Chapter 43 Possibly is Heavenly God?
可能是一尊天神?
“ลู่อี้ผิง,เจ้าจะมากเกินไปแล้ว!”ประมุขตระกูลหว่าน,หว่านเฉิง,ที่ไม่อาจระงับความโกรธเอาไว้ได้,กล่าวคำรามดังลั่น“ถึงจะเป็นบุตรสวรรค์จากจิวเทียน,ก็ไม่มีใครกล้าสามหาวกับบิดาของข้า!”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?!”
“คิดว่ามีเวลาว่างแล้วค่อยไปตระกูลหว่านของข้าอย่างงั้นรึ?!”
“นี่ตระกูลหว่านของข้าไร้ศักดิ์ศรีขนาดที่ใครบอกว่าจะไปตอนไหนก็ได้อย่างงั้นรึ?!”
ประมุขตระกูลหว่าน,หว่านเฉิงที่กล่าวคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว.
บิดาของเขาหว่านอู๋ตี้,ยอดฝีมือแห่งยุค,บุคคลอันดับหนึ่งของทวีปเทพพระยุทธ์,ในทวีปเหิงหยวน สิบสุดยอดฝีมือ เขายังเป็นถึงอันดับสี่อีกด้วย.
ถึงจะเป็นผู้ก่อตั้งสำนักไท่อี้,สำนักอันดับหนึ่งของพิภพเหิงหยวน,เจียงยวีก็ยังไม่กล้าละเลยบิดาของเขาเลย.
ทว่าสิ้นเสียงของประมุขตระกูลหว่าน,เมื่อหว่านเฉิงเอ่ยจบ,เขาก็พบว่า,มีกลิ่นอายที่ทรงพลังหนักหน่วงรุนแรงพุ่งออกจากลู่อี้ผิง,ร่างของเขาที่ลอยกระเด็นเคว้งไปบนอากาศ,ร่างกายของเขาที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังกาลอากาศ,พลังอำนาจที่ราวกับจะทำลายโลกทั้งใบให้พังทลายลง.
เขาตื่นตะลึงตกใจอย่างที่สุด.
“ไสหัวไป!”เสียงของลู่อี้ผิงราวกับสายฟ้าฟาด.
เปรี้ยง!
ห้วงมิติที่สั่นไปมาอย่างรุนแรง.
ประมุขตระกูลหว่าน,หว่านเฉิงลอยออกไปไกลจนล่วงหล่นอยู่ด้านนอกคฤหาสน์,อวัยวะภายในทั้งเก้าที่หลั่งโลหิตออกมา,แม้แต่ดวงตาของเขาก็ด้วย.
เหล่ายอดฝีมือตระกูลหว่านที่รอคอยอยู่ด้านนอก,เห็นประมุขลอยกระเด็นออกมา,ก็เผยความตื่นตะลึงตกใจเป็นอย่างมาก.
“ประมุข!”
คนของตระกูลหว่านที่อุทานออกมาพร้อมกัน.
ประมุขตระกูลหว่านที่จริงไม่ได้สนใจโลหิตทีไหลซึมออกมาเลย,ใบหน้าที่จ้องมองไปยังทิศทางของสวนด้านในคฤหาสน์ เผยความหวาดกลัวต่อลู่อี้ผิงเป็นอย่างมาก.
“ไปกินดีหมี หัวใจสุนัขมาจากที่ใหนกัน,คาดไม่ถึงว่า ลู่อี้ผิงและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจะกล้าลงมือกับท่านประมุข!”บรรพชนชราผู้หนึ่งเอ่ยด้วยความโกรธ,เตรียมที่จะพุ่งเข้าไป.
อย่างไรก็ตามประมุขตระกูลหว่าน,หว่านเฉิงที่เร่งรีบห้ามอีกฝ่าย,แทบลืมหายใจ“หยุด!!”
เหล่ายอดฝีมือทั้งหมดของตระกูลหว่าน,จ้องมองประมุขหว่านเฉิง,หว่านเฉิงที่เอ่ยออกมาว่า“ข้าทำตัวเอง!”
ทำตัวเองอย่างงั้นรึ?
ทุกคนที่จ้องมองประมุข,หว่านเฉิง,ด้วยความงงงวยอ้าปากหวอ.
“พวกเรากลับกันก่อน.”ประมุขตระกูลหว่าน,หว่านเฉิงเอ่ยออกมา,เขาไม่แม้แต่กลืนเม็ดยาฟื้นฟู,ไม่อธิบายอะไร เร่งรีบจากไปทันที.
ยอดฝีมือตระกูลหว่านเห็นประมุขตระกูลหว่านหว่านเฉิงจากไป,ต่างก็จ้องมองหน้ากันและกันด้วยความตกใจ.
ในเวลานั้น,สายฟ้าบนท้องฟ้าที่ค่อย ๆ หายไปอย่างรวดเร็ว,อากาศบนท้องฟ้ากลับมาส่องสว่างเจิดจ้าเป็นปรกติ.
หลังจากประมุขตระกูลหว่านจากไป,ลู่อี้ผิงก็กลับห้อง,บำเพ็ญวิชาอมตะต่อ.
ทว่าหลังจากที่ประมุขตระกูลหว่านหว่านเฉิงกลับมาถึงตระกูลหว่าน,ก็เข้าไปในดินแดนบรรพชนเข้าพบกับหว่านอู๋ตี้,เอ่ยกล่าวขอโทษ,“ท่านพ่อ,ลู่อี้ผิงเอ่ยว่ามีเวลาแล้วจะมายังตระกูลหว่าน.”
หว่านอู๋ตี้เผยท่าทางประหลาดใจ,แววตาเผยความเย็นชาออกมา.
“คัมภีร์ลับหมัดเทวะเพลิงทองคำอยู่กับเขาจริง ๆ,เพียงแต่ว่า...”ประมุขตระกูลหว่านที่เอ่ยอักอ่วน.
“เพียงแต่อะไร?”หว่านอู๋ตี้ที่จ้องอีกฝ่ายเขม็ง.
“เพียงแต่,เขาเอ่ยว่าหมัดเทวะเพลิงทองคำไม่ใช่ของตระกูลหว่านของพวกเรา.”ประมุขตระกูลหว่าน,หว่านเฉิงก้มหน้า,เอ่ยเสียงเบา“นอกจากนี้,เขาเอ่ยว่า,เขาไม่เคยคิดจะคืนตำราดังกล่าวให้กับตระกูลหว่านเลย.”
พริบตานั้น,กลิ่นอายที่ไร้เทียมทาน,แผ่ออกจากร่างของหว่านอู่ตี้.
กลิ่นอายที่ไร้เทียมทานของหว่านอู๋ตี้ที่ทำให้ดินแดนบรรพชนตระกูลหว่านสั่นไปมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว.
ประมุขตระกูลหว่าน หว่านเฉิงตกใจ ถอยออกมาสองสามกล่าว,เอ่ยด้วยความอัศจรรย์ใจ“ท่านพ่อ,ท่านตัดผ่านระดับแล้วอย่างงั้นรึ?!”
หว่านอู๋ตี้พยักหน้ารับ.
ประมุขตระกูลหว่าน,หว่านเฉิงที่เผยความประหลาดใจ,ทว่าเมื่อคิดถึงกลิ่นอายที่น่าพรั่นพึงของลู่อี้ผิงก็หวาดกลัวฝังจิต,เอ่ยอย่างลังเล,“ท่านพ่อ ลู่อี้ผิงนั้นแข็งแกร่งมาก,ความแข็งแกร่งของเขาควรมีระดับเทพสวรรค์! เกรงว่าไม่ได้อ่อนแอกว่าท่านพ่อ!”
หว่านอู๋ตี้ที่ตะลึงไปในทันที.
“เทพสวรรค์? เจ้าบอกว่าลู่อี้ผิง,อาจจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพสวรรค์อย่างงั้นรึ?”เขาไม่อยากเชื่อเลยแม้แต่น้อย.
ประมุขตระกูลหว่าน,หว่านเฉิงที่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้,เอ่ยออกมาว่า“เรื่องนี้,ข้าเองก็ไม่อาจสรุปได้.”จากนั้นเขาก็เอ่ยเล่ารายระเอียดทั้งหมดให้หว่านอู๋ตี้ฟัง.
หว่านอู๋ตี้ได้ยิน,ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา,กล่าวอย่างลังเล“ลู่อี้ผิงแข็งแกร่งขนาดนี้เลยงั้นรึ?!”อย่างไรก็ตาม,เขาก็เอ่ยกล่าวอย่างมั่นใจออกมาเช่นกัน “ทว่ายอดฝีมือเทพสวรรค์ ก็มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ,ถึงเขาจะเป็นเทพสวรรค์แล้วอย่างไร,ข้ายังมั่นใจว่าสามารถกำราบเขาได้!”
“เขามายังดินแดนบรรพชนตระกูลหว่านเมื่อไหร่,ด้วยพลังของต้นกำเนิดของดินแดนบรรพชนด้วยแล้ว,ข้าค่อยกำราบเขาก็ได้ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร!”
สองสามวันหลังจากนั้น.
มีข่าวใหม่ที่กระจายออกมา.
“นิกายปิศาจน้ำพุเหลืองได้ยืนยันแล้ว,บรรพชนชรา นิกายน้ำพุเหลืองสวีซิวนั้นได้ตายไปแล้ว!”
ข่าวดังกล่าว,เหมือนกับก้อนหินใหญ่ที่ถูกทิ้งลงบนผืนน้ำ ก่อเกิดคลื่นกระจายออกไปรอบ ๆ ทันที.
ในเมื่อบรรพชนชรานิกายปิศาจน้ำพุเหลืองสวีซิวตายแล้ว!
ตอนนี้เหรียญตาของสวีซิวอยู่กับลู่อี้ผิงได้อย่างไร!
ตระกูลหลง,นายน้อยหลงเหิงเฟิงได้รับข่าว,ก็กล่าวหยัน“ในเมื่อยืนยันได้ว่าสวีซิวตายแล้ว,นิกายปิศาจน้ำพุเหลืองจะต้องเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!”
ยอดฝีมือตระกูลหลงคนหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“ยอดฝีมือนิกายภูตหยินเมื่อตรวจสอบแล้วว่าเขามาจากจิวเทียนหรือไม่? ข้าเชื่อว่า พวกเขาคงจะลงมือเร็ว ๆ นี้เช่นกัน.”
“ได้ยินมาว่าวังปิศาจทมิฬได้ยืนยันแล้ว,อาวุโสใหญ่มารตะวันตก ถูกคนของเขาสังหาร,เกรงว่าวังปิศาจทมิฬคงจะไม่ยอมเช่นกัน.”
นิกายปิศาจน้ำพุเหลือง!
นิกายภูตหยิน!
แม้แต่วังปิศาจทมิฬอีกแห่งด้วย!
ถึงจะเป็นสำนักไท่อี้เองก็ไม่กล้ารับมือกับทั้งสามกลุ่มอิทธิพลพร้อม ๆ กัน.
“ทว่า,พวกเราต้องหาวิธีให้ได้รับเพลงหมัดเทวะเพลิงทองคำก่อนที่นิกายปิศาจน้ำพุเหลือง,นิกายภูตหยินและวังปิศาจทมิฬจะลงมือ.”นายน้อยตระกูลหลง,หลงเหิงเฟิงที่เผยแววตาที่ลึกล้ำออกมา.
ตระกูลหลงและตระกูลหว่านนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน.
หากสามารถได้รับหมัดเทวะเพลิงทองคำ,แน่นอนว่ามันจะทำให้ตระกูลหลงสามารถหักหน้าตระกูลหว่านได้อีกด้วย.
ภายในคฤหาสน์ของสวีซิว,ลู่อีผิงที่ขมวดคิ้วไปมา,ไม่คิดว่าสองสามวันมานี้,คนที่นำเหรียญตราแห่งทวยเทพและหยกสืบทอดออกประมูล,ทำไมยังไม่ปรากฏ.
อีกฝ่ายไม่ต้องการศิลาวิญญาณต้นกำเนิดเกรดเทวะจากหอการค้าความลับสวรรค์หรอกรึ?
ศิลาวิญญาณต้นกำเนิดเกรดเทวะ,เขาได้ประทับตราจิตเทวะของเขาไว้แล้ว,ขอเพียงอีกฝ่ายมารับมันไป,เขาก็จะรับรู้ทันที.
อย่างไรก็ตาม,ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ปรากฏ,เขาก็ไม่อาจลงมือทำอะไรต่อไปได้.
ลู่อี้ผิงที่เอ่ยกับวัวกระทิงมังกรเขาทองคำ,“เตรียมตัว,พรุ่งนี้พวกเราจะไปยังจักรวรรดิไป่ฮัว.”
แน่นอนว่าเขาจะต้องเดินทางไปยังสำนักเฟยฮัว,จัดการเรื่องสำนักอาชูร่า.
ตลอดจนแวะไปยังเทือกเขาทะเลทมิฬด้วย.
เทือกเขาทะเลทมิฬคือสถานที่ตั้งเดิมของสำนักอาชูร่านั่นเอง.
ส่วนคนชุดดำหน้ากากผี,ขอเพียงอีกฝ่ายมารับศิลาต้นกำเนิดเกรดเทวะไปเมื่อไหร่,ก็ไม่มีทางหนีเขาพ้น.
ได้ยินลู่อี้ผิง เอ่ยว่าจะไปยังจักรวรรดิไป่ฮัว,วัวกระทิงมังกรก็เผยยิ้มพราย“จูเหริน,แวะไปยังเทือกเขาวัวปิศาจด้วยใหม?”
ลู่อี้ผิงที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด,“เจ้ากำลังฝันหวานอะไรอยู่!”
แน่นอนว่าเขาเข้าใจความคิดวัวกระทิงมังกรได้.
เทือกเขากระทิงปิศาจนั้น,เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวัวกระทิง,เป็นที่อยู่ของเผ่าวัวกระทิง,ย่อมมีสตรีเผ่าวัวกระทิงที่งดงามมากมาย.
คิดถึงเรื่องที่จะแวะไปยังที่ตั้งสำนักอาชูร่าเดิม,ลู่อี้ผิงจึงได้ตัดสินใจนำลู่เผิงและลู่เสี่ยวยวีไปด้วย.
ส่วนซ่งหนิงและคนของนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยน,ธุระที่จักรวรรดิเป่ยโตวเสร็จสิ้นแล้ว,จึงได้ให้กลับนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยนไป.
ในเวลานั้นวังหลวงจักรวรรดิเป่ยโตว,มหาจักรพรรดิโจวติงเทียน รู้ว่าลู่อี้ผิงออกจากเมืองหลวงไปในที่สุด,ก็พ่นลมหายใจยาว,หลายวันมานี้เขาต้องอกสั่นขวัญหาย,กลัวว่านิกายปิศาจน้ำพุเหลือง,กองทัพนิกายภูตหยินจะยกทัพมา,หากนิกายปิศาจน้ำพุเหลืองและนิกายภูตหยินยกทัพมาแล้วล่ะก็,เกรงว่าเขาคงทำได้แค่หลบลี้หนีหายไปเท่านั้น.
หลังจากออกจากเมืองหลวงจักรวรรดิเป่ยโตว,ลู่อี้ผิงก็มุ่งสู่จักรวรรดิไป่ฮัว.
สองสามวันหลังจากนั้น.
ลู่อี้ผิงก็มาถึงพื้นที่แห่งหนึ่ง,ที่ด้านหน้านั้น,มีวิหารที่พังทลายอยู่.