Chapter 95 Nine Heavens is more brutal than Divine Martial Continent
九天比神武大陆残酷
“ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กฉู่ถงตอนนี้เป็นอย่างไร.”ขณะบินอยู่นั้น,วัวกระทิงมังกรเขาทองคำก็เอ่ยปากออกมาทันที.
เทพยุทธจิ่วเจว่ถือว่าเป็นศิษย์กิตติมศักดิ์คนสุดท้ายของเขา,ส่วนฉู่ถงนั้นเป็นศิษย์ก่อนเทพยุทธ์จิ่วเจว่.
ฉู่ถงก็คือนักบุญปิศาจ.
ฉู่ถงนั้นเป็นคนของตระกูลฉู่จากจิวเทียน,หลังจากอีกฝ่ายออกมาจากป่าศักดิ์สิทธิ์ก็กลับไปยังจิวเทียน,พร้อมกับก่อตั้งนิกายกระบี่กุยหยวนขึ้นมา,ซึ่งฉู่ถงก็คือบรรพชนผู้ก่อตั้งนิกายนั่นเอง.
“ที่นี่คือเขตแดนซั่งเซิ่ง,นิกายกระบี่กุยหยวนอยู่ไม่ไกลนัก,จูเหริน,พวกเราแวะไปดูหรือไม่?”วัวกระทิงมังกรเขาทองคำเอ่ย.
“ก็ดี,พวกเราแวะไปหน่อยก็ได้,ข้าเองก็อยากเห็นนิกายกุยหยวนที่เจ้าเด็กนั่นสร้างขึ้นมาจะเป็นเช่นไร.”ลู่อี้ผิงที่เผยยิ้ม.
เฉียงเหลียงที่ดูลังเลก่อนเอ่ยออกมาว่า“ต้าเหริน,ข้าต้องการที่จะไปยังเทือกเขาหลิวมู่สักหน่อย.”
ลู่อี้ผิงที่ชงักไปเล็กน้อยเช่นกัน.
“ซือจุนตกตายที่เทือกเขาหลิวมู่,ข้าต้องการไปยังเทือกเขาหลิวมู่เพื่อสร้างสุสานให้กับเขา.”เฉียงเหลียงเอ่ยเสียงเบา.
ในอดีต,อรหันต์ปิศาจฟู่ซีถูกสำนักหกตา,ลัทธิผนึกปิศาจ,สำนักฟู่ถูและนิกายเทวะคุนเผิงล้อมสังหารที่เทือกเขาหลิวมู่นั่นเอง.
ลู่อี้ผิงพยักหน้ารับ“ไปเถอะ,ข้าจะพักที่นิกายกุยหยวนสักสองสามวัน.”
“ขอรับ!”เฉียงเหลียงพยักหน้ารับ และเอ่ยออกมาว่า“ในเวลานั้นข้าจะไปพบกับต้าเหรินอีกครั้ง”จากนั้นเข้าก็แสดงความเคารพและบินตัดอากาศออกไป.
ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่อง,ร่างของเฉียงเหลียงก็หายลับขอบฟ้าไกลไป.
ลู่อี้ผิงที่จ้องมองแผ่นหลังของเฉียงเหลียงที่เต็มไปด้วยความอ้างว้าง,ก็ถอนหายใจเบา ๆ ออกมา.
เฉียงเหลียงมีสหายไม่มากนัก,กล่าวได้ว่าฟู่ซีเป็นเพียงสหายคนเดียวของเขาก็ได้.
หลังจากที่เฉียงเหลียงจากไป,ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำก็บินต่อไป,ในเวลานั้น,ลู่อี้ผิงที่ปล่อยฟินิกซ์อมตะทองคำหวงจิวออกมา ซึ่งก่อนหน้านี้บ่มเพาะอยู่บนต้นฟินิกซ์เทวะ.
หลายวันมานี้,หวงจิวได้บ่มเพาะอยู่ในต้นฟินิกซ์เทวะมาตลอด,ตระหนักรู้กฎเทพสวรรค์ที่ลู่อี้ผิงมอบให้อย่างจริงจัง,ความแข็งแกร่งได้เพิ่มพูนสูงกว่าเมื่อครั้งที่ออกจากสนามรบแห่งทวยเทพ,แตกต่างกันราวกับสวรรค์และปฐพีไปแล้ว.
เพียงไม่นาน,ลู่อี้ผิงก็มองเห็นเมืองโบราณแห่งหนึ่ง.
เมื่อเข้าใกล้,เมืองโบราณดังกล่าวดูเหมือนว่าจะถูกทิ้งร้างมานานแล้ว,กำแพงเมืองที่พังทลายเสียหาย,มีวัชพืชขึ้นรกชันเต็มไปหมด.
ภายในเมือง,เต็มไปด้วยซากปรักหักพังเสียหาย.
ลู่อี้ผิง,วัวกระทิงมังกรเขาทองคำและหวงจิวที่เข้าไปในเมืองโบราณดังกล่าว.
วัวกระทิงมังกรเขาทองคำที่กวาดตามองซากปรักหักพังที่ยากจะฟื้นฟูกลับมาได้,เอ่ยออกมาว่า“กฎป่า,เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นโลกใหน,ทวีปเทพยุทธ์ก็เป็นเช่นนี้,จิวเทียนเองก็ไม่ต่างกัน.”
สิ่งก่อสร้างภายในเมืองโบราณแห่งนี้ดูสลับซับซ้อนลึกล้ำ,ทว่าตอนนี้,ได้กลายเป็นเศษซากไปแล้ว.
ภายในเมือง,แทบทุกหนแห่งมีหลุมฝ่ามือและรอยกระบี่นับไม่ถ้วน.
เห็นชัดเจนว่าเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงน่าอัศจรรย์เกิดขึ้น.
“จิวเทียน,ดูเหมือนว่าจะโหดร้ายยิ่งกว่าทวีปเทพยุทธ์.”หวงจิวที่ส่ายหน้าไปมา,เอ่ยออกมาด้วยความเศร้า”หลายหมื่นปีก่อน,นิกายเทวะฟินิกซ์ที่รุ่งโรจน์,ทว่ากับพังทลายในคืนเดียวเช่นกัน.
นิกายเทวะฟินิกซ์,ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดกลุ่มอิทธิพลของจิวเทียนในอดีตเช่นกัน.
พวกเขามียอดฝีมือมากมาย.
อย่างไรก็ตาม,เพราะถูกนิกายเสวียนเทียนและสำนักกระบี่ไท่ชิง,ล้อมสังหาร,จึงล่มสลายลงในคืนเดียว.
ขณะที่พวกเขาเดินทางมาถึงใจกลางเมืองเก่า,จดจ้องมองไปยังจัตุรัสตรงกลาง,ลู่อี้ผิงที่ก้าวลงไปด้านล่าง.
“นี่คือมหาค่ายกลหยินหยางเป่ยโตว.”วัวกระทิงมังกรเขาทองคำจ้องมองอักษรรูนที่พังทลายที่ใจกลาง,พร้อมกับอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ.
มหาค่ายกลหยินหยางเป่ยโตวนั้น,เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดค่ายกลยุคโบราณ.
ลู่อี้ผิงที่ส่ายหน้าไปมา“คนวางค่ายกลนั้นไม่ค่อยใส่ใจระเอียดรอบคอบนัก,ทำให้มหาค่ายกลหยินหยางเป่ยโตวไม่ครอบคลุม,ดังนั้นจึงได้พังทลายลงง่าย ๆ.”
“ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เห็นส่วนที่เหลืออยู่ของวังเทวะเป่ยโตวในยุคนี้.”
มหาค่ายกลหยินหยางเป่ยโตว,เป็นค่ายกลเทวะที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากของวังเทวะเป่ยโตวในยุคโบราณ.
ในยุคโบราณเทพธิดาโหลวสุย,สตรีที่งดงามที่สุด,ก็เป็นศิษย์สายตรงของจ้าววังเทวะเป่ยโตว.
วังเทวะเป่ยโตว,ถือว่าเป็นยักษ์ใหญ่ในยุคโบราณ,แม้แต่จ้าวแห่งทวยเทพที่บัญชาเทพนับหมื่นเมื่อเห็นเจ้าวังเป่ยโตวยังต้องคารวะอีกฝ่าย.
กล่าวถึงความแข็งแกร่งแล้ว,นิกายเทวะคุนเผิงในปัจจุบัน,ไม่อาจเทียบได้แม้แต่เสี้ยวเดียวของวังเทวะเป่ยโตวในอดีตเลยด้วยซ้ำ.
ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปด้านหน้า.
ทุกหนแห่งที่พวกเขาผ่านไป,มักจะพบอีกาทมิฬ บินไปมาเป็นครั้งคราว.
อากาศรอบ ๆ ที่ดูมืดครึ้มขมุกขมัวขึ้นช้า ๆ.
ในเวลาเดียวกัน,ที่ด้านนอกเมืองโบราณ,ปรากฏบุรุษคนหนึ่งและสตรีผู้หนึ่งบินตรงผ่านมายังเมืองโบราณ.
ทั้งสองที่สวมชุดที่ดูโอ่อ่ามีราคา,ทว่าชุดของพวกเขานั้นมีรอยฉีกขาดมากมาย,เห็นชัดเจนว่าเป็นรอยกระบี่,และยังมีเลือดซึมออกมาจากชุดจนย้อมเสื้อผ้าของพวกเขาให้กลายเป็นสีแดง.
ท้ายที่สุดพวกเขาก็หนีมาถึงเมืองโบราณ,ก่อนที่จะมองไปด้านหลังไม่มีใครไล่ตามมาก็รู้สึกวางใจ.
“ที่ด้านหน้าก็คือทางออกจากจิวเทียนแล้ว.”ฟ่านอี้หลานเอ่ย“คนของนิกายเห่ยเฟิงคงไม่ไล่ตามมาแล้ว,ขอเพียงพวกเราหนีไปยังทวีปเทพยุทธ์ก็จะปลอดภัย,ตระกูลหว่านจะสามารถให้ที่พักพิงแก่พวกเราได้.”
บุรุษคนดังกล่าวที่เอ่ยปาก,ก่อนที่จะกระอักโลหิตออกมาคำโต.
“น้องชาย,เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”ฟ่านอี้หลานใบหน้าที่ซีดเซียว,เอ่ยสอบถามและจ้องมองไปยังด้านหลังของเขานั้นมีรอยฝ่ามือสีดำประทับอยู่.
ฟ่านเซิ่งเอ่ยเสียงแหบเครือ“พี่สาว,ข้าไม่เป็นไร,พวกเราเดินทางต่อเถอะ.”
ฟ่านอี้หลานส่ายหน้าไปมา“ไม่ได้,เจ้าบาดเจ็บหนัก,เข้าไปพักในเมืองร้างนี้,รักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าก่อน.”
ฟ่านเซิงพยักหน้ารับ.
ดังนั้น,ทั้งสองจึงพยุงกันและกันเข้าไปในเมือง.
ขณะที่พวกเขามุ่งตรงไปยังใจกลางเมือง,เวลานั้นพวกเขาเห็นตำหนักแห่งหนึ่งที่มุม,ดูเหมือนว่าเหมาะจะซ่อนตัว.
“พี่สาว,พวกเราจะเข้าไปยังตำหนักนั้นรึ?”ฟ่านเซิ่งที่เอ่ยปากออกมาทันที.
ฟ่านอี้หลานที่ดูลังเล,ก่อนที่จะพยักหน้า.
ในเวลาต่อมา,ทั้งสองที่เข้าไปยังตำหนักดังกล่าว,ขณะที่พวกเขาเปิดประตูเข้าไป,ก็พบว่าที่ด้านหน้านั้น,มีบุรุษในชุดน้ำเงินนั่งสมาธิอยู่,ที่ไหล่ของเขามีนกตัวเล็กกระจิดริดเกาะอยู่,ที่ด้านข้างนั้นเป็นวัวตัวหนึ่งที่นอนซึมกระทื่ออยู่.
ทั้งสองที่ตกใจไปเหมือนกัน.
ไม่คาคคิดว่าตำหนักร้างจะมีคนอยู่.
“เสียมารยาทต่อคุณชายแล้ว,พวกเราไม่รู้ว่ามีคนอยู่.”ฟ่านอี้หลานที่ตกใจ,เมื่อได้สติก็เอ่ยกล่าวขออภัย,ขณะเตรียมพยุงร่างฟ่านเซิ่งจากไป.
ในเวลานั้นกับปรากฏว่าที่ขอบฟ้าไกลปรากฏจุดแสงมากมายหลายจุด.
เห็นจุดแสงหลายจุด,ฟ่านอี้หลานที่ใบหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที.
นางที่เร่งรีบพยุ่งฟ่านเซิงเข้ามาไปในห้องโถงอย่างรีบเร่ง,ก่อนปิดประตูตำหนักแน่น.
อย่างไรก็ตาม,ขณะที่ทั้งสองเพิ่งปิดประตูลง,จุดแสงจากขอบฟ้าไกลก็พุ่งตัดอากาศร่อนลงที่ด้านหน้าห้องโถงเสียงดัง.
พื้นที่รอบ ๆ ที่สั่นไปมา.
หลายคนที่ร่อนลงที่ด้านหน้าพร้อม ๆ กัน.
“หึ หึ,ฟ่านอี้หลาน,เจ้าคิดจริง ๆ รึว่าจะสามารถหนีไปยังทวีปเทพยุทธ์ได้?”ผู้นำผู้เยาว์ที่สูงผอมกล่าวหยัน“บอกความจริงต่อเจ้า,ถึงเจ้าจะสามารถหนีไปยังทวีปเทพยุทธ์,ตระกูลหว่านก็ไม่อาจเป็นร่มเงาให้กับเจ้าได้!”
“อู๋เหว่ย,ตระกูลเถาของเจ้าถูกขับไล่,นิกายเห่ยเฟิงถูกกวาดล้าง,ปู่ของพวกเราได้มอบศิลาวิญญาณให้กับนิกายเห่ยเฟิง,ทั้งสมุนไพรวิญญาณ,ยาฟื้นฟูช่วยเหลือนิกายเห่ยเฟิงก่อตั้งนิกายขึ้นมาใหม่,จนทำให้นิกายเห่ยเฟิงของเจ้า กลับมามีวันนี้ได้ไม่ใช่รึ?”
“ตอนนี้,คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะร่วมมือกับตระกูลเถาล้อมสังหารตระกูลฟ่านของพวกเรา,นิกายเห่ยเฟิงของเจ้าเป็นพวกจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า ลมหายใจเยี่ยงสุนัข!”
ฟ่านอี้หลานเอ่ย,หน้าอกของนางที่สั่นส่ายไปมาด้วยความโกรธ.
ชายหนุ่มผอมสูงอู๋เหว่ยได้ยินคำพูดดังกล่าว,ไม่เพียงไม่โกรธ,ยังหัวเราะลั่น“เจ้ากล่าวถูกแล้ว,นิกายเห่ยเฟิงของพวกเราจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า ลมหายใจเยี่ยงสุนัข”
“แต่ว่าตอนนี้,ทั้งตระกูลฟ่านของพวกเจ้าเหลือแค่สองคนเท่านั้น.”
จากนั้นเขาก็มองเข้าไปในห้องโถง,เผยยิ้มเอ่ยออกมาว่า“เจ้าตายในห้องโถงนี่ก็นับว่าโชคดีแล้ว,อย่างน้อยศพ จะได้ไม่แห้งเหี่ยวบนพื้นที่รกร้าง.”