Chapter 5 No one can pull up
无人能拔起
หลังรถลากที่จากไปแล้ว,พวกลู่อี้ปิงทั้งสามก็ไปยังโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองโหลวเสวี๋ย,โรงแรมจินเฟิง และพักอยู่ที่นั่นในคืนนั้น.
เช้าวันถัดมา,ก็เดินทางต่อ.
ลู่อี้ผิงที่นั่งอยู่บนราชรถ,พร้อมกับถือสุราหิมะ,ดื่มไปอึกหนึ่ง,ส่ายหน้าไปมา,รสชาติของสุราหิมะ,ยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไร้รส,แตกต่างจากรสชาติในอดีต,อย่างเทียบกันไม่ติดเลย.
“เจ้าควรจะรู้ว่า,นิกายเหล่ยฉิวเจี้ยนนั้น,บรรพชนชราที่แข็งแกร่งสุดตอนนี้คือใครอย่างงั้นรึ?”ลู่อี้ผิงสอบถามลู่เผิง.
ลู่เผิงที่เร่งรีบตอบกลับไปในทันที,“ควรจะเป็นหยางต้าเหริน.”
“ท่านหยางนั้นไม่เพียงเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยน(วังกระบี่สายฟ้า),ทว่ายังเป็นหนึ่งในสี่ของยอดฝีมือในราชวงศ์จักรพรรดิอู๋จี้,ทว่าท่านหยางนั้นไม่ได้ปรากฏตัวมาหลายปีแล้ว.”
“ทว่าตามข่าวลือนั้น,ท่านหยางนั้นมีศิษย์นามเฉินหงต้า ซึ่งเวลานี้กำลังต้องการรับศิษย์ส่วนตัวอยู่.
ดังนั้น,เซียวฉางเฟิง,กงจู่ไท่เหยียน,เจิ้งเยว่และคนอื่น ๆ ต่างก็มาด้วยเหตุผลนี้อย่างงั้นรึ?
“หยางตงล่ะ?”ลู่อี้ผิงที่ถามออกมาทันที.
หยางตง!
ใบหน้าของลู่เผิงที่สั่นไหวไปมา,“คุณชายเอ่ยถึงเทพกระบี่หยางตงอย่างงั้นรึ?!”
ผู้ได้รับฉายาเทพกระบี่ในทวีปเทพยุทธ์นั้น,ในรอบหนึ่งแสนปีมานี้,มีเพียงแค่สามคนเท่านั้น.
เทพกระบี่หยางตงรึ? ลู่อี้ผิงที่เผยท่าทางประหลาดใจ,ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด.
ลู่เผิงที่สูดหายใจลึก,เอ่ยออกมาว่า“เทพกระบี่หยางตรงนั้นหายไปกว่า 40,000-50,000 แล้ว!”
“หายไปอย่างงั้นรึ?!”ลู่อี้ผิงที่ขมวดคิ้วไปมา.
ลู่เผิงที่พยักหน้ารับ,“เทพกระบี่หยางตรงหายไป,เป็นหนึ่งในปริศนาของทวีปเทพยุทธ์เลย,เป็นไปได้ว่าท่านหยางอาจจะรู้ว่าเทพกระบี่หยางตงนั้นหายไปใน.”
“ท่านหยางก็คือบุตรของเทพกระบี่หยางตงนั่นเอง.”
บุตรของหยางตรงอย่างงั้นรึ?
ลู่อี้ผิงครุ่นคิด.
เจ้าหนูหยางตงหายไป 40,000-50,000 แล้วอย่างงั้นรึ? กล่าวอีกอย่างหนึ่ง,หลังจากที่เขาออกจากป่าศักดิ์สิทธิ์,เพียงหนึ่งหมื่นกว่าปี,ก็หายไปอย่างงั้นรึ?
หลังจากนั้นไม่นาน.
ราชรถก็มาถึงเชิงเขานิกายเหล่ยฉิวเจี้ยน
ที่นี่มีผู้คนมากมายมารวมตัวกัน แทบจะเรียกได้ว่าทะเลผู้คนก็ได้.
เท่าที่มองเห็น,คนเหล่านี้ล้วนแต่มาลงทะเบียนทดสอบ,มาจากตระกูลต่าง ๆ เวลานี้เข้าแถวเรียงกันยาวไปจนถึงยอดเขาแล้ว.
“คุณชาย,พวกเราจะไปลงทะเบียนทดสอบ.”ลู่เผิงที่กล่าวต่อลู่อี้ผิงด้วยความเคารพ.
“อืม,ไปเถอะ,ข้าจะไปเดินเล่นสักหน่อย.”ลู่อี้ผิงเอ่ย.
ดังนั้น,ลู่เผิงที่นำบุตรสาวลู่เสี่ยวยวีจากไป,ตรงไปยังพื้นที่ลงทะเบียน,เพื่อให้นางได้เข้าทดสอบเป็นศิษย์นิกายเหล่ยฉิวเจี้ยน.
ทว่าเวลาต่อมาลู่อี้ผิงที่เก็บราชรถทองคำกลับเข้าไปในหม้อจักรวาลพร้อมกับเดินออกไป.
ลู่อี้ผิงที่ก้าวเดินออกไปไม่ไกลนัก,จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังอื้ออึง,เป็นขบวนเสด็จของกงจู่ไท่เหยี่ยนราชวงศ์จักรพรรดิอู๋จี้ที่มาพร้อมกับเจิ้งเยว่ได้มาถึงแล้ว.
ขณะผู้คนมากมายรายล้อม,กงจู่ไท่เหยียนได้แหวกฝูงคนขึ้นเขา,ทันใดนั้นนางได้เห็นบุรุษชุดสีน้ำเงินก็ตกใจ,เป็นเขานีนา!
“ลุงสาม,นั่นคือชายหนุ่มคนนั้น!”กงจู่ไท่เหยียนเอ่ยกับชายวัยกลางคน.
ท่ามกลางฝูงชนมากมายกงจู่ไท่เหยียนที่จ้องมองไปยังลู่อี้ผิง,เอ่ยด้วยความประหลาดใจ“นั่นคือผู้เยาว์ที่มีราชรถทองคำที่ลากโดยวัวกระทิงทองคำเมื่อวานนี้อย่างงั้นรึ?”
“ใช่แล้ว,ลุงสาม,ท่านมีดวงตาฟ้าคราม,ท่านลองมองดูชายหนุ่มคนนั้นเขามีอะไรพิเศษหรือไม่?”กงจู่ไท่เหยี่ยนเอ่ย.
ในเวลานั้นดวงตาที่เบิกกว้างเปล่งแสงสีฟ้าครามออกมา,เขาที่จ้องมองเห็นชีพจร,จุดตานเถียน,พลังชีวิต,และกระดูกทั้งหมด.
จากนั้น,เขาก็ดึงสายตากลับ,ส่ายหน้าไปมา,“เขาไม่มีเจิ้นหยวน,ไม่มีพลังภายใน,ไม่ได้มีพลังวิเศษแต่อย่างใด.”
กงจู่ไท่เหยี่ยนได้ยินเข้า,ก็รู้สึกผิดหวังในใจ.
เมื่อวานที่กลับไป,นางคิดว่าชายชุดน้ำเงินนั้นไม่ธรรมดา,ทว่าไม่คิดเลยว่าจะไม่มีเจิ้นหยวน(ปราณแท้)และพลังภายในจริง ๆ.
เนตรฟ้าครามของลุงสามคือเนตรเทพโบราณ,สามารถเข้าใจแก่นและความสามารถของยอดฝีมือได้,ย่อมไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน.
ในเมื่อตรวจสอบว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตน,เช่นนั้นก็ไม่ใช่จริง ๆ.
ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิด.
เจิ้งเยว่ที่เห็นกงจู่ไท่เหยียนครุ่นคิดเกี่ยวกับลู่อี้ผิง,จึงเผยยิ้มเอ่ยออกมาเล็กน้อย“ข้าบอกแล้วว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพวิญญาณได้อย่างไร.”
กงจู่ไท่เหยี่ยนที่เลิกสนใจลู่อี้ผิง,ก่อนจะตรงไปยังพื้นที่ลงทะเบียน,พร้อมกับเหล่ายอดฝีมือราชวงศ์จักรพรรดิอู๋จี้
ลู่อี้ผิงที่เดินเรื่อยเปื่อยตรงไปถึงกำแพงกระบี่.
บนกำแพงกระบี่นั้น,มีรอยฟันของกระบี่ด้วยกระบวนท่าต่าง ๆ มากมาย,ซึ่งเวลานี้มียอดฝีมือจากตระกูลต่าง ๆ มายืนจ้องมองกันอยู่อย่างคับคั่ง,ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างก็มาตระหนักรู้เกี่ยวกับวิชากระบี่ดังกล่าวอยู่.
“คุณชาย.”ในเวลานั้น,ลู่เผิงที่นำบุตรสาวลู่เสี่ยวยวีไปลงทะเบียนเสร็จกลับมาหาลู่อี้ผิง,ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายจ้องมองกำแพงกระบี่อยู่,จึงเอ่ยออกมาว่า“นี่คือรอยกระบี่ ที่ท่านเทพกระบี่หยางตงทิ้งเอาไว้ในอดีต.”
“ในอดีนนั้นเทพกระบี่หยางตงเอ่ยออกมาว่า,รอยกระบี่บนผนังนี้สามารถให้ทุกคนทั่วโลกมาตระหนักรู้ทักษะกระบี่ได้,ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นศิษย์นิกายเหล่ยฉิวเจี้ยนและคนของตระกูลอื่น ๆ ไปจนถึงนิกายนับไม่ถ้วนต่างก็มาตระหนักรู้กันมากมาย.”
“รอยกระบี่บนกำแพงนี้มีอยู่ทั้งหมด 999 กระบวนท่า.”
“ทว่าหลายปีมานี้,คนที่ตระหนักรู้ได้ถึง 100 กระบวนท่านั้น,มีอยู่น้อยมาก.”
ขณะลู่เผิงอธิบาย,ลู่อี้ผิงได้จับจ้องมองไปยังกระบี่ยักษ์ที่ปักอยู่บนกำแพง.
บนกำแพงดังกล่าวนั้นเผยบางส่วนออกมาแต่กระนั้นก็มีความยาวกว่าหนึ่งเมตร,กล่าวได้ว่าความยาวของกระบี่นี้มีความยาวมากกว่ากระบี่ทั่วไปหลายเท่า.
“นั่นคือกระบี่เพลิงชาติของเทพกระบี่หยางตรงที่ปักเอาไว้หลายหมื่นปีแล้ว,หากใครสามารถดึงกระบี่เพลิงชาติออกมาได้,คนนั้นก็จะได้เป็นเจ้าของมันทันที.”ลู่เผิงที่ส่ายหน้าไปมา“ทว่า,หลายปีมานี้,ไม่มีใครสามารถดึงมันออกมาได้เลย,แม้แต่ท่านหยางเองก็ไม่สามารถ.”
กระบี่เพลิงชาติอย่างงั้นรึ?
ขณะที่ลู่อี้ผิงจ้องมองอยู่นั้น,ปรากฏผู้เยาว์วัย 16-17 ปีที่ก้าวเข้าไป,ที่ด้านหลังนั้นมีกลุ่มยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งตามมาด้วย.
“เทพยุทธ์น้อยเซียวเฉิงเฟิง!”เหล่าผู้คนรอบ ๆ ที่เห็นเข้าต่างก็เผยท่าทางตกใจ,ทำให้พื้นที่รอบ ๆ กลายเป็นวุ่นวายขึ้นมาทันที.
“คารวะนายน้อยเซียวฉางเฟิง!”
“คารวะเทพยุทธ์น้อย!”
ที่ด้านหน้ากำแพง,เหล่ายอดฝีมือมากมายต่างก็เร่งรีบเข้ามาทักทายเขา.
เซียวฉางเฟิงที่เผยยิ้มพร้อมกับพยักหน้าทักทายทุกคน.
“ปีที่แล้ว,ข้ามาดึงกระบี่เพลิงชาติ,แต่กับไม่อาจดึงออกมาได้,ในปีนี้ข้าได้เข้าถึงวิถีกระบี่ที่ลึกล้ำขึ้นกว่าเดิม,ต้องการดึงมันอีกครั้ง,หวังว่าจะไม่รบกวนทุกท่าน?”เซียวฉางเฟิงเอ่ยกับทุกคน.
“ไม่อยู่แล้ว.”เหล่ายอดฝีมือที่เร่งรีบส่ายหน้าไปมา.
ยอดฝีมือคนหนึ่งที่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม“ก่อนหน้านี้นายน้อยเซียวเฉาเฟิงเกือบจะดึงกระบี่เพลิงชาติออกมาได้แล้ว,ในครั้งนี้,นายน้อยมั่นใจมากกว่าเดิม,ข้าคิดว่านายน้อยจะต้องดึงกระบี่เพลิงชาติได้อย่างแน่นอน.”
ในอดีตนั้น,เซียวฉางเฟิงที่ดึงมันออกมาได้หนึ่งนิ้ว.
การที่บอกว่าเกือบดึงออกมาได้นั้น,ดูเหมือนว่ายังขาดไปอีกกว่าหนึ่งแสนเก้าพันลี้.
เซียวฉางเฟิงได้ยินผู้เชี่ยวชาญกล่าวยกยอ,ได้เผยยิ้มกว้าง,ก้าวไปที่ด้านหน้ากระบี่เพลิงชาติ,ร่างกายที่แผ่แรงกดดันออกมา,ริ้วแสงที่พุ่งทะยานออกจากร่างของเขา.
“กายเทวะต้าเฉียน!”
ในเวลานั้นผู้คนต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ.
เซียวฉางเฟิงมีกายาเทวะต้าเฉียนที่เวลานี้ถูกกระตุ้นไปจนถึงขีดสุด,บรรยากาศที่กลายเป็นที่จับตามอง,เสื้อของเขาที่โบกสะบัด,ปราณกระบี่ที่พวยพุ่งทะยานท้องฟ้า.
เหล่าผู้ฝึกตนที่มีพลังอ่อนแอ,ต่างก็ตกใจถอยหลังออกมาหลายก้าว.
เซียวฉางเฟิงที่คำรามลั่น,ราวกับสายฟ้าคำราม,มือสองข้างที่กุมไปที่ด้ามกระบี่ทันที,จากนั้นก็เริ่มดึงออกมาสุดแรง.
ทันใดนั้น,กระบี่เพลิงชาติที่เปล่งรัศมีแสงสว่างจ้า.
ร่างกายของเซียวฉางเฟิงที่เปล่งรัศมีแสงปะทะกับรัศมีสีแดงของกระบี่เพลิงชาติ,ที่เวลานี้มันเริ่มขยับช้า ๆ.
ในเวลานั้น,เขาก็ดึงออกมาได้หนึ่งนิ้ว.
เซียวฉางเฟิงที่ยังคงคำรามดัง,เร่งพลังไปจนถึงขีดสุด,หลังจากกระบี่เพลิงชาติผุดออกมาได้หนึ่งนิ้ว,จากนั้นไม่ว่าเซียวฉางเฟิงใช้พลังไปเท่าไหร่,เร่งปราณกระบี่มากมายขนาดใหน,กับไม่อาจดึงออกมาได้อีกเลยแม้แต่นิดเดียว.