NH-ตอนที่ 5 กลับบ้าน
เสียงสะอื้นของหญิงสาวชาวเอลฟ์ได้ดังแผ่ซ่านไปทั่วค่ำคืนขณะที่เธอกอดห่อผ้าซึ่งอุ้มลูกไว้
น้ำตาของเธอไหลลงมาราวกับสายฝน ขณะที่พ่อแม่ของเธอและสมาชิกในเผ่ามองดูเธอด้วยความสงสาร
ทุกคนยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำภายใต้แสงจันทร์ที่สว่างไสวของจันทร์เต็มดวง นี่เป็นค่ำคืนที่สวยงาม และ มีดวงดาวส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้า
ถึงกระนั้น เสียงสะอื้นของหญิงสาวก็ทำให้ทัศนียภาพอันงดงามเหล่านี้ต้องสูญเสียความแวววาวไป
จนกระทั่งหลายนาทีผ่านไป ผู้นำเผ่าเอลฟ์ก็ตบไหล่ของหญิงสาว
“ฉันรู้สึกเศร้ากับความสูญเสียของเธอนะ อเดลีน” ผู้นำเผ่ากล่าวพูดออกมา “แต่เราไม่สามารถฝังเขาในดินแดนบรรพบุรุษของเราได้ ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจ”
อเดลีน พยักหน้าในขณะที่น้ำตาได้ไหลลงมาบนสองแก้มของเธอ เธอเองก็รู้เกี่ยวกับประเพณีเผ่าของพวกเธอแต่เธอก็ทำใจไม่ได้ที่ต้องแยกทางกับลูกของเธอที่เสียชีวิตไม่นานหลังจากที่เขาเกิด
พ่อของ อเดลีน ถอนหายใจขณะที่เขาเดินไปหาลูกสาวของเขาที่ถือตะกร้าอยู่ในมือ ตะกร้านี้ใส่ห่อผ้าที่ทำให้ทารกได้นอนหลับสบาย เพียงแต่น่าเสียดาย ที่ลูกของ อเดลีน ไม่สามารถสัมผัสความอบอุ่นของมันได้ เนื่องจากเขาเพิ่งหมดลมหายใจไปเมื่อวันก่อน
จากนั้นหญิงสาวก็จูบหน้าผากของทารกก่อนที่จะวางเขาลงในตะกร้า จากนั้นเธอก็หยิบกระดานชนวนไม้จากแหวนเก็บของออกมาและใช้เวทย์มนตร์สลักชื่อลงไป
“แม้ว่าแม่จะมอบความรักและความสุขให้แก่ลูกไม่ได้ แต่แม่ก็จะไม่ลืมที่จะตั้งชื่อให้ลูก” อเดลีน กล่าวพูดอย่างเศร้าสร้อยขณะที่เธอเขียนชื่อลูกชายของเธอบนกระดานชนวนไม้
เธอได้ใช้ภาษากลางของโลกใบนี้ในการเขียนชื่อของลูกชายด้วยความหวังที่ว่าถ้ามีใครพบลูกของเธอ พวกเขาจะช่วยจัดการฝังศพให้เขาอย่างเหมาะสม
- ลุกซ์
นี่คือชื่อที่ อเดลีน ตั้งให้กับลูกชายของเธอ
หลังจากวางกระดานชนวนไม้ลงในตะกร้าแล้ว แม่ของ อเดลีน ก็โอบแขนรอบร่างของลูกสาวและกอดเธอไว้แน่น
“ให้ปู่ได้ช่วยส่งเธอไปเถอะ หลานชายที่รักของฉัน” พ่อของ อเดลีน กล่าวพูดอย่างเศร้าสร้อย “ฉันขอภาวนาให้วิญญาณได้นำทางวิญญาณของเธอไปยังสรวงสวรรค์ที่สัญญาไว้ ซึ่งเมื่อถึงเวลาพวกเราก็จะไปที่นั่นเช่นเดียวกัน พวกเราต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถจัดพิธีฝังศพให้กับเธอได้”
หัวหน้าเผ่าเอลฟ์ แห่ง เอนด์เทส มองไปที่ตะกร้าและถอนหายใจออกมา
‘แม้ว่าฉันจะต้องการยกเว้นในเรื่องนี้ แต่บรรดาผู้อาวุโสคนอื่น ๆ คงไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน’ ผู้นำเผ่า ครุ่นคิด ‘สายเลือดผสม ไม่มีที่ยืนใน เอนด์เทส ขอโทษนะเด็กน้อย ฉันเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้’
ทันใดนั้น เอลฟ์สาวตัวน้อยก็เริ่มร้องเพลง มันเป็นเพลงแห่งการจากลาที่เหล่าเอลฟ์จะร้องเมื่อผู้เป็นที่รักจากโลกนี้ไป
ในไม่ช้า เอลฟ์คนอื่น ๆ ก็ร่วมร้องเพลงในขณะที่พวกเขาส่งสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของเผ่าตนเองเดินทางไปสู่โลกหลังความตาย
พ่อของ อเดลีน ได้วางตะกร้าลงบนแม่น้ำ หลังจากเหลือบมองหลานชายเป็นครั้งสุดท้ายเขาก็ปล่อยมือในที่สุด
อเดลีน ได้ร้องคร่ำครวญในขณะที่แม่ของเธอพยายามกอดเธอไว้แน่น เธอมีความรู้สึกว่าหากเธอไม่โอบกอดบุตรสาวเอาไว้แน่น อเดลีน อาจจะกระโดดลงไปในแม่น้ำและนำตะกร้าขึ้นมาบนฝั่ง
“หลับให้สบายเถิด เด็กน้อย” ผู้นำเผ่า พูดขณะที่เขาเสกคาถานิทราให้กับหญิงสาวที่พยายามดิ้นรน นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้ อเดลีน กระทำการบุ่มบ่าม
ในไม่ช้า หญิงสาวก็หยุดดิ้นรนและล้มลงไปในอ้อมแขนแม่ของเธอ น้ำตาของเธอยังคงไหลรินออกมา เพราะเธอรู้ว่าเมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอจะไม่ได้พบหน้าลูกชายของเธออีกแล้ว
_____
ตะกร้าได้ลอยไปบนแม่น้ำอาวอนเลีย และถูกพัดพาไปตามกระแสน้ำในแม่น้ำ ซึ่งออกห่างจากดินแดนเอนด์เทสมากขึ้นเรื่อยๆ
หลายชั่วโมงผ่านไป ตะกร้าก็ได้เดินทางเป็นระยะทางหลายไมล์โดยไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้น
สิ่งมีชีวิตบางตัวที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำไม่ได้สนใจมันมากนัก เพราะพวกมันตรวจไม่พบสัญญาณของสิ่งมีชีวิตในตะกร้า พวกมันคิดว่านี่เป็นเพียงเศษไม้ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำเท่านั้น เพราะงั้นพวกมันจึงไม่ได้ให้ความสนใจและมุ่งความสนใจไปที่ธุระของตัวเอง
ทันใดนั้น ดาวหางสีน้ำเงินก็พุ่งขึ้นสูงเหนือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ราวกับว่าสิ่งนี้ถูกดึงดูดโดยตะกร้าที่ไหลอยู่ในแม่น้ำ ดาวหางได้เปลี่ยนทิศทางของมันและพุ่งลงมาทว่าขนาดของมันก็ลดลงทุกวินาทีที่ผ่านไป
จนในไม่ช้า มันลดลงเหลือเพียงลูกทรงกลมขนาดเล็ก ๆ ที่มีขนาดเท่าลูกเทนนิส
ลูกทรงกลมนี้ได้ตกลงไปบนหน้าอกของเด็กทารกและหลอมรวมเข้ากับร่างกายทันที
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ทารกที่เพิ่งเสียชีวิตก็อ้าปากราวกับพยายามดูดซับอากาศเพื่อเติมเต็มปอดที่ขาดออกซิเจน
ผิวของทารกได้ดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แต่มันก็ยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ ในไม่ช้าการเคลื่อนไหวทั้งหมดก็หยุดลงและทารกก็ยังคงแน่นิ่งอยู่ในตะกร้า โดยเขาได้หลับใหลไปโดยไม่รับรู้ถึงอันตรายที่รายล้อมอยู่รอบตะกร้าแม้แต่น้อย
_____
“พวกเราเกือบจะถึงบ้านแล้ว โซฟี” หญิงชราคนหนึ่งกล่าวพูดขณะที่เธอตบหลังสัตว์เลี้ยงของเธอเบา ๆ “เร่งหน่อยเถอะ พวกเราจะได้ไปทันกินข้าวเช้ากับคนอื่นๆ”
สัตว์เลี้ยงของเธอได้ส่งเสียงตอบรับขณะที่หัวของฮิปโปขาวสูงสามเมตรได้ลอยขึ้นจากน่านน้ำ
หญิงชรายิ้มขณะที่เธอมองไปที่ฐานที่มั่นอันห่างไกลที่รู้จักกันในชื่อ วิลด์การ์ด
ขณะที่พวกเขาเดินทางข้ามแม่น้ำ พวกเขาก็สังเกตุเห็นจระเข้ยักษ์สองตัวกำลังต่อสู้กันเองในขณะที่กลุ่มที่เหลือเฝ้ามองจากด้านข้าง
นี่เป็นเหตุการณ์ปกติในแม่น้ำฮันดีนในช่วงเวลานี้ของปี
หญิงชราและสัตว์ขี่ของเธอโซฟี ได้หลีกทางให้จระเข้ยักษ์สองตัวที่กำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ของพวกมัน ทำให้สัตว์ร้ายเหล่านี้ดุร้ายขึ้นมาก
ขณะที่พวกเขาผ่าน มอนสเตอร์ทั้งสองที่กำลังต่อสู้กัน เสียงร้องไห้ก็ดังเข้ามาในหูของหญิงชรา
หญิงชราได้หันกลับไปและมองหาว่าเสียงร้องนี้ดังมาจากไหน จนทันใดนั้นเอง เธอก็พบเข้ากับตะกร้าที่กำลังลอยเข้าไปหาฝูงจระเข้
หญิงชราขมวดคิ้วแน่นเพราะเธอได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกที่ดังมาจากตะกร้าอย่างชัดเจน
“โซฟี รีบหันหลังกลับไปเดี๋ยวนี้!” หญิงชราได้สั่งการ
ทันใดนั้น ฮิปโปขาวก็รับฟังคำสั่งและหันหลังกลับไปยังตำแหน่งตะกร้าที่ลอยเข้าไปและอยู่ห่างจากจระเข้ยักษ์ไม่กี่ 10 เมตร
ไม่ใช่แค่หญิงชราเท่านั้นที่ได้ยินเสียงร้องของทารกน้อย เพราะจระเข้หลายตัวก็เริ่มว่ายเข้าหาตะกร้าด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
สำหรับพวกมันแล้ว เสียงร้องไห้ของทารกก็เหมือนกับคำเชื้อเชิญให้ไปรับประทานอาหารฟรี
ในไม่ช้า จระเข้ตัวหนึ่งก็ว่ายเข้ามาและอยู่ห่างจากตะกร้าเพียง 1 เมตร มันได้เปิดขากรรไกรขนาดใหญ่ของมันเพื่อที่จะกลืนกินตะกร้าและทารกที่อยู่ข้างใน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มันจะทันได้จับเหยื่อ เท้าข้างหนึ่งก็แตะไปที่จมูกของมันและปิดกรามที่หนาแน่นอย่างรุนแรง
หญิงชราได้คว้าหยิบตะกร้าด้วยมือทั้งสองข้างก่อนที่เธอจะกระโดดออกไปโดยใช้จระเข้เป็นบันได
ด้วยการกระโดดครั้งสุดท้าย เธอได้ร่อนลงบนหลังของฮิปโปขาวอย่างช่ำชองและสั่งให้มันรีบหนีไปโดยเร็วที่สุด
จระเข้เหล่านี้รู้สึกโกรธเกรี้ยวและคำรามออกมา พวกมันได้พุ่งเข้าหาโจรที่หลบหนีไปซึ่งขโมยเหยื่อของพวกมันไป
แม้แต่ จระเข้ที่ต่อสู้กันทั้งสองก็หยุดต่อสู้กันและเข้าไปขวางทางหนีของฮิปโปขาว
“ฉันไม่ได้ต้องการให้เรื่องมันเลยเถิดไปมากกว่านี้” หญิงชรากล่าวพูดกับ จระเข้ยักษ์ทั้งสองที่มีนัยน์ตาสีแดงก่ำ “ฉันจะพาเด็กคนนี้ไป ดังนั้นโปรดหลีกทางให้ด้วย”
จระเข้ยักษ์ทั้งสองตัวไม่สนและคำรามออกมาทันที
“โซฟี เดินหน้าต่อไปเลย” หญิงชราได้กล่าวสั่ง
ทันใดนั้น ฮิปโปขาวที่รับคำสั่งก็พุ่งเข้าหาจระเข้ยักษ์ทั้งสองที่ขวางทางเธอ เมื่อหญิงชราและสัตว์ขี่ของเธออยู่ห่างจากตำแหน่งของพวกมันเพียง 12 เมตร จระเข้ยักษ์ทั้ง 2 ตัวก็พุ่งเข้าใส่พวกเขาด้วยความโกรธ
หญิงชราได้จับตะกร้าด้วยมือซ้ายขณะที่เธอขยับนิ้วในมือขวาด้วยลักษณะที่ไม่แน่นอน
ในไม่ช้า ร่างสองร่างก็ปรากฏขึ้นจากอากาศบาง ๆ และพุ่งเข้าหาจระเข้ยักษ์ทั้งสองตัว ที่ซึ่งกรามอันแหลมคมของพวกมันนั้นอยู่ห่างจากหญิงชราและสัตว์ขี่ของเธอเพียงไม่กี่เมตร
เสียง ‘ปั้ง’ พลันปรากฏขึ้น ทันใดนั้น จระเข้ยักษ์ทั้งสองตัวก็ถูกส่งลอยกระเด็นไปไกลหลาย 10 เมตร
ร่างยักษ์ของพวกมันได้กระแทกลงบนพื้นผิวแม่น้ำจนทำให้เกิดคลื่นไปทั่วทุกทิศทาง
เมื่อ จระเข้ตัวอื่นมองเห็นฉากนี้พวกมันก็หยุดเคลื่อนไหวและมองไปที่หญิงชราด้วยความสยดสยอง ความคิดในการหาเรื่องของพวกมันได้หมดไปหลังจากที่เห็นหญิงชราจัดการกับ จระเข้ยักษ์ที่มีอำนาจทั้งสองได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
หญิงชราถอนหายใจออกมาและส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ “พวกเราคงไปทานอาหารเช้าสายหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้ละนะ”
จากนั้นเธอก็มองไปที่ทารกที่ยังคงร้องไห้อยู่ในตะกร้า
“ไม่ต้องร้องนะเด็กน้อย ตอนนี้เธอปลอดภัยแล้ว” หญิงชรากล่าวพูดขึ้น
จากนั้นเธอก็ใช้นิ้วลูบแก้มของทารกเบา ๆ เพื่อทำให้เขาสงบลง
บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ หรืออาจจะเป็นสัญชาตญาณแรกเกิดของทารก ทันทีที่ใบหน้าของเขาถูกสัมผัส มือเล็ก ๆ ของเขาก็เอื้อมไปจับนิ้วที่ลูบไล้ใบหน้าของเขา
หญิงชรายิ้มเมื่อเห็นทารกหยุดร้องไห้และจับนิ้วเธอไว้แน่น เมื่อเธอปรายตามองดู เธอก็พบว่าทารกได้หลับไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงวางตะกร้าไว้บนตักอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้มันกระทบกระเทือน
“ไปกันเถอะ โซฟี” หญิงชรากล่าวออกมา “กลับบ้านของพวกเรา”