Chapter 49 The female of Luo Family
洛家之女
ดินแดนบรรพชนสำนักอาชูร่า,ตั้งอยู่ด้านหลังเขาทะเลทมิฬ.
อย่างไรก็ตาม,ภายในดินแดนบรรพชนเวลานี้กับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย,ลมปราณวิญญาณที่แห้งเหือด,อย่าว่าแต่สมุนไพรวิญญาณเลย,แม้แต่หญ้าวิญญาณยังไม่มีด้วยซ้ำ,ทั่วทั้งดินแดนบรรพชน,เต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวเหงาหงอย,ทุกอย่างดูเย็นยะเยือบ,ราวกับเป็นพื้นที่แห้งแล้งมานานหลายปี.
เห็นชัดเจนว่า,ชีพจรวิญญาณในดินแดนบรรพชน,ได้ถูกช่วงชิงไปหมดแล้ว.
นอกจากนี้ของล้ำค่าในดินแดนบรรพชนทั้งหมด,ต่างก็ถูกเก็บกวาดไปจนสิ้น.
ลู่เผิงที่ตามหลังลู่อี้ผิงมา,เห็นดินแดนบรรพชนเวลานี้ ก็เผยความเจ็บปวดขมขื่นอย่างที่สุดออกมา.
หลายสิบปีก่อนเมื่อเข้าเคารพเป็นคนของสำนักอาชูร่า,แม้นว่าจะเป็นเพียงสำนักชั้นสอง,ทว่าศิษย์สำนักอาชูร่าก็มีจำนวนถึงหมื่นคน,ทั่วทั้งเทือกเขาทะเลทมิฬดูคึกคักเป็นอย่างมาก,เมื่อเห็นดินแดนที่อ้างว้างโดดเดี่ยวเช่นนี้ก็ทำให้เศร้าใจไปเหมือนกัน.
ในเวลานั้น,ลู่อี้ผิงที่ยกมือขึ้นหนึ่งขึ้นผลักมันไปด้านหน้าบนอากาศที่ว่างเปล่า,เวลานั้นลำแสงสีทองที่พุ่งไปยังส่วนลึกของดินแดนบรรพชน,ทั่วทั้งดินแดนบรรพชนที่กำลังสั่นไปมา ก่อนแผ่รัศมีแสงสีทองปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าทันที.
พลังที่มากล้นกำลังหลั่งไหลราวกับน้ำหลาก,พลังก่อกำเนิดที่ส่วนลึกของพื้นดินกำลังสั่นไหว.
ลู่เผิงที่ตกใจเป็นอย่างมาก,นี่คือพลังแก่นกำเนิดของดินแดนบรรพชนอย่างงั้นรึ?
หลายปีมานี้,สำนักอาชูร่าไม่เคยมีใครสามารถกระตุ้นแก่นกำเนิดของดินแดนบรรพชนได้เลย,เวลานี้ลู่อี้ผิงกับสามารถกระตุ้นแก่นกำเนิดของดินแดนบรรพชนได้อย่างง่ายดาย อย่างคาดไม่ถึง?
พลังลึกลับนี้,ลู่อี้ผิงรู้ได้อย่างไร?
ลู่เผิงที่รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากในใจ.
ริ้วแสงในมือของลู่อี้ผิง,ชีพจรวิญญาณหนึ่งเส้นที่ลอยออกไป,พลังวิญญาณเทวะที่แผ่ออกมา,ราวกับทะเลคลั่งที่ไหลบ่ากระจายไปทั่วดินแดนบรรพชน.
“ชีพจรวิญญาณระดับเทวะ!”ลู่เผิงที่อุทานออกมาด้วยความตกใจ.
หลังจากชีพจรวิญญาณระดับเทวะลอยออกไป,ริ้วแสงเส้นหนึ่งที่ลอยละล่องบนท้องฟ้า,ก่อนที่จะลอยพุ่งลงไปยังส่วนลึกของดินแดนบรรพชน,ผสานเข้ากับแก่นต้นกำเนิดของดินแดนบรรพชนอาชูร่า.
ทันใดนั้น,พื้นที่แห้งแล้ง,เปล่าเปลี่ยวก็ถูกเปลี่ยนเป็นมีชีวิตขึ้นมาทันที,ลมปราณวิญญาณที่มากล้นกระจายไปทั่ว,อากาศที่แห้งเหือดกลับมาอุดมสมบูรณ์,ทุกอย่างที่เปลี่ยนไปในบัดดล.
บนยอดเขาสูงที่แห้งเหี่ยว เริ่มมีต้นไม้ใบหญ้าเกิดขึ้น.
ลมปราณวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์,ลู่เผิงที่สูดหายใจลึก,รูขุมขนที่เบิกกว้าง,ราวกับว่าจิตใจได้รับการชำระล้าง.
“หลังจากนี้,แก่นกำเนิดบรรพชนอาชูร่า,จะอยู่ในการควบคุมของเจ้า.”ลู่อี้ผิงเอ่ย.
“ข้า? ไม่ได้ ๆ.”ลู่เผิงที่ได้ยินที่ตื่นตะหนก,เอ่ยออกมาว่า“คุณชาย,ข้าเป็นเพียงอาวุโสเล็ก ๆ เท่านั้น,นอกจากนี้ยังมีความแข็งแกร่งที่อ่อนแอ,บางทีสำนักอาชูร่าอาจจะยังมีอาวุโสใหญ่เหลืออยู่.”
ลู่อี้ผิงที่เอ่ยขัด“ข้าให้เจ้าควบคุม,ทุกการควบคุมก็จะมีเพียงเจ้าที่ควบคุมได้.”
เห็นอีกฝ่ายที่ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง,ท้ายที่สุดเขาก็เอ่ยกล่าวตอบรับด้วยความเคารพ.
“แม้นว่าตอนนี้เจ้าจะศึกษาวิชากระบี่อาชูร่าเพียงระดับเริ่มต้น,ทว่าพลังบ่มเพาะของเจ้าก็ยังคงดูธรรมดา.”ลู่อี้ผิงเอ่ย“ข้าจะส่งชุดวิชาบ่มเพาะราชวงศ์อาชูร่ายุคโบราณให้เจ้าได้บ่มเพาะ”จากนั้นที่ลำแสงจาดนิ้วของลู่เผิงก็ถูกส่งออกไปประทับเข้าไปบนหน้าผากของลู่อี้เผิง.
วิชาบ่มเพาะราชวงศ์อาชูร่า,นั้นเป็นวิชาบ่มเพาะที่ต้องฝึกฝนด้วยลมปราณเทวะในดินแดนบรรพชนอาชูร่า,ก่อนหน้านี้เขาได้มอบเม็ดยาทองคำเทพแท้จริงให้ลู่เผิงไปแล้ว,มันจะช่วยทำให้ระดับบ่มเพาะของเขายกระดับแบบก้าวกระโดด.
จากนั้น,ลู่อี้ผิงก็สั่งการให้พวกจางจินทั้งสี่แม้แต่หวงจิวฟินิกซ์เซียนทองคำทำการเปลี่ยนแปลงสภาพเทือกเขาทะเลทมิฬ.
ในขณะที่พวกจางจินกำลังปรับสภาพเทือกเขาทะเลทมิฬ,เจ้าจื่อเห่าก็กลับวิหารเทพยุทธ์,ซึ่งเป็นสาขาประจำทวีปเทพยุทธ์นั่นเอง.
บิดาของเจ้าจื่อเห่า,เจ้าเซี่ยง ที่เห็นหน้าอกของเจ้าจื่อเห่ามีรอยกระบี่ที่ฟันเป็นรอยลึกไปจนถึงกระดูก,ก็เอ่ยสอบถามอีกฝ่ายทันที.
หลังจากได้ฟังเรื่องราว,เจ้าเซี่ยงที่ใบหน้ากลายเป็นบิดเบี้ยว “ลู่อี้ผิงกล่าวเตือนไม่ให้พวกเราใกล้ชิดกับวิหารปิศาจทมิฬอย่างงั้นรึ?”
“ใช่,เขาเอ่ยว่าหากหอเทพยุทธ์และวิหารปิศาจทมิฬยังคงคบหากันอยู่,เวลานั้นก็อย่าโอดครวญก็แล้วกัน.”เจ้าจื่อเห่าพยักหน้ารับ.
“หอเทพยุทธ์ของพวกเราจะคบหากับใคร,ก็เป็นเรื่องของหอเทพยุทธ์,ลู่อี้ผิงเอ่ยอะไร,เราก็ต้องทำตามรึไง!”รองหัวหน้าสาขาเทพยุทธ์,ยวีจื่อฟางกล่าวหยัน“เขาคิดว่าตัวเองเป็นจ้าวพิภพเหิงหยวนรึไง? ทุกคนทั่วโลกถึงต้องเชื่อฟังเขา? นี่มันเรื่องน่าหัวเราะ บัดซบอันใดกัน!”
เจ้าเซี่ยงที่ดูลังเลเล็กน้อย“ลู่อี้ผิงเดินทางไปกับอาวุโสเล็ก ๆ สำนักอาชูร่าอย่างคาดไม่ถึง,นอกจากนี้เขายังสังหารเข่อเจี่ย, ไม่ลังเลที่จะล่วงเกินหยางซือหยวนและสำนักเฟยฮัวเลย,นี่เขาและสำนักอาชูร่าเกี่ยวข้องอันใดกัน?”
“เท่าที่ดู,ดูเหมือนว่าลู่อี้ผิงและสำนักอาชูร่าจะเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกัน!”
“เอาล่ะ เวลานี้แจ้งไปยังวิหารปิศาจทมิฬและสำนักเฟยหัวก่อน,บอกพวกเขา ว่าเข่อเจี่ยถูกลู่อี้ผิงสังหารไปแล้ว!”
......
ลู่อี้ผิงที่อยู่ที่เทือกเขาทะเลทมิฬเป็นเวลาสองวัน.
จากนั้นเขาก็ออกเดินทางมุ่งไปยังเมืองหลวงจักรวรรดิไป่ฮัว.
ศูนย์ใหญ่สำนักเฟยฮัวนั้นอยู่ใกล้กับเมืองหลวงไป่ฮัว,อยู่ไม่ไกลกันนัก,อาจกล่าวได้ว่าข้ามเมืองหลวงไป่ฮัวไปก็เป็นสำนักเฟยฮัว.
ในระหว่างเดินทาง ยิ่งใกล้เมืองหลวงไป่ฮัว,ก็ยิ่งพบกับสตรีมากขึ้นเท่านั้น,น้อยครั้งที่จะได้พบกับบุรุษ.
“จักรวรรดิไป่ฮัว,เป็นอาณาจักรสตรี,ที่มีแต่สตรีรึไง.”วัวกระทิงมังกรเขาทองคำที่กวาดตามองเหล่าสตรีที่มีมากมาย.
เหล่าสตรีที่พวกเขาเห็น,นับว่าเต็มไปด้วยสตรีที่งดงามไม่น้อย.
จางจินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“จักรพรรดินิไป่ฮัว,จียวีนั้น,เป็นดั่งวีระสตรี,เหล่าข้าราชบริพารกว่า 90% เป็นสตรี,กล่าวได้ว่า ที่นี่เป็นดินแดนของสตรีก็ไม่แปลก,แม้แต่เจ้านิกายและประมุขตระกูลล้วนแต่มีสตรีนั่งครองตำแหน่งทั้นนั้น,ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าจักรวรรดิไป่ฮัวคือดินแดนสตรีเป็นใหญ่นั่นเอง.”
เมื่อลู่อี้ผิงมาถึงเมืองหลวงไป่ฮัว,พบว่าเมืองหลวงนั้นมีบุรุษน้อยมากจริง ๆ,จำนวนคนสิบคน จะมีสตรีไปถึงเก้าคนแล้ว.
ทุกหนทุกแห่ง บนถนน,แม้แต่บนสนามประลอง,คู่ต่อสู้บนเวทีประลองล้วนแต่เป็นสตรีทั้งหมด.
“จูเหริน,ข้าเองก็อย่างลองมาอยู่ที่นี่ดูเหมือนกัน.”วัวกระทิงเขาทองคำที่รู้สึกมองเห็นแล้วคันขึ้นมาในใจ.
ลู่อีผิงเผยยิ้ม“เจ้ามาที่นี่,ไม่ใช่ว่าต้องการมาหาเหล่ากระทิงสาวหรอกรึ?”
ในเวลาเดียวกัน,ทันใดนั้น,เสียงของผู้คนก็ดังอื้ออึงดังก้องกังวานไปทั่วทุกที่
“ธิดาศักดิสิทธิ์โหลวถง!”
“ธิดาศักดิ์สิทธิ์โหลวถง!”
ลู่อี้ผิงที่จดจ้องมองออกไป,เห็นที่ไกลออกไปเห็นราชรถคันงามที่หรูหราเคลื่อนที่ช้า ๆ เข้ามา.
ด้านหน้าของราชรถ,มีกลุ่มทหารอารักขาจำนวนมากกว่าร้อยคน.
บนราชรถนั้นมีสตรีที่งดงามล่มเมืองนั่งอยู่.
ในทวีปเทพยุทธ์,ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดจำนวนสี่ตระกูล,ประกอบด้วย ตระกูลหว่านคือตระกูลอันดับหนึ่ง,ตระกูลอวิ๋นคือตระกูลอันดับสุดท้าย,ส่วนรองจากตระกูลหว่านก็คือตระกูลโหลวนั่นเอง.
บรรพชนชราตระกูลโหลว,กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในสามของเทพกระบี่ทวีปเทพยุทธ์,โหลวหนิง กล่าวได้ว่าเป็นเทพกระบี่เพียงคนเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในทวีปเทพยุทธ์แห่งนี้.
โหลวถงเป็นสตรีของตระกูลโหลว,ถือเป็นผู้เยาว์อัจฉริยะเหมือนกับอวิ๋นไห่เทียน,ทว่ากับมีชื่อเสียงมากกว่าอวิ๋นไห่เทียนและเจ้าจื่อเห่าไปมาก.
เพราะโหลวถงไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนของตระกูลโหลว,ทว่ายังเป็นศิษย์ของเจียงซู่ซู่ บรรพชนชราสำนักไท่อี้อีกด้วย.
เจียงซู่ซู่ เป็นน้องสาวในสายโลหิตของเจียงยวี.
เหล่าผู้คนรอบ ๆ ถนน,ผู้ฝึกตนต่างก็เห็นราชรถตรงมาต่างก็เปิดทางทันที มีแม้แต่บางคนที่คุกเข่าลงด้วยความตื่นเต้น.
“ธิดาศักดิ์สิทธิ์โหลวถงมาครั้งนี้,ได้ยินมาว่ากำลังไปเยือนสำนักเฟยฮัว,ว่ากันว่านางและเจ้าสำนักเฟยฮัวนั้น เป็นดั่งพี่สาวน้องสาวที่สนิทกัน!”
“มีคนเอ่ยว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์เชี่ยวชาญสองวิถี,เป็นสตรีที่งดงามเป็นอย่างมาก,ไม่รู้ว่าใครจะเป็นบุรุษที่โชคดีที่ได้รับความโปรดปราณจากนาง,ได้ยินมาว่าคุณชายเจ้าจื่อเห่า,คุณชายเฉินหยวนเองก็สนใจในตัวนาง,ไม่รู้ว่าใครกันที่จะได้ใจของธิดาศักดิ์สิทธิ์โหลวถงไปครอง.”
ภายในฝูงชนที่มีเสียงกระซิบกระซาบกันเบา ๆ.
เพียงไม่นาน,ขบวนของโหลวถงก็มาถึงจุดที่ราชรถทองคำอยู่.