บทที่ 930 (51) ซุนวู ปราชญ์แห่งพิชัยยุทธ์(ตอนฟรี)
บทที่ 930 (51) ซุนวู ปราชญ์แห่งพิชัยยุทธ์
“Rrrr~!” จู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือของหรงซูเยี่ยนก็ดังขึ้น เธอหยิบมันออกมาดูและก็ต้องตกใจเล็กน้อย มันเป็นสายจากเจิ้งหยูซิ่ว
‘ผู้หญิงคนนี้! เธอยังจะกล้าโทรหาฉันอีกงั้นเหรอ?!’ หรงซูเยี่ยนมองไปยังชื่อที่คุ้นเคยบนหน้าจอโทรศัพท์และอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงอยู่ในใจ สิ่งที่เจิ้งหยูซิ่วทำนั้นไม่น่าให้อภัย!
ในความเป็นจริง เจิ้งหยูซิ่วคือคนที่ปิดหนทางที่จะช่วยหรงเป่ากัน นี่เป็นเพียงแง่มุมหนึ่งที่ทำให้หรงซูเยี่ยนโกรธเคืองเธอ เพราะในทางกลับกัน มันยังมีความหมายเบื้องลึกที่อยู่เบื้องหลังการกระทำเช่นนั้นของเจิ้งหยูซิ่วด้วย!
บางที เจิ้งหยูซิ่วอาจใช้วิธีนี้ส่งข้อความถึงหรงซูเยี่ยน
{ “ฉันเป็นคู่หมั้นของอู๋จื้อเหอ และไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังอำนาจหรือวิธีการ ผู้หญิงที่ชื่อหรงซูเยี่ยนก็ไม่มีทางเทียบฉันได้ และถ้าหากฉันต้องการจัดการกับเธอ มันก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆไม่ต่างจากการบี้มดปลวก แค่ใช้กลอุบายเล็กๆน้อยๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอหมดหนทางจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่เฝ้าดูน้องชายของเธอเข้าคุก!” }
หรงซูเยี่ยนคือผู้หญิงที่ควบคุมกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าทรัพย์สินนับหมื่นล้าน เธอจะไม่เข้าใจความหมายแฝงของการกระทำเหล่านี้ได้อย่างไร
และเป็นเพราะเหตุนี้ หรงซูเยี่ยนจึงเกลียดเจิ้งหยูซิ่วมาก พวกเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่เจิ้งหยูซิ่วกลับทำกับเธอแบบนี้!
‘หรือเธอจะลืมไปแล้วว่าคนที่เป็นผู้หญิงตัวจริงของอู๋จื้อเหอเป็นใคร?’
‘ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน หรงซูเยี่ยนคนนี้ถอนตัวออกมาโดยสมัครใจ เจิ้งหยูซิ่ว! คนอย่างหล่อนจะมีโอกาสได้หมั้นหมายกับอู๋จื้อเหอได้อย่างไร?!’
แต่ตอนนี้ เจิ้งหยูซิ่วกลับมาบงการชีวิตของเธออยู่ข้างหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้!
“ดูเหมือนว่าคุณจะมีธุระ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับผู้จัดการใหญ่” หวางซั่วเซิงพูดอย่างรู้งาน เขาลุกขึ้นยืนและหันหลังกลับเดินออกจากห้องไป
“อืม”
หรงซูเยี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย เธอนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แม้ว่าโทรศัพท์จะยังคงดังอยู่ แต่เธอก็ปฏิเสธที่จะรับสาย
ในที่สุดเสียงโทรศัพท์ก็เงียบลง แต่ใบหน้าของหรงซูเยี่ยนกลับเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เธอวิ่งเต้นเกี่ยวกับเรื่องของหรงเป่ากังน้องชายของเธอจนไม่ทันได้คิด แต่ตอนนี้เมื่อจิตใจของเธอสงบลงและลองคิดอย่างรอบคอบแล้ว หรงซูเยี่ยนก็เข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้นเกี่ยวกับท่าทีที่ต่อต้านเธอและกลอุบายต่างๆที่เจิ้งหยูซิ่วใช้ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกแย่ลงไปอีก!
เมื่อคิดเรื่องเกี่ยวกับอู๋จื้อเหอที่เธอไม่สามารถกลับไปอยู่จุดนั้นได้ หรงซูเยี่ยนก็ยิ่งโกรธมากขึ้น และเมื่ออู๋จื้อเหอไม่อยู่หยานจิง เจิ้งหยูซิ่วก็อาศัยโอกาสนี้ทำเรื่องพวกนี้ มันแสดงให้เห็นว่าเจิ้งหยูซิ่วไม่เห็นเธออยู่ในสายตาเลย!
“Rrrr~!”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง หรงซูเยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากเหลือบมองอย่างเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆจากนั้นก็กดรับสาย
“ฮัลโหล”
“พี่สาว ฉันหยูซิ่วเอง” เสียงของเจิ้งหยูซิ่วดังขึ้น “พี่สาว ฉันไปถามเรื่องที่พี่พูดถึงเมื่อคราวก่อนมาแล้วนะ มันน่ารังเกียจจริงๆ เจ้าพวกเด็กบ้านั่นกล้าตัดสินใจด้วยตัวเองและทุบตีลูกชายของเจิ้งหยวนซาน ทำให้เป่ากังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดี แย่มากจริงๆ! พี่สาว พี่ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องของเด็กพวกนั้นหรอกนะ เพราะฉันจะจัดการให้เอง! ฉันตำหนิพวกเขาไปแล้ว ส่วนเรื่องของเป่ากังฉันจะดูแลให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน”
“อ๋อเหรอ..” หรงซูเยี่ยนตอบรับอย่างเฉยเมย เธอไม่คิดว่าเจิ้งหยูซิ่วจะโทรหาเธอเพียงเพื่ออธิบายเรื่องเหล่านี้ให้เธอฟัง หากเป็นเมื่อก่อน เธอก็อาจจะยังคงเชื่อ แต่ตอนนี้.. หึ! เธอไม่โง่ขนาดนั้น คำพูดตอแหลไม่กี่คำไม่สามารถหลอกเธอได้อีกต่อไป!
หลังจากได้ยินคำตอบที่เมินเฉยของหรงซูเยี่ยน เจิ้งหยูซิ่วก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเกลียดและอยากจะวางสายทันที
เจิ้งหยูซิ่วที่เป็นคนวางแผนกลั่นแกล้งหรงซูเยี่ยน ต้องมาพูดจาดีๆกับหรงซูเยี่ยนอยู่แบบนี้ เธอก็รู้สึกอยากจะอ้วกมากพอแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มตระกูลเจิ้งเหล่านั้นต้องการความช่วยเหลือ เจิ้งหยูซิ่วจะไม่มีทางโทรมาพูดจาไพเราะเพราะพริ้งกับหรงซูเยี่ยนแบบนี้แน่นอน!
“พี่สาว ฉันรู้ว่าสิ่งที่เด็กพวกนั้นทำมันเลวร้ายมาก แต่ไม่ว่ายังไงพวกเราก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันไม่ใช่เหรอ?” เจิ้งหยูซิ่วใช้ความพยายามเต็มที่เพื่อให้น้ำเสียงของเธอดูเป็นมิตรมากที่สุด “ฉันจัดการต่อว่าเด็กพวกนั้นไปแล้ว ส่วนเรื่องของเป่ากังฉันก็ปรึกษาหารือกับผู้อาวุโสแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังคิดหาวิธีกันอยู่ พี่สาวไม่ต้องกังวล เป่ากังจะไม่ถูกลงโทษสถานหนักแน่นอน”
“ขอบใจนะ” หรงซูเยี่ยนตอบเสียงเรียบ “ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น”
เจิ้งหยูซิ่วแทบสำลัก ความหมายของหรงซูเยี่ยนนั้นชัดเจน { “อย่าเพิ่งให้สัญญาง่ายๆ รอจนกว่าคดีของหรงเป่ากังจะได้รับการตัดสินเสียก่อน แล้วค่อยมาดูกันว่าสิ่งที่คุณสัญญาไว้จะเป็นจริงหรือไม่ แล้วค่อยมาพูดเรื่องอื่น มาพูดตอนนี้มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร” }
เห็นได้ชัดว่าหรงซูเยี่ยนเป็นคนมีความคิด และเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมด้วย!
หากเป็นก่อนหน้านี้ เจิ้งหยูซิ่วยังคงหวังว่าหรงซูเยี่ยนจะไม่โง่เกินไปและหวังว่าหรงซูเยี่ยนจะเข้าใจความหมายลึกซึ้งในการกระทำของเธอได้บ้าง
แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเกลียดมากจริงๆ ทำไมหรงซูเยี่ยนถึงได้ฉลาดนัก!
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะพี่สาว คุณลุงจะคอยดูแลเรื่องของเป่ากังให้” แม้ว่าเจิ้งหยูซิ่วจะกัดฟันด้วยความเกลียดชัง แต่เธอยังคงยิ้มได้ เธออาจจะไม่มีสติปัญญาหรือความสามารถเหมือนเหล่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น แต่การที่เธอเติบโตมาจากตระกูลใหญ่ มันทำให้เธอได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างได้อย่างเป็นธรรมชาติหลังจากที่อยู่กับมันมาเป็นเวลานาน
รอยยิ้มที่ซ่อนมีดอันคมกริบเอาไว้ นี่คือสิ่งที่เจิ้งหยูซิ่วทำได้ดีที่สุด
“มีอะไรอีกมั้ย?” หรงซูเยี่ยนถามอย่างเฉยเมย ตั้งแต่รับสายจนถึงตอนนี้ อารมณ์ของเธอไม่เปลี่ยนแปลงเลย และท่าทีของเธอที่มีต่อเจิ้งหยูซิ่วก็ไม่เปลี่ยนไปเช่นกัน
เป็นเพราะหรงซูเยี่ยนไม่ได้คาดหวังแล้วว่าเจิ้งหยูซิ่วจะช่วยมองหาเส้นสายมาช่วยเคลียร์คดีของน้องชายเธอ ทั้งหมดที่เจิ้งหยูซิ่วทำ มันได้อธิบายถึงปัญหาทุกอย่างแล้ว
“พี่สาว นอกจากเรื่องของเป่ากังแล้ว ฉันมีเรื่องเล็กน้อยที่อยากจะขอให้พี่สาวช่วย”
เจิ้งหยูซิ่วหัวเราะเบาๆและกล่าวว่า “เรื่องมันเป็นแบบนี้.. ฉันเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากน้องสาว เด็กหนุ่มในตระกูลของเราที่อยู่ในเจียงโจวมีปัญหาขัดแย้งกับใครบางคน และตอนนี้พวกเขาได้ถูกทหารพาตัวไป ดังนั้นมันจะสะดวกกว่าถ้าให้คนที่อยู่เจียงโจวช่วยตรวจสอบให้ว่าพวกเขาถูกจับไปที่ไหน พี่สาว.. ตอนนี้พี่ก็อยู่เจียงโจว...”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าสวยแต่ไร้อารมณ์ของหรงซูเยี่ยนก็แสดงรอยยิ้มออกมา “ได้ ฉันลองไปตรวจสอบดูให้ แต่ฉันไม่รับปากนะว่าจะได้คำตอบอะไรมาให้เธอหรือเปล่า เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันเองก็ไม่คุ้นเคยกับเจียงโจว”
“แน่นอน! ขอบคุณมากค่ะพี่สาว” เจิ้งหยูซิ่วยิ้มอย่างเย้ยหยันแต่พูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ
“แค่นี้ก่อนแล้วกันนะ!” หรงซูเยี่ยนพูดเบาๆและวางสาย
ทันใดนั้นใบหน้าของหรงซูเยี่ยนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสและสวยงาม เธอสามารถจินตนาการได้ว่าเจิ้งหยูซิ่วที่อยู่ปลายสายจะมีสีหน้าที่ยอดเยี่ยมมากแค่ไหนในเวลานี้
“ตรวจสอบดูงั้นเหรอ? แน่นอน ฉันทำแน่...” หรงซูเยี่ยนพึมพำกับตัวเอง “แต่หลังจากที่ฉันรู้แล้ว ฉันจะไม่บอกเธอจนกว่าคดีของหรงเป่ากังจะจบลง... คนอย่างเธอก็ต้องรู้จักรอบ้าง!”
...............
“เจ้าบ้า วันนี้โคตรจะมันส์เลย!” จางเล่ยยังคงตื่นเต้นเมื่อกลับมาถึงวิลล่า
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและถามว่า “เล่ยซือ ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆที่นายเคยต่อสู้มาก่อนเหรอ? ทำไมถึงได้ดูตื่นเต้นและมีความสุขขนาดนี้ล่ะ?”
“ไม่เหมือน!”
จางเล่ยหัวเราะและพูดว่า “คือจะบอกยังไงดี การได้ต่อยตีกับคนอื่นมันก็สนุกนั่นล่ะ แต่การต่อสู้แบบนั้น มันได้ทำร้ายศัตรูหนึ่งร้อยแต่ก็ทำร้ายตัวเองไปด้วยแปดสิบ! ต่อให้เราจะเอาชนะศัตรูได้ แต่ตัวเองก็เหนื่อยหอบแทบตาย!”
“นั่นก็จริง!” จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้มในขณะที่เขาคีบข้าวเข้าปาก
หานเซิ่นที่กลับมาพร้อมกันได้เดินตามถงเล่ยขึ้นชั้นบนไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงมีเพียงจี้เฟิงและจางเล่ยเท่านั้นที่นั่งทานอาหารอยู่ในห้องนั่งเล่น
ก่อนออกไป มันเป็นช่วงเวลาอาหารเย็นพอดี แต่จี้เฟิงไม่ทันได้มีเวลากิน ดังนั้นเซียวหยูซวนและถงเล่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บอาหารไว้ให้เขา พอเขากลับมาก็อุ่นพร้อมทานได้เลย
จางเล่ยยังไม่กลับไปที่หอพักทันที เขายังคงรู้สึกตื่นเต้นกับการต่อสู้อยู่มาก ดังนั้นเขาจึงมาที่วิลล่า อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้
“แล้วการต่อสู้ของนายในวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนยังไง?” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนว่ามันแตกต่างกันมากเลยล่ะ!” จางเล่ยพูดและรีบตักข้าวใส่ชาม ตอนนี้เขาเติมเป็นชามที่สองแล้ว จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เอาแค่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวก็แตกต่างมากแล้ว มันเป็นเรื่องของการต่อสู้โดยใช้สมอง คู่ต่อสู้ไม่ทันได้รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ยังเอ๋อกันอยู่เลย โดนต่อยไปงงไป แล้วจบด้วยการถูกจับ ในขณะที่พวกเราไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย... ฮ่าๆๆ! แค่เหตุผลนี้ก็น่าจะพอแล้วมั้ย?”
“ฮ่าๆๆ!” จี้เฟิงหัวเราะออกมาทันที “เพราะแบบนี้ นายก็เลยตื่นเต้นมากเลยสินะ!”
“แค่นั้นยังไม่พออีกเหรอ?” จางเล่ยตะคอก “ฉันเพิ่งรู้วันนี้นี่แหละว่าการลอบโจมตีโดยใช้สมองวางแผนไว้ก่อนมันเท่และโคตรเจ๋งเลย! ฉันตัดสินใจแล้วว่า หลังจากนี้ หากเจอใครที่หัวหมอหรือเป็นพวกจอมวางแผน ฉันจะไม่ประมาทเขาเป็นอันขาด!”
“ในหลายกรณี การทำตัวเองให้เหมือนเงาก็ดีกว่าเปิดเผยตัวตนออกไปโต้งๆล่ะนะ” จี้เฟิงพยักหน้าเห็นด้วยกับจางเล่ย แต่ในไม่ช้าก็พูดขึ้นว่า “แต่ว่านะเล่ยซือ อย่าให้เรื่องนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจผิดๆเชียว บางครั้งกลอุบายสกปรกมันก็ใช้ไม่ได้กับทุกสถานการณ์ จะใช้ตอนไหนยังไงต้องดูหลายๆอย่างประกอบ!”
แท้จริงแล้วกลอุบายสกปรก ถ้าพูดให้ดูดีก็คือกลยุทธ์การต่อสู้ บางครั้งมันอาจส่งผลที่คาดไม่ถึงในช่วงเวลาคับขัน แต่อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เสมอไปที่จะใช้มัน ซึ่งเป็นเหมือนกับดาบสองคม
ถ้าคุณมีนิสัยชอบใช้กลอุบายสกปรก มันจะแก้ไขได้ยาก ในช่วงเวลาวิกฤตบางช่วง คุณอาจประสบความล้มเหลวครั้งใหญ่เพราะกลอุบายสกปรกเหล่านี้!
มีคำกล่าวไว้ว่า หากคิดจะใช้วิชัยยุทธ์ของซุนวู ก็ต้องใช้ทั้งความแน่นอนของแผนการและการไม่ตั้งตัวของอีกฝ่ายเข้าช่วย!
กล่าวคือ ต้องเน้นที่ความแม่นยำของแผนการและเสริมด้วยจังหวะและโชค ดังนั้นแม้จะใช้แผนเดิม แต่ก็ใช่ว่าจะได้ผลเสมอไป
หลายครั้งแม้แต่คนใกล้ตัวก็ไม่กล้าเชื่อคนที่เล่นเล่ห์เพทุบาย!
แน่นอนว่าจางเล่ยเข้าใจว่าจี้เฟิงต้องการจะบอกอะไร เขายิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง นายก็รู้จักนิสัยของฉัน ฉันจะไม่กลายเป็นวายร้ายจอมขี้โกงที่ทุกคนเกลียดชังแน่นอน อย่างน้อยฉันก็อาจจะเล่นสกปรกบ้างนิดๆหน่อยๆตามโอกาส!”
“ดีๆ!” จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “รีบกินก่อนจะเย็น”
หลังทานอาหารเสร็จ จางเล่ยนั่งบนโซฟาและดูทีวีอย่างอิ่มเอมใจ ในขณะที่จี้เฟิงเรียกหานเซิ่นและมอบกระดาษโน้ตที่มีหมายเลขเขียนเอาไว้ยื่นให้เธอ
“นี่คือป้ายทะเบียนรถใช่มั้ย?” หานเซิ่นถาม
“ถูกต้อง”
จี้เฟิงพยักหน้าและพูดว่า “ตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถคันนี้ และถ้าตรวจสอบเสร็จแล้วก็ให้แจ้งไปยังทหารที่จับตัวสมาชิกตระกูลเจิ้งไป และถ้าใครไปที่ค่ายทหารเพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ให้คนตระกูลเจิ้งไปว่าเจ้าของป้ายทะเบียนรถคันนี้ได้รวบรวมกลุ่มคนเพื่อต่อสู้กันและทำร้ายร่างกายทหาร แต่พวกเขาทั้งหมดวิ่งหนีไป ดังนั้นจึงเหลือแค่เพียงสมาชิกตระกูลเจิ้งไม่กี่คนที่ถูกจับได้”
หานเซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจี้เฟิงถึงทำเช่นนี้ แต่เนื่องจากเป็นสิ่งที่จี้เฟิงสั่ง และเซียงหยงซานก็บอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าและหันจากไป
“เจ้าบ้า! นายอยากให้เกิดการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มหรงเผิงกับตระกูลเจิ้งงั้นเหรอ?” จางเล่ยหันหน้ามาและถามขึ้นทันทีหลังจากหานเซิ่นจากไป
.....จบบทที่ 930 ~