Chapter 3 Dragon Horn Golden Bull
龙角金牛
ลู่เผิงได้ยินว่าลู่อี้ผิงจะเดินทางไปยังนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยนด้วยกัน,ก็ดีใจเป็นอย่างมาก,ก่อนจะเร่งรีบเก็บของอย่างเร็วไว.
เช้าวันถัดมา,ทั้งสามก็ก้าวออกจากหมู่บ้าน.
“คุณชาย,การเดินทางไปยังนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยน,ระยะทางค่อนข้างไกล,พวกเราควรที่จะซื้อรถม้าที่เมืองด้านหน้าหรือไม่?”ลู่เผิงที่เอ่ยถามความเห็นลู่อี้ผิง.
ตอนนี้พวกเขาอยู่ทางภาคใต้ของทวีปเทพยุทธ์,ทว่านิกายเหล่ยฉิวเจี้ยนนั้นอยู่ทางภาคเหนือของทวีปเทพยุทธ์.
“ซื้อรถม้าอย่างงั้นรึ?”ลู่อี้ผิงส่ายหน้าไปมา,“ไม่จำเป็นข้ามี.”จากนั้นเขาที่โบกมือนำราชรถออกมาจากหม้อจักรวาล.
ลู่เผิงและลู่เสี่ยวยวีที่เห็นราชรถ,ดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า.
ราชรถที่ปรากฎด้านหน้า,ตัวเรือนของมันสร้างขึ้นมาจากท้องคำ,ส่องแสงสีเหลืองอร่ามแสบตา.
นอกจากนี้ยังมีวัวกระทิงตัวหนึ่งที่มีร่างกายเป็นโลหะสีทองอีกด้วย.
แม้แต่ขนเองก็เป็นสีทอง,เขาด้านหน้าของมันเองก็เป็นสีทองด้วยเช่นกัน.
“คุณชาย,พวกเราจะใช้วัวลากรถอย่างงั้นรึ?”ลู่เผิงที่เอ่ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดูซับซ้อน.
ลู่อี้ผิงที่คาดเดาความคิดของทั้งสองได้,จึงเอ่ยออกมาว่า“รถเทียมวัวนี้ความเร็วไม่เลวเลย.”อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้อธิบายแต่อย่างใด“ขึ้นรถได้แล้ว.”
วัวกระทิงตนนี้นะรึ? แน่นอนว่าไม่ใช่,เขาพบมันที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามังกร,มันถูกเรียกว่ากระทิงมังกรเขาทองคำ,มันเป็นลูกหลานของเผ่ามังกรสายฟ้า,นอกจากนี้มันยังได้รับสายโลหิตทัณฑ์สายฟ้าจากบรรพชนมังกรสายฟ้าและมังกรทองคำเก้าเล็บอีกด้วย.
ท่ามกลางสวรรค์และปฐพี,การที่มีตัวตนกลายพันธ์ที่ได้สายโลหิตจากมังกรทองคำเก้าเล็บและมังกรสายฟ้านั้นไม่เคยมีมาก่อน.
หากสังเกตให้ดี,จะพบว่าเขากระทิงตัวนี้เหมือนกับเขามังกรเป็นอย่างมาก.
กล่าวถึงตัวราชรถทองคำ,มันสร้างขึ้นมาจากโลหะทองคำหายาก,ที่เรียกว่าทองเพลิงรุ่งโรจน์.
ในอดีตจ้าวอสูรได้สร้างมันขึ้นมาจากโลหิตทองคำเพลิงต้นกำเนิดเพื่อนำมาถวายให้กับเขา.
ลู่เผิงและลู่เสี่ยวยวีที่ก้าวขึ้นรถตามลู่อี้ผิง.
“เสี่ยวจิน,ไม่จำเป็นต้องเร็วนัก.”ลู่อี้ผิงเอ่ยกับกระทิงมังกรเขาทองคำ.
“ทราบแล้ว,จูเหริน.”กระทิงมังกรเขาทองคำ พยักหน้าตอบรับ.
สองพ่อลูกลู่เผิงต่างก็ตกใจ.
เท่าที่พวกเขารู้,มีเพียงสัตว์อสูรขอบเขตโอสถทองคำเท่านั้น,ที่จะสามารถพูดภาษามนุษย์ได้.
กระทิงทองคำนี้,เป็นสัตว์อสูรขอบเขตโอสถทองคำอย่างงั้นรึ?!
“คุณชายคือปรมาจารย์บัญชาอสูรอย่างงั้นรึ?”ลู่เผิงที่อดไม่ได้ต้องถามออกมา.
ลู่อี้ผิงเผยยิ้ม“ทักษะโอสถ,ทักษะควบคุมอสูร,เรียนรู้ไว้ก็ไม่เปล่าประโยชน์.”
ช่วงเวลาอันยาวนานในป่าศักดิ์สิทธิ์,ไม่ใช่แค่ศิลปะทั้งสี่(หมากล้อม,พู่กันจีน,กู่ฉิน,จิตรกรรม)ทักษะโอสถ,ควบคุมสัตว์,ค่ายกล,อาคม,ทุกศาสตร์ทุกแขนง เขาล้วนแต่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งทั้งหมดแล้ว.
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาชื่นชอบที่สุด,คือการหลอมกลั่นเม็ดยาเซียนและค่ายกล.
ลู่เผิงและลู่อี้ผิงเอ่ยถึงทักษะโอสถและทักษะควบคุมสัตว์ที่ได้เรียนรู้มา,ได้แต่พยักหน้ารับอย่างเงียบ ๆ.
กระทิงมังกรเขาทองคำแม้นว่าจะวิ่งช้า ๆ,ทว่าเพียงไม่กี่วันกับเดินทาง ใกล้ถึงนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยนแล้ว.
ตลอดการเดินทาง,พวกเขาเห็นเพียงผู้คนที่เดินอยู่บนเนินเขาร้างเป็นครั้งคราว,ผ่านเมืองหลายแห่ง,ทว่ากับไม่มีเรื่องราวไม่คาดฝันอันใดเกิดขึ้นเลย.
“คุณชาย,ด้านหน้าเป็นเมืองโหลวเสวี๋ย”ลู่เผิงที่ชี้ไปยังเมืองด้านหน้า.
พวกเขาที่มองเห็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่,และมีเมืองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน,บนท้องฟ้าของเมืองมีหิมะกำลังตกลงมาไม่ขาดสาย.
เมืองโหลวเสวี๋ย,เป็นหนึ่งเมืองที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในทวีปเทพยุทธ์.
กล่าวได้ว่าบนท้องฟ้าของเมืองโหลวเสวี๋ยนั้นมีหิมะตกลงมาทั้งปี.
“งดงามนัก!”ลู่เสียวยวีที่จ้องมองแต่ไกล,พลางถอนหายใจ.
จ้องมองเมืองโหลวเสวี๋ย,ลู่อี้ผิงที่ราวกับนึกอะไรในอดีตได้,วันเวลาที่ผ่านมานับครั้งไม่ถ้วนไม่คิดว่าเมืองโหลวเสวี๋ยจะยังคงอยู่.
ในเวลานั้นอากาศที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ.
“พวกเราเข้าเมืองกันเถอะ.”ลู่อี้ผิงเอ่ย”พักสักคืน,พรุ่งนี้ค่อยไปยังนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยน.
นิกายเหล่ยฉิวเจี้ยนอยู่ไม่ไกลแล้ว,เพียงแค่ครึ่งวันก็ไปถึง,จึงไม่มีเหตุต้องเร่งรีบ.
“ขอรับ,คุณชาย.”ลู่เผิงที่กล่าวตอบรับ.
แม้นว่าจะเดินทางร่วมกันไม่นาน,ลู่เผิงรู้สึกว่าลู่อี้ผิงนั้นเป็นเพียงแค่ปุถุชนทั่วไปเท่านั้น,ทว่าเขากับต้องพึ่งอีกฝ่ายแทบทุกอย่าง.
ดังนั้น,พวกเขาที่จึงตรงไปยังประตูเมืองโหลวเสวี๋ย.
เมืองโหลวเสวี๋ย,ค่อนข้างเป็นระเบียบเรียบร้อย,บนทางเดินมีคนน้อยมากที่ออกมาเดินท่ามกลางอากาศหนาวเช่นนี้.
ลู่เสวี่ยววีที่เงยหน้าขึ้น,มองหิมะที่ลวงหล่น,ทว่าหลังจากที่มันร่วงลงสู่พื้น,ก็หายไป,ไม่ทิ้งคาบไว้บนพื้นแม้แต่น้อย.
เห็นท่าทางของบุตรสาวแสดงท่าทางประหลาดใจ,ลู่เผิงได้เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม“ได้ยินข่าวลือว่าในยุคบรรพกาลนั้น,มีใครบางคนได้สร้างค่ายกลสร้างหิมะไว้บนอากาศและสร้างค่ายกลเก็บหิมะเอาไว้ด้านล่าง.”
“ดังนั้น,เมืองโหลวเสวี๋ยจึงมีหิมะตกตลอดทั้งปี”
“นอกจากนี้เมื่อตกลงมาบนเมืองโหลวเสวี๋ยแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย.”
ลู่เสียวยวีที่เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ“ใครกันที่สร้างสร้างค่ายกลบนอากาศได้? ค่ายกลที่ยอดเยี่ยมผ่านมานานหลายปียังสามารถทำงานได้อีกรึ?”
ลู่เผิงพยักหน้ารับ“ค่ายกลนี้ระดับสูงส่งเกินจะกล่าว,เกินจินตนาการผู้คนไปมาก,แม้แต่ใต้เท้าเฉินชิงหยางยังเดินทางมาศึกษาค่ายกลนี้ด้วยตัวเอง,ทว่าหลังจากศึกษาค่ายกลไปหลายสิบปีกับไม่มีอะไรคืบหน้าเลย.”
เฉินชิงหยาง,ในทวีปเทพยุทธ์ คือปรมาจารย์ค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคปัจจุบัน.
“แม้แต่ใต้เท้าเฉินชิงหยางยังไม่อาจเข้าใจ!”ลู่เสี่ยวยวีที่ตกใจเอ่ยออกมาว่า“ไม่รู้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนใดที่ได้สร้างเอาไว้?”
“ไม่รู้.”ลู่เผิงที่ส่ายหน้าไปมา,“ไม่มีใครรู้เรื่องนี้.”
ลู่อี้ผิงที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซับซ้อน,เขารู้ดีว่าใครเป็นผู้สร้างค่ายกลเตรียมหิมะและเก็บหิมะเหล่านี้.
ทั้งสามที่บังคับราชรถ,วิ่งไปบนถนนช้า ๆ.
ราชรถทองคำ,วัวทองคำ กลายเป็นที่จับตาของผู้คนทันที.
“ได้ยินมาว่านิกายเหล่ยฉิวเจี้ยนกำลังจะรับศิษย์,แม้แต่เซียวฉางเฟิงนายน้อยตระกูลเซียวยังเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ด้วย!”
“ไม่ได้มีแค่เซียวฉางเฟิง,ข้าได้ยินมาว่านายน้อยเจิ้งเยว่ตระกูลเจิ้งเองก็ต้องการเข้าร่วมนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยนด้วย!”
“แม้แต่กงจูไท่เหยี่ยนราชวงศ์ของพวกเราก็ยังมา!”
ที่ด้านหน้าประตูมีผู้คนมากมายที่พูดคุยกัน.
นิกายเหล่ยฉิวเจียนกำลังรับศิษย์,ดังนั้นในเมืองโหลวเสวี๋ยจึงคึกคัก,มีผู้คนมากมายเดินทางมาเพื่อเข้าร่วมคัดเลือกในครั้งนี้.
“เซียวฉางเฟิง!”
“กงจูไท่เหยี่ยน!”
ลู่เฟิงได้ยินเข้าก็เผยท่าทางประหลาดใจออกมาเหมือนกัน.
“ตระกูลเซียว,เซียวฉางเฟิงเจ้าของฉายาเทพยุทธ์น้อยนะรึ?”!”ลู่เสียวยวีดวงตาคู่งามที่ส่ายไปมา.
“ควรจะเป็นเช่นนั้น.”ลู่เผิงพยักหน้ารับ,จ้องมองด้วยความตื่นเต้น“แม้แต่เซียวฉางเฟิงก็ยังมาทดสอบเข้าร่วมนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยน.”
“อะไรคือฉายาเทพยุทธ์น้อย?”
ลู่เผิงที่ตกใจเอ่ยออกมาว่า“คุณชายไม่รู้จักเซียวฉางเฟิงอย่างงั้นรึ?”จากนั้นเขาก็อธิบาย“เซียวฉางเฟิง,นายน้อยที่มีกายาต้าเฉียนเสิ่น(มหาเทวะ)ตั้งแต่เกิด,ตอนนี้อายุยังไม่ถึง 17 ปี,ได้ยินมาว่าอยู่ในดินแดนเหนือธรรมชาติ(เซียนเทียน)ขั้นที่สิบแล้ว!”
“นอกจากนี้เขายังมีความสามารถในการตระหนักรู้ที่น่าอัศจรรย์,ไม่ว่าเป็นพลังวิเศษอะไร,สามารถเรียนรู้เข้าใจได้เพียงแค่ปลายตามองราวกับเป็นเทพ,ดังนั้นฉายาเทพยุทธ์วัยหนุ่มก็คงไม่พ้นต้องเป็นของเขา,ผู้คนจึงเรียกเขาว่า เทพยุทธ์น้อย!”
กายาต้าเฉียนเสิ่นอย่างงั้นรึ? ลู่อี้ผิงที่ได้แต่ลอบส่ายหน้า,กายาต้าเฉียนเสิ่นยังกล้าเรียกว่าเป็นเทพวัยเยาว์อีก.
กายาต้าเฉียนเสิ่นนั้น,เป็นกายาที่ธรรมดาที่สุดในบรรดากายาเทวะ(เสิ่นถี)เมื่อครั้งบรรพกาลนั้น,กายาเทวะมีอยู่มากมาย,แม้แต่กายาแฝดเทวะที่หายาก ยังมีอยู่นับไม่ถ้วนด้วยซ้ำ.
เหนือกายาเทวะ,มีกายานักบุญ,เหนือกายานักบุญก็ยังมีกายาเต๋าอีก!
“นั่นนายน้อยเจิ้งเย่.”เวลานั้นขณะลู่เผิงเอ่ยอธิบายก็ได้ยินเสียงผู้คนดังอื้ออึงมาแต่ไกล,“นายน้อยเจิ้งเยว่และกงจู่ไท่เหยี่ยน!”
ลู่เผิงและลู่เสียวยวีตกใจ,ก่อนที่จะจ้องมองออกไป,เห็นขบวนเสด็จกำลังมุ่งหน้าเข้ามา.
ภายใต้ขบวนเสด็จนั้นมียอดฝีมือมากมาย,บุรุษและสตรีที่อยู่ในขบวนดูโดดเด่นเป็นพิเศษ,บุรุษสวมชุดคลุมสีขาวมีสัตว์ขี่เป็นพยัคฆ์ขาว,ส่วนสตรีสวมชุดฟินิกซ์ม่วง,นั่งอยู่บนอาชามังกร.