Chapter 79 Wan Wudi comes late one step
万无敌来晚一步
ไป่อู๋ซ่างนิกายปิศาจน้ำพุเหลืองไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา.
ทว่าในเวลานี้,ใบหน้าที่ขาวซีดไร้ซึ่งโลหิตของเขากำลังจ้องมองลู่อี้ผิงที่ดูไร้อารมณ์ไม่แยแสอยู่.
เจียงยวีสำนักไท่อี้เอ่ยต่อบรรพชนหวงและกู่เหล่ากุย,”หลังจากข้าสังหารลู่อี้ผิง,กระบี่รัตติกาลนิรันดรจะเป็นของใคร,อาวุโสทั้งสองก็ตัดสินใจกันเองก็แล้วกัน.
บรรพชนหวง,กู่เหล่ากุยที่จ้องมองหน้ากันและกัน,ดูลังเล,แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้ารับ.
เจียงยวีที่หันกลับมา,จดจ้องมองลู่อี้ผิงด้วยความเย็นชา“น้องสาวของข้าตายด้วยหัตถ์กษิติครรภพันกรของเจ้า,ข้าต้องการคำแนะชี้แนะทักษะกษิติครรภพันกร! อยากจะเห็นจริง ๆ ว่าวิชาหนึ่งในสี่เคล็ดอรหันต์จะสมกับคำเล่าลือหรือไม่?!”
ในเวลานั้น,ทั่วร่างของเขาที่เต็มไปด้วยลมปราณกระบี่ที่ฟุ้งพุ่งทยานขึ้นไปบนท้องฟ้า.
ปราณกระบี่ที่ทำให้ห้วงมิติรอบ ๆ สั่นไปมากลายเป็นคลื่นน้ำทะเล.
คลื่นกระบี่ที่ใหญ่ยักษ์ซัดสาดท่วมไปด้วยแสงกระบี่อย่างคาดไม่ถึง.
ประกายแสงของดินน้ำไฟทองและธาตุไม้.
ห้าริ้วแสง,ที่ส่องสว่างท่วมปกคลุมท้องฟ้า.
ผู้คนต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ.
“ปราณกระบี่ห้าธาตุ!”เฉินชิงหยางที่อุทานเสียงดัง.
บรรพชนหวงนิกายภูตหยิน,กู่เหล่ากุยวังปิศาจทมิฬ,ไป่อู๋ซ่างนิกายปิศาจน้ำพุเหลือง,ทั้งสามที่เห็นปราณกระบี่ห้าธาตุ,ก็เผยท่าทางประหลาดใจออกมาเช่นกัน.
เฉินหยวน,บุตรของเฉินชิงหยางที่เห็นเอ่ยอุทานออกมาทันที“นับตั้งแต่ยุคโบราณ,ปราณกระบี่ห้าธาตุไม่เคยมีใครสามารถฝึกฝนได้สำเร็จเลยไม่ใช่รึ?”
เฉินชิงหยางที่เผยท่าทางจริงจัง“ใช่แล้ว,เหนือหัวใจกระบี่,คือกระบี่กาลอวกาศ,เหนือกระบี่กาลอวกาศ,ก็คือกระบี่ห้าธาตุ!”
“ต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพี,ก่อกำเนิดจากปฐมกาลฮุ่นต้น,วิวัฒนาการเป็นธาตุทั้งห้า,ก่อนกำเนิดเป็นสรรพชีวิต!”
“ทุกสรรพชีวิต,ล้วนแต่กำเนิดจากธาตุทั้งห้า.”
“ทำให้การตระหนักรู้วิถีธาตุทั้งห้านั้น,ยากยิ่งกว่าใต่ขึ้นสวรรค์,ดังนั้นนับตั้งยุคโบราณ,จึงไม่มีใครฝึกฝนกระบี่ห้าธาตุได้สำเร็จ!”
ทว่าตอนนี้,เจียงยวีสำนักไท่อี้กับสามารถบ่มเพาะมันได้!
บรรพชนหวง,ถังจีต่างก็ ถอนหายใจ“เจ้าเด็กนี่คู่ควรเป็นบุคคลอันดับหนึ่งพิภพเหิงหยวนยุคนี้จริง ๆ!”
มีไม่กี่คนที่พวกเขากล่าวยกย่อง,ตอนนี้เห็นเจียงยวีสำนักไท่อี้เผยกระบี่ห้าธาตุออกมาทำให้พวกเขาต้องยกย่องอีกฝ่ายอย่างจริงใจ.
ในเวลานี้,เจียงยวีสำนักไท่อี้ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยปราณกระบี่ห้าธาตุเวลานี้มันได้ขยายเพิ่มกำลังอำนาจขึ้นเรื่อย ๆ,ยืดขยายปุทุพลังออกไปไม่หยุดหย่อน.
ปราณกระบี่ห้าธาตุ,น้ำ,ไฟ,ทอง,ดินและไม้,ห้าธาตุโคจรไปรอบ ๆ,ราวกับว่ากำลังสร้างโลกใหม่ขึ้นมา.
กลิ่นอายของเจียงยวีสำนักไท่อี้เพิ่มพูนยกระดับขึ้นไม่หยุด.
“เทพสวรรค์ขั้นกลางปลาย!”บรรพชนหวง,นิกายภูตหยินเอ่ย“บางทีเขาใกล้จะตัดผ่านไปยังเทพสวรรค์ขั้นสุดท้ายแล้ว!”
นี่คือขอบเขตพลังบ่มเพาะของเจียงยวี.
“แม้นว่าจะยังไม่ตัดผ่านไปยังเทพสวรรค์ขั้นสุดท้าย,ทว่าด้วยพลังกระบี่ห้าธาตุ,เกรงว่าเขาสามารถรับมือกับเทพสวรรค์ขั้นสุดท้ายได้แล้ว!”กู่เหล่ากุยวิหารปิศาจทมิฬเอ่ย.
ลู่อี้ผิงยังไม่ได้เริ่มเคลื่อนไหวใด ๆ,ไม่ว่าเจียงยวีสำนักไท่อี้จะกระตุ้นพลังปราณกระบี่ห้าธาตุออกมามากมายเท่าไหร่ก็ตาม.
วัวกระทิงมังกรเขาทองคำที่เกาหูไปมา,คล้ายว่ากำลัง คันมือคันเท้าอยากลงมือเอง.
ท้ายที่สุด,เจียงยวีสำนักไท่อี้ก็กระตุ้นปราณกระบี่ห้าธาตุไปจนถึงขีดสุด,พลังต่อสู้ของเทพสวรรค์ขั้นกลางปลายเวลานี้อยู่ในจุดสูงสุดแล้ว.
เขาที่จ้องมองลู่อี้ผิงที่ยืนมือขัดหลัง,แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา“หลายร้อยปีก่อน,ข้าสำเร็จปราณกระบี่ห้าธาตุ,สามารถที่จะฉีกท้องฟ้าให้เป็นรอยได้,ยังไม่พอให้เจ้าต้องเตรียมตัวอย่างงั้นรึ?”
ลู่อี้ผิงจ้องมองปราณกระบี่ห้าธาตุอีกฝ่าย,กล่าวออกมาอย่างไม่แยแส,“ปราณกระบี่ห้าธาตุแล้วอย่างไร,ข้าจะสังหารเจ้า,เพียงแค่ดีดนิ้วก็จัดการเจ้าได้แล้ว.”
คำพูดของลู่อี้ผิง,ทำให้ผู้คนรอบ ๆ ส่งเสียงดังอื้ออึง.
เจียงยวีสำนักกระบี่ไท่อี้ได้ยิน,ใบหน้ากลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที,แววตาเป็นประกายด้วยความดุร้าย,หัวเราะดังลั่น“ดี! ข้าจะรอดู ว่าเจ้าดีดนิ้วสังหารข้าอย่างไร!”จากนั้นพลังปราณกระบี่ห้าธาตุก็พุ่งทยานคำรามลั่นพุ่งไปยังทิศทางของลู่อี้ผิงทันที.
เวลานั้นเห็นเพียงแค่ปราณกระบี่ห้าธาตุที่พุ่งตัดผ่านท้องฟ้า,แผ่พุ่งข้ามอากาศ,เต็มไปด้วยอำนาจทำลายล้างสวรรค์แปละปฐพี,ทว่าเมื่อมันมาถึงยอดเขาเทพสวรรค์.
ในเวลานั้น,จากพื้นที่ไกลออกไป,เสียงที่เย็นชาดังกึกก้องได้ดังขึ้น“อำนาจหมื่นทวยเทพ!”
ในเวลาต่อมานั้น,เมืองขนาดใหญ่,ได้เหินตัดผ่านอากาศมาด้วยความเร็ว.
เมืองขนาดใหญ่,พลังเทพที่รุนแรงทำให้อากาศรอบ ๆ สั่นสะเทือนกลายเป็นเหมือนดั่งน้ำทะเลกำลังก่อคลื่นพัดมา,เทพวิญญาณยุคโบราณมากมายที่กระจายลอยอยู่รอบ ๆ เมืองลอยฟ้า.
เมืองลอยฟ้าที่เข้าปะทะกับปราณกระบี่ห้าธาตุของเจียงยวี.
ตูมมมมมมม
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว.
พลังปราณกระบี่ห้าธาตุที่ปะทะกับเมืองลอยฟ้าทันทีก่อให้เกิด,เสียงดังกังวานที่ก้องไปไกลสุดขอบฟ้า,ราวกับเสียงสายฟ้าฟาด,สะเกิดเพลิงที่ฟุ้งกระจายไปทั่วทุกสารทิศ.
ผู้คนมากมายต่างก็เผยท่าทางประหลาดใจอัศจรรย์ใจออกมา.
หลายคนที่จ้องเขม็งไปยังเมืองยักษ์ลอยฟ้า.
“เมืองเทียนตู!”ยอดฝีมือหลายคนที่อุทานออกมาด้วยความตกใจ.
เมืองเทียนตู,นี่คือเมืองอันดับหนึ่งของทวีปเทพยุทธ์.
จากนั้น,ทุกคนได้แต่จ้องมองไปยังขอบฟ้าไกล,เห็นคนผู้หนึ่งที่ก้าวออกมาจากความว่างเปล่า,เป็นจ้าวทวีปเทพยุทธ์,หว่านอู๋ตี้!
“นี่คือสิ่งประดิษฐ์แห่งทวยเทพไร้คู่เปรียบ,เมืองเทียนตูยุคโบราณ,เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่จ้าวแห่งทวยเทพและผู้ใต้บังคับบัญชาได้หลอมมันขึ้นมา,หลังจากจ้าวแห่งทวยเทพล่วงหล่นจากสวรรค์,ก็ไม่เคยได้ยินมาเลยว่ามีใครสามารถควบคุมเมืองเทียนตู่ได้,คาดไม่ถึงว่าหว่านอู๋ตี้จะสามารถควบคุมมันได้!”เจิ้งยวีเจ้านิกายภูตหยินอุทานออกมาด้วยความตกใจ.
สิบสุดยอดฝีมือพิภพเหิงหยวน,เขาคือลำดับสาม,ส่วนหว่านอู๋ตี้คืออันดับสี่.
ไม่นานมานี้,มีคนได้กระจายข่าวออกมาว่าหว่านอู๋ตี้ตัดผ่านไปยังขอบเขตเทพสวรรค์,นอกจากนี้ยังควบคุมเมืองเทียนตู่ได้,เขาไม่เชื่อแม้แต่น้อย,ตอนนี้เห็นหว่านอู๋ตี้ควบคุมเมืองเทียนตูได้,ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก.
นอกจากนี้ทุกคนเองย่อมมองเห็นว่าหว่านอู๋ตี้ที่เพิ่งทะลวงผ่านขอบเขตเทพสวรรค์กับสามารถต้านปราณกระบี่ห้าธาตุของเจียงยวีได้ด้วยเมืองเทียนตู,ไม่มีใครที่เห็นแล้วไม่ประหลาดใจ.
“ทว่า,ทำไมหว่านอู๋ตี้ถึงได้มาป้องกันการโจมตีนั่นกัน?”บรรพชนชราผู้หนึ่งที่เอ่ยด้วยความตกใจ.
ทุกคนต่างก็เผยความสงสัย.
คิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหว่านอู่ตี้ถึงมาป้องกันการโจมตีของเจียงยวีที่โจมตีลู่อี้ผิง.
ที่ด้านหลังหว่านอู๋ตี้,เหล่าบรรพชนชราของตระกูลหว่า,เหล่าอาวุโสสูง,อาวุโสทั่วไปและกองกำลังตระกูลหว่านต่างก็มากันทั้งหมด.
ในเวลานั้น,หว่านอู๋ตี้ที่มายืนอยู่ด้านหน้าทุกคน.
สำนักไท่อี้,เจียงยวีที่จ้องมองหว่านอู๋ตี้,ใบหน้ามืดครึ้ม,ดวงตาที่เย็นชาเต็มไปด้วยความขุ่นข้องใจ“หว่านอู๋ตี้,เจ้าหมายความว่าอย่างไร?!”
หว่านอู๋ตี้ไม่ได้สนใจจ้องมองเจียงยวีสำนักไท่อี้ด้วยซ้ำ,ทว่าก้าวเดินไปด้านหน้าลู่อี้ผิง.
ทุกคนที่จ้องมองหน้ากันและกันอย่างงงวย,ไม่เข้าใจว่าหว่านอู๋ตี้ต้องการทำอะไร.
ขณะที่ทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัย,หว่านอู๋ตี้ก็ก้าวมาอยู่ด้านหน้าลู่อี้ผิง,ท่าทางเต็มไปด้วยเคารพ,พร้อมคุกเข่าลง“หว่านอู๋ตี้คารวะต้าเหริน!”
ทุกคนที่กลายเป็นเซ่อไปเลย.
ในเวลานั้น,หว่านอู๋ตี้ที่โขลกศีรษะเอ่ยออกมาว่า“หว่านอู๋นี้มาช้าไปก้าวหนึ่ง,ต้าเหรินโปรดอภัย!”
ทุกคนที่ตื่นตะลึงตกใจเป็นอย่างมาก.
ต้าเหริน?
ลู่อี้ผิง?
ขออภัย?
หมายความว่าอย่างไร?!
หลายคนที่เผยใบหน้าไม่อยากเชื่อ,หลายคนที่งงงวยไม่เข้าใจแม้แต่น้อย,แม้แต่เจียงยวีสำนักไท่อี้,บรรพชนหวงนิกายภูตหยิน,กู่เหล่ากุยวังปิศาจทมิฬ,ไป่อู๋ซ่างนิกายปิศาจน้ำพุเหลืองและคนอื่น ๆ ถึงกับตะลึงไปเลย.
หว่านอู๋ตี้,จ้าวทวีปเทพยุทธ์,จำนนต่อลู่อี้ผิงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน,ลู่อี้ผิงได้เดินทางไปยังเมืองเทียนตู่,ต่อสู้กับตระกูลหว่าน!ลู่อี้ผิงได้เข้าไปในดินแดนบรรพชนตระกูลหว่านแล้วหายเงียบไป.
เป็นไปได้ว่าเวลานั้น,หว่านอู๋ตี้ที่ยอมจำนนต่อลู่อี้ผิงแล้ว?
“ลุกขึ้น.”ลู่อี้ผิงจ้องมองหว่านอู๋ตี้ที่คุกเข่า,เอ่ยออกมาอย่างไม่แยแส.
หว่านอู๋ตี้ลุกขึ้นเต็มไปด้วยความเคารพอย่างที่สุด.
เจียงยวีสำนักไท่อี้จ้องมองหว่านอู๋ตี้ด้วยความเย็นชา“หว่านอู๋ตี้,ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยอมคุกเข่าจำนนต่อลู่อี้ผิง,วันนี้ข้าจะสังหารลู่อี้ผิง!”
“เจ้าไสหัวไปซะ! ไม่เช่นนั้น,ข้าจะกวาดล้างตระกูลหว่านของเจ้าไปพร้อม ๆ กันด้วย.”
ทว่าในเวลานั้น,กองทัพของหอเทพยุทธ์ได้เคลื่อนทัพมาใกล้ทวีปเทพยุทธ์แล้ว.
เพราะว่าหอเทพยุทธ์นั้นอยู่ในทวีปไกลออกมา,ดังนั้นจึงมาช้ากว่านิกายภูตหยิน,วิหารปิศาจทมิฬและนิกายปิศาจน้ำพุเหลือง.
เทพยุทธ์อู๋จิ่วเจว่,ที่เข้าใกล้ทวีปเทพยุทธ์,ปรากฏอารมณ์ซับซ้อน,ครุ่นคิดถึงอดีต,ไม่รู้ว่าอาจารย์เป็นอย่างไร,ชีวิตของเขาที่เข้าสู่ไม้ใกล้ฝั่งแล้ว,ไม่รู้ว่าก่อนสิ้นชีวิตจะได้พบกับอาจารย์หรือไม่?