่จัดแจงข้อมูลวิจัยทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว,แผนการในวันนี้,คือการทดลองตัวเอง,วิวัฒนาการเป็นมนุษย์เกราะ.
เขาได้ยืนยันข้อมูลวิวัฒนาการจากหยาซานจนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว.
เรื่องแรก,พลังงานวิวัฒนาการของมนุษย์กลายพันธ์คือจิงซี,นี่คือกุญแจสำคัญของการกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์.
เรื่องที่สอง,มนุษย์กลายพันธ์มีจิงซีจำนวนมาก,เกิดขึ้นจากยีน,กล่าวอีกอย่างหนึ่ง,ขอเพียงพบชิ้นส่วนยีนที่เหมาะสมก็จะได้รับความสามารถสะสมยีนได้อัตโนมัติ,ด้วยเหตุนี้หากซูเห่าปรับแต่งยีนให้สะสมจิงซีได้เอง,ซูเห่าก็จะมีจิงซีมหาศาลโดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการจากชาติก่อนก็ได้.
อย่างที่สาม,หลังจากวิวัฒนาการ,ชิ้นส่วนยีนจะแตกต่างออกไป,แม้แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของคนผู้นั้นได้.
นี่คือสิ่งที่ซูเห่าเป็นห่วงมากที่สุด,ทว่าเขาเข้าใจแก่นแท้ของตัวเองมากที่สุด,ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงว่ายีนจะมีอิทธิพล,ถึงแม้นว่าเขาจะกลายร่างเป็นหมู,แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีนิสัยและใช้ชีวิตเหมือนหมู.
ดังนั้น,ไม่น่าจะมีปัญหา.
นอกจากนี้,ข้อมูลจากการวิจัย,เขาได้วิเคราะห์ชิ้นส่วนของยีน,บอกได้ว่ายีนของจูเห่าเหรินนั้นสามารถกลืนกินยีนที่ไม่รู้จักได้.
สิ่งที่เขาขาดในเวลานี้ก็คือ การสังเคราะห์ CEISPR-Cas 9 ด้วยเทคโนโลยีที่ยุคนี้ไม่อาจทำได้,เขาจำเป็นต้องหาวิธีการอื่นในการสังเคราะห์ CEISPR-Cas 9
หมายความว่า,เขาต้องการหาวิธีการดั้งเดิมเพื่อสร้างกรรไกรยีนขึ้นมา,ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบใด,เขาก็จะสามารถสร้างกรรไกรยีนขึ้นได้ทุกที่.
ตราบเท่าที่สร้างแคส9ได้,การวิจัยยีนต่อไป,ก็จะไม่มีปัญหา.
ทว่าซูเห่าจะต้องสามารถเริ่มต้นให้ได้ซะก่อน.
ไม่มีความลังเลอีกต่อไป.
ซูเห่าที่ตรวจสอบข้อมูลการผสมลำดับยีนมนุษย์เกราะซ้ำแล้วซ้ำเล่า,ไม่มีปัญหา.
จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อหยาซาน“หยาซาน,ข้ามีเรื่องสำคัญต้องทำ,จากนี้ห้าชั่วโมง,เจ้าปกป้องฐานให้ดี,อย่าให้ใครมารบกวนข้า.”
หยาซานที่กล่าวตอบรับทันที“วางใจได้พี่ใหญ่เหว่ย,ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง.”
ซูเห่าเอ่ยเพิ่ม“รวมทั้งเจ้าและไทนี่ด้วย,เจ้าปกป้องเอาไว้ด้านนอก,หากมีสิ่งใด,จะต้องขวางเอาไว้ให้ข้า.”
หยาซานที่กล่าวรับอย่างจริงจัง“ทราบแล้ว!”
หลังจากที่หยาซานจากไป,ซูเห่าก็เข้าไปในห้องทดลอง,นำเนื้อของมนุษย์เกราะที่เตรียมเอาไว้ออกมา.
ก่อนหน้านี้,เขาได้ใช้วิธีพิเศษในการคงสภาพมันเอาไว้,หลังจากใช้น้ำยารักษา,เนื้อดังกล่าวจึงยังสดใหม่.
จำนวนเนื้อมีอยู่มากมายเกินพอ.
ซูเห่าถอดเสื้อผ้า,ตรวจสอบอีกครั้ง,ไม่มีปัญหาใด ๆ.
เขาสูดหายใจลึก,จากนั้นก็กินเนื้อดังกล่าวเข้าไป.
ไม่มีความรู้สึกต่อต้าน“เหมือนกับเนื้อวัวสุกปานกลาง!”
ทันใดนั้นซูเห่าก็เกิดข้อสงสัยในใจ“จะเกิดอะไรขึ้น หากคนทั่วไปกลืนกินเนื้อของมนุษย์กลายพันธ์ขั้นสองโดยตรง,เป็นไปได้ใหม?”
ปัญหานี้จำเป็นต้องนำกลับมาครุ่นคิด,ทว่าซูเห่าได้แต่เก็บเอาไว้“เรื่องนี้ทดลองแล้วก็จะรู้,แต่ปัญหา,ใครจะกล้าทดลอง?”