Chapter 12 Courage vigor
血气(感谢大鱼ZT的打赏)
ต่อหน้าสายตาของบิดา,ซูเห่าไม่อาจหลอกล่อได้,จึงตอบออกมาตรง ๆ,“คนตาบอด!”
“ทำไมคนตาบอดไม่สามารถไปหาหมอได้?”อู๋หยุนเทียนสงสัย.
“เพราะตาบอดมองไม่เห็นทาง,จึงไม่สามารถไปหาหมอได้.”ซูเห่าที่เอ่ยอธิบายอย่างช่วยไม่ได้.
หลังจากอู๋หยุนเทียนได้ยิน,ก็เงียบไม่พูดเป็นเวลานาน.
ซูเห่ากังวลใจขึ้นมาว่า,บิดาจะสงสัยตัวเองว่าเป็นคนโง่หรือไม่?!
......
อู๋หยุนเทียนและซู่เห่าที่นั่งสมาธินั่งมองหน้ากันและกัน,หนึ่งร่างใหญ่ยักษ์,หนึ่งร่างเล็กจ้อย,แตกต่างกันชัดเจน.
หลังจากที่อู๋หยุนเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง,ก็เอ่ยปากออกมาช้า ๆ,“หากเจ้าต้องการฝึกฝนยุทธ์,อย่างแรกต้องเข้าใจก่อนว่าวิถียุทธ์หมายความว่าอย่างไร,ครึ่งปีหลังจากนี้,ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับพื้นฐานของวิชายุทธ์,หลังจากเจ้าเชี่ยวชาญพื้นฐานแล้ว,พวกเราถึงจะเริ่มกันอีกครั้ง.”
“มนุษย์และสัตว์ร้ายนั้นแตกต่างกัน,ความแข็งแกร่งและสันชาติญาณของพวกมันนั้นมีมาตั้งแต่กำเนิด,ส่วนความแข็งแกร่งของมนุษย์นั้นจะต้องอาศัยสติปัญญา,บรรพบุรุษของเผ่าพันธ์มนุษย์นั้นผ่านการต่อสู้กับสัตว์ร้ายมาอย่างยาวนาน,จนค้นพบความลับความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายเข้า,มันถูกเรียกว่าปราณโลหิต,จากนั้นบรรพบุรุษของพวกเราจึงได้สร้างแบบการฝึกปราณโลหิตขึ้นมา,ทำให้มนุษย์เริ่มมีความแข็งแกร่งสามารถรับมือกับสัตว์ร้ายตรง ๆได้,เพราะแบบฝึกสร้างปราณโลหิตนี้,เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงได้พัฒนาวิธีการต่าง ๆ ในการฝึกฝนปราณโลหิตขึ้นแตกต่างกันไป ทว่าไม่ว่าวิธีฝึกฝนของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปอย่างไร,แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก โดยรวมแล้วถือว่าคล้ายคลึงกัน..”
“ปราณโลหิตคืออะไร....”ในเวลานั้นอู๋หยุนเทียนจ้องมองซูเห่าที่ตั้งใจเป็นอย่างมาก,เขาครุ่นคิดว่าบุตรชายของเขานั้นเข้าใจสิ่งที่เขาเอ่ยหรือไม่?
ในเวลานั้นซูเห่าก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม“อะไรคือปราณโลหิต?”
อู๋หยุนเทียนเผยยิ้มเล็กน้อย,เอ่ยออกมาว่า”เซี่ยงหวู่,ยกมือขึ้น.
ซูเห่าที่ยกมือขึ้นตามที่สั่ง.
อู๋หยุนเทียนเอ่ยถาม“ข้าขอถามเจ้า,ทำไมเจ้าสามารถยกมือขึ้นได้?”
ซูเห่าที่ตอบอย่างไม่ลังเล“เพราะว่ากล้ามเนื้อแขนหดตัว,ดึงแขน,ให้มือยกขึ้น.”
อู๋หยินเทียนไม่เอ่ยถามว่าทำไมซูเห่าถึงตอบแบบนั้น,ทว่ายังคงถามต่อ“ทำไมกล้ามเนื้อถึงหดตัวล่ะ?”
ในพื้นที่พินบอลได้เอ่ยอธิบายเกี่ยวกับการยืดหดตัวของกล้ามเนื้อเอาไว้เช่นกัน,ทว่าซูเห่ารู้ว่าบิดาของเขาไม่ได้ต้องการคำตอบเหล่านี้,เขาจึงเอ่ยอย่างลังเล“เพราะว่ากล้ามเนื้อมีพลังงานหรือไม่?”
อู๋หยุนเทียนที่เห็นซูเห่าเข้าใจหลักการของพลังงานก็รู้สึกชื่นชม,พยักหน้ารับ เอ่ยออกมาว่า“ใช่,ไม่เพียงกล้ามเนื้อมีพลังงาน,ทว่าทุกส่วนในร่างกาย,ล้วนแต่มีพลังงาน,พลังงานเหล่านี้,ทำให้พวกเราสามารถวิ่ง,กระโดดและจับสิ่งของได้.”
กล่าวจบ,อู๋หยินเทียนก็ชี้ไปยังศิลาก้อนใหญ่ห่างออกไปด้านหน้า เอ่ยออกมาว่า”เซี่ยงหวู่ไปยกก้อนหินก้อนนั้นมา.
ซูเห่าจ้องมองออกไป,อดไม่ได้ที่ดวงตาจะสั่นส่ายไปมา,เขามองไปยังแขนขาที่ผอมบางของเขา,แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะยกมันขึ้นมาได้,อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจเอ่ยอะไรได้,ลุกขึ้นก่อนจะก้าวไปยังก้อนหินใหญ่ด้านหน้า,อย่างแรกเขาพยายามที่จะกอดมัน,ทว่าดูเหมือนจะล้มเหลว,จากนั้นเขาก็เดินอ้อมไปด้านหลัง,ก่อนที่จะใช้มือพยายามผลักมันไป,เขาได้ใช้แรงทั้งหมด,ถึงจะกลิ้งมันมาอยู่ ด้านข้างบิดาของเขาได้.
อู๋หยุนเทียนให้ซูเห่านั่งลง,ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไปใช้มือเดียวยกหินดังกล่าวขึ้นมา“หินนี้หนักใหม?”
ซูเห่าที่จ้องมองท่อนแขนที่ใหญ่โตของบิดายกก้อนหินได้อย่างง่ายดาย“หนัก.”
“สำหรับเจ้ามันหนักมาก,ไม่อาจยกได้,แต่สำหรับข้ามันเบามาก.”อู่หยินเทียนเอ่ย,ก่อนที่จะโยนก้อนหินนั้นออกไป,ก้อนหินกลิ้งกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม,จากนั้นก็เอ่ยถามออกมาว่า“ทำไม?”
ซูเห่าเห็นหินที่เขากลิ้งมาอย่างยากลำบาก ถูกบิดาโยนกลับคืนที่เดิม,ก็พูดไม่ออก,หากจะโยนมันกลับที่เดิม,ต้องให้เขาออกแรงด้วยรึ? เพียงแค่ถามเฉย ๆ ไม่ได้รึไง?
ซูเห่าที่เอ่ยตอบอย่างเชื่อฟัง“เพราะว่าแขนของข้าเล็ก,แต่แขนของพ่อใหญ่กว่าจึงมีพลังงานมากกว่า.”
เขาไม่ได้เอ่ยตอบว่าเกี่ยวข้องกับอายุ เพราะเข้ารู้ว่าบิดาต้องการให้เขาตอบอะไร.
อู่หยุนเทียนพยักหน้ารับ“ใช่เพราะว่าแขนของข้าใหญ่กว่ามีพลังมากกว่า,แต่แขนของเจ้าเล็กมีพลังน้อยกว่า,ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็สามารถสรุปได้ว่า,พลังงานนั้นมาจากปราณโลหิตที่อยู่ในแขน,ยิ่งปราณโลหิตในแขนมีมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งสามารถยกหินได้มากขึ้นเท่านั้น”
“ข้าใจแล้ว.”ซูเห่าที่พยักหน้าเข้าใจ.
อู๋หยุนเทียนที่เผยยิ้มในที่สุด,เป็นรอยยิ้มที่ยากที่ซูเห่าจะได้เห็น,จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมาว่า“ในเมื่อเข้าใจแล้ว,พวกเราจะเข้าสู่หัวข้อดังกล่าว.”
“อู๋หยุนเทียนหยุดและเอ่ยออกมาว่า”แบบฝึกปราณโลหิต,ก็คือวิธีที่จะทำให้ร่างกายสามารถเพิ่มพลังงาน,สะสมปราณโลหิตให้มากยิ่งขึ้นได้,ซึ่งจะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์แข็งแกร่งขึ้น,เมื่อสามารถสะสมปราณโลหิตในร่างกายได้จำนวนมากพอ,เพียงแค่หนึ่งหมัดก็สามารถระเบิดภูเขาได้.”
นั่นไม่ใช่พลังระเบิดนิวเคลียร์หรอกรึ? ซูเห่าที่ตื่นตะลึงในคำพูดของบิดา“ท่านพ่อ,ท่านเคยเห็นคนที่ทำเช่นนั้นได้ด้วยรึ?”
ใครจะรู้ล่ะ อู๋หยุนเทียนส่ายหน้าไปมา“ไม่เคยเห็น,เป็นตำนานที่เล่ามา.”
เห็นใบหน้าของซูเห่าเผยความผิดหวัง,เขาก็เอ่ยอธิบายออกมาว่า“ข้าต้องการบอกเจ้า,เมื่อมนุษย์ฝึกฝนได้มากพอ,ก็มีโอกาสก้าวไปถึงระดับนั้นได้,ยอดฝีมือระดับบรรพชนยุทธ์สามารถทำได้.”
ซู่เห่าพยักหน้ารับ,อู๋หยุนเทียนได้เอ่ยถาม,“เช่นนั้นข้าจะถามอีกเป็นคำถามสุดท้าย,เซี่ยงหวู่,การที่พวกเราเคลื่อนไหวได้ในทุกวัน,พวกเราไปเอาพลังงานมาจากใหน?”
ซูเห่าที่ตอบกลับมาทันที“จากการกิน!”
“ใช่แล้ว!”อู๋หยุนเทียนพยักหน้ารับ,เอ่ยอธิบาย“เรากินอาหารจำนวนมากเพื่อรับพลังที่เปลี่ยนมาจากอาหารในทุกวัน,ดังนั้น,เซี่ยงหวู่,หลังจากนี้เจ้าต้องกินให้มาก.”
อู๋เหยินเทียนที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่ยากจะเห็น“เซี่ยงหวู่,เจ้าเป็นเด็กฉลาดที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา,เด็กหลายคนถึงจะมีอายุหกปีเริ่มเรียนวิชายุทธ์,ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจความจริงตั้งแต่เริ่มต้นเช่นนี้,ข้าหวังว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลังในอนาคตได้! หวังว่าเจ้า....จะสามารถก้าวผ่านพันธนาการสายโลหิตแห่งนักรบได้.”
ซูเห่าที่สงสัย“อะไรคือพันธนาการสายโลหิตแห่งนักรบอย่างงั้นรึ?”
อู๋หยุนเทียนส่ายหน้าไปมา“หลังจากนี้เจ้าจะเข้าใจ,กลับมาพูดถึงอาหารที่ให้พลังงานกัน.”
“เจ้าจำไขมันเล็ก ๆ ที่ประตูบ้านได้หรือไม่?”
“จำได้.”
“จำได้ก็ดีแล้ว,อาหารที่พวกเรากินเข้าไปนั้น,นอกจากจะเปลี่ยนเป็นพลังงานที่เรานำมาใช้ในชีวิตประจำวัน,ทว่าส่วนที่เหลือนั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานสองประเภท,หนึ่งคือปราณโลหิตดั่งที่ข้าได้เอ่ยก่อนหน้านี้,พลังชนิดนี้ยิ่งมีมากเท่าไหร่,พวกเราก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น,มันสามารถเพิ่มพลังได้มาก,อีกประเภทก็คือไขมัน,หากสะสมมันมากเกินไป,ก็จะทำให้คน ๆ นั้นกลายเป็นคนอ้วน.
และการฝึกฝนยุทธ์ที่ผิดพลาด ไม่เพียงอาจทำให้เราสะสมปราณโลหิตได้แล้ว แต่จะทำให้ร่างกายสะสมไขมันแทน”
“และการที่พลังงานกลายเป็นไขมันนั้น,คือผลของการล้มเหลวของการฝึก,กล่าวให้ถูกต้อง,หากเจ้าฝึกฝนยุทธ์ล้มเหลว,เจ้าจะกลายเป็น...”
“คนอ้วน!”
ซูเห่าที่ขมวดคิ้วแน่น,ความเสี่ยงนี้,ทำให้เขาหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย,เมื่อคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นคนเตี้ยแล้วอ้วน.
ในเวลานั้นอู๋หยุนเทียนได้หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากหน้าอก“เจ้านำมันไปท่องจำ,หลังจากท่องจำได้แล้ว,ข้าจะช่วยเจ้าทำความเข้าใจ.”
ซูเห่าที่รับตำราดังกล่าวมา อ่านหน้าปก“ตำรายุทธ์ปราณโลหิตจิ่วกง”
“เป็นชื่อที่ดี.”