Chapter 180 Do most also three lines shine?
最多也就三行发亮?(三更)
“เป็นพวกเขา!”ซุนเซียวเฟยเผยความประหลาดใจออกมา.
เฉินฉงเถาเห็นท่าทางของซุนเซียวเฟยแล้ว,จึงเอ่ยถาม“เจ้ารู้จักพวกเขาอย่างงั้นรึ?”
“พวกเขาคือศิษย์ตระกูลกู่โรงเตี้ยมอู๋ซ่วง.”ซุนเซียวเฟยเอ่ย.
“อะไรนะ,ศิษย์ตระกูลกู่โรงเตี้ยมอู๋ซ่วง!”เฉินฉงเถาตกใจ.
“ถูกต้อง.”จากนั้นซุนเซียวเฟยได้เล่าเรื่องที่พบเมื่อวานนี้.
“ตราทองม่วงตระกูลกู่.”เฉินฉงเถาที่ตกใจ,จ้องมองจูหลางข้าง ๆ,พบว่าอีกฝ่ายนั้นเผยใบหน้าหวาดกลัวอย่างหนัก,ท่าทางขลาดเขลานั่น,ทำให้เขาประหลาดใจ“สหายจูหลาง,เจ้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเขาคือ ศิษย์ตระกูลกู่ โรงเตี้ยมอู๋ซ่วงอย่างงั้นรึ?”
จู่หลางที่เผยความขมขื่นในใจ.
ศิษย์ตระกูลกู่อย่างงั้นรึ?
ศิษย์ตระกูลกู่ บ้าบออะไรกัน,เป็นซือจู่ บรรพชนชราตระกูลกู่ต่างหาก.
อย่างไรก็ตาม,เขาไม่อาจบอกต่อซุนเซียวเฟยและเฉินฉงเถาได้,จึงเอ่ยได้แค่ว่า“พวกเขาเป็นคนโรงเตี้ยมอู๋ซ่วง.”
ซือจู่บรรพชนชราตระกูลกู่,ก็ถือเป็นคนของโรงเตี้ยมอู๋ซ่วงไม่ใช่รึ?
เฉินฉงเถาที่ใบหน้ากลายเป็นมืดครึ้ม.
หลังจากที่ลู่อี้ผิงและวังกระทิงมังกรเขาทองคำก้าวตามหลินหยิงชิวเข้ามา,กวาดตามองไปรอบ ๆ,พบว่ามีคนอยู่ราว ๆ 70-80 คน,กล่าวได้ว่าคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้เยาว์รุ่นหลัง,ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก,ส่วนมากอยู่ในระดับเทพสวรรค์ขั้นต้นและมีเทพแท้จริง.
ลู่อี้ผิงจ้องมองจูหลางที่ซ่อนอยู่ในฝูงชน.
“เจ้ามานี่.”ลู่อี้ผิงเอ่ยกับจูหลางที่ซ่อนอยู่ในฝูงชน.
จูหลางที่สั่นสะท้าน,ก่อนที่จะก้าวออกมา,เอ่ยด้วยรอยยิ้ม“ต้าเหริน,ข้ามาแล้ว.”
“เห่าเหลียนยวีล่ะ?”ลู่อี้ผิงเอ่ยสอบถาม.
จูหลางที่กวาดตามองไปยังฝูงชน,พร้อมกับฝืนยิ้มออกมา“เขายังไม่มา.”จากนั้นก็เร่งรีบเอ่ยออกมาว่า“ต้าเหรินวางใจได้,เขามาแน่นอน,เขาต้องมาแน่นอน.”
เฉินฉงเถาและซุนเซียวเฟยที่เห็นท่าทางของจูหลางที่นอบน้อมต่อลู่อี้ผิงเป็นอย่างมาก,ก็ประหลาดใจ.
หลาย ๆ คนที่รู้จักจู่หลางต่างก็เอ่ยเสียงเบาเช่นกัน.
“คนผู้นี้เป็นใครกัน? แม้แต่จูหลางสำนักยวีฟ่านยังสุภาพขนาดนั้น.”
เหล่าผู้เยาว์รอบ ๆ ต่างก็สงสัย,ศิษย์สตรีมากมาย,จ้องมองลู่อี้ผิง,ใบหน้าเป็นประกาย,ต้องการสอบถามถึงสถานะของลู่อี้ผิง,ทว่าเมื่อรู้ว่าอีกผิงเป็นคนของตระกูลกู่ โรงเตี้ยมอู๋ซ่วงก็หวั่นไหว.
ลู่อี้ผิงที่สวมชุดสีน้ำเงินอ่อน,ทว่าชุดของเขานั้นไม่อาจบอกได้ว่าทอขึ้นจากวัสดุใด,มันดูเปล่งประกายระยิบระยับ,ผมของลู่อี้ผิงที่โบกสะบัด,สีดำเงาเหมือนหยก,สะท้อนแสงเข้ามาในดวงตาราวกับ ทะเลดวงดาว,กล่าวได้ว่าตั้งแต่เท้าจรดศีรษะสมบูรณ์แบบเกินจะกล่าว.
นอกจากนี้ ใบหน้าของอีกฝ่ายยังสว่างงามราวกับหยกสลักเทพสร้าง,ยิ่งมองยิ่งหลงใหล.
เหล่าผู้ฝึกตนสตรีต่างก็จ้องมองด้วยความตื่นเต้น.
ลู่อี้ผิงเอ่ยต่อจูหลาง“ไปได้.”
จูหลางที่กล่าวขอโทษ,โค้งคำนับอย่างสุภาพ,และไปซ่อนในฝูงชน.
ตำหนักส่วนใน,ธิดาศักดิ์สิทธิ์เผ่ามนุษย์,เฉินหานเสวี๋ยและฉีหวยและอีกคนเป็นผู้เยาว์ที่ถือพัดหยกกำลังพูดคุยกันเรื่องวิถีปรุงยา.
ผู้เยาว์พัดหยกคนนี้,ก็คือหลานราชันย์หมาป่ายวีเมียน,เห่าเหลียนยวีนั่นเอง.
ขณะที่พวกเขากำลังปรึกษาหารือกันอยู่นั้น,ด้านนอกก็มีเสียงดังอื้ออึงขึ้น,จึงหยุดลง.
เฉินหานเสวี๋ยที่รู้สึกประหลาดใจ,จึงเรียกสาวใช้ เข้ามาถาม,ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น.
“มีคนของตระกูลกู่โรงเตี้ยมอู๋ซ่วงมา ได้ยินมาว่ามีสถานะไม่ธรรมดา,ถือตราม่วงทองของนักบุญอู๋ซ่วงด้วย.”
นางที่ดูลังเลเอ่ยออกมาอีกว่า“นอกจากนี้ฝ่ายตรงข้ามยังหล่อเหลาสง่างามมาก ๆ ด้วย!”
สง่างามมาก ๆ อย่างงั้นรึ?
เฉินหานเสวี๋ยที่ดวงตาเบิกกว้าง,จากนั้นก็เผยยิ้ม,นางที่จ้องมองไปยังฉีหวยและเห่าเหลียนยวี.
“คุณชายทั้งสอง,พวกเราะออกไปดูหน่อยเป็นอย่างไร?”
ฉีหวย,เหล่าเหลียนยวีที่พยักหน้ารับ.
ทั้งสองเองก็สงสัยคนของโรงเตี้ยมอู๋ซ่วงที่ถือตราทองม่วงเช่นกัน.
ดังนั้น,คนทั้งสามจึงลุกขึ้นก้าวออกจากตำหนักส่วนใน,มุ่งตรงไปยังส่วนด้านหน้า.
ภายในลานที่พัก,ลู่อี้ผิงที่จ้องมองไปยังเสาศิลาที่ตั้งอยู่มุมของลาน.
วัวกระทิงมังกรเขาทองคำเองก็จ้องมองไปยังเสาศิลาด้วยเช่นกัน.
“นี่คือวัตถุสมบัติศาลสวรรค์ยุคปรัมปราอย่างงั้นรึ?”วัวกระทิงมังกรเขาทองคำเผยความประหลาดใจออกมา.
วัตถุสมบัติเสาศิลา,ดูเหมือนกับวัตถุที่สร้างศิลาจารึกสวรรค์,เป็นอย่างมาก.
ลู่อี้ผิงไม่ได้สนใจเหล่าสตรีที่จ้องมองมายังเขาเป็นประกายแม้แต่น้อย,เขาก้าวตรงไปยังเสาศิลาดังกล่าวทันที.
เสาศิลาดังกล่าว ทำให้ลู่อี้ผิงประหลาดเป็นอย่างมาก,เสาศิลาแห่งนี้บันทึกวิถีกู่ฉินเอาไว้อย่างคาดไม่ถึง.
นอกจากนี้ยังเป็นของกองพิธีการศาลสวรรค์ยุคปรัมปราในอดีต,แม้นว่าจะไม่ได้ล้ำค่าอะไร,ทว่ากับหายากมากๆ ,ไม่คิดเลยว่าเฉินหานเสวี๋ยจะนำมาวางเอาไว้ด้านนอกเช่นนี้.
“วิถีกู่ฉิน?”วัวกระทิงมังกรเขาทองคำเอ่ย.
ลู่อี้ผิงพยักหน้ารับ,ขณะจดจ้องมอง.
ลู่อี้ผิงที่จ้องมองเพ่งพิศ,ทันใดนั้นเสาศิลาก็เป็นประกาย,นอกจากนี้ยังมีอักขระมากมายที่ส่องแสงขึ้น.
เสาศิลา,เป็นวัตถุจากศาลสวรรค์ยุคปรัมปรา,มีเชาว์ปัญญาเป็นของตัวเอง,หากใครสามารถตระหนักรู้วิถีกู่ฉิน,จะทำให้มันส่องสว่างเปล่งประกายส่องแสงออกมา.
ยิ่งเข้าใจได้มาก,ก็ยิ่งสว่างมาก.
เฉินฉงเถา,ซุนเห่าเฟยและคนอื่น ๆ ที่ก้าวออกมาเห็นเสาศิลาส่องแสงออกมาเอง อย่างคาดไม่ถึง,ก็เผยความประหลาดใจออกมา.
“เกิดอะไรขึ้น?”ซุนเสี่ยวเฟยที่เอ่ยด้วยความสงสัย.
เฉินฉงเถาที่ส่ายหน้าไปมา“ไม่รู้เหมือนกัน,เสาศิลานั่น,เป็นของญาติผู้น้องของข้านำมาวางไว้ด้วยตัวเอง,ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ,หลายคนเห็นเป็นเพียงเสาศิลาจารึกธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ,แต่ว่า คาดไม่ถึงเลยว่า คนผู้นี้จะทำให้เสาศิลาเสานี้เปล่งแสง?”
เฉินหานเสวี๋ยและฉีหวย,เห่าเหลียนยวีที่ก้าวออกมา,เห็นเสาศิลาเปล่งแสง,นอกจากนี้ยังมีอักขระส่องสว่างขึ้นด้วย,แววตาคู่งามของเฉินหานเสวี๋ยสะดุ้งตกใจอย่างสมบูรณ์.
คนอื่น ๆ ไม่รู้จักเสาศิลาต้นนี้,ทว่านางนั้นเข้าใจดี,นี่คือวัตถุสมบัติศาลสวรรค์ยุคปรัมปรา,บันทึกวิถีกู่ฉินเอาไว้,นางที่ตระหนักรู้มาหลายปี,ยังทำให้เสาศิลาปรากฏอักษรขึ้นมาได้แค่สี่แถว,ยังเหลืออีกหลายบรรทัดที่ยังไม่อาจตระหนักรู้ได้.
เหล่าผู้เยาว์ที่เข้าร่วมงานชุมนุมวิถียาผู้นี้เพียงแค่มา,กับตระหนักรู้ได้ถึงสามบันทัดเลยอย่างงั้นรึ?!
“เขาเป็นใคร?”เฉินหานเสวี๋ยที่เอ่ยสอบถามสาวใช้.
สาวใช้เอ่ยตอบ“เขาคือคนของตระกูลกู่โรงเตี้ยมอู๋ซ่วง.”
“เป็นเขา!”เฉินหายเสวี๋ยที่เผยความประหลาดใจ.
ฉีหวยจ้องมองเฉินหานเสวี๋ยด้วยความประหลาดใจ,อดไม่ได้ ต้องเอ่ยถามออกมา“แม่นางหานเสวี๋ย,เสาศิลานั้นมีอะไรพิเศษอย่างงั้นรึ?”
เฉินหานเสวี๋ยที่ดูลังเล,เอ่ยออกมาว่า“เสาศิลา,บันทึกวิถีกู่ฉินเอาไว้,เป็นอักขระที่ยากจะเข้าใจ,ยิ่งตระหนักรู้ได้มากเท่าไหร่,เสาศิลาก็ยิ่งเรืองแสง,ข้าใช้เวลามาหลายร้อยปี,ตระหนักรู้ได้เพียงสี่บันทัด,คนของตระกูลนั่นไม่คาดคิดเลยว่าเพียงแค่ตระหนักรู้,ก็ทำให้อักขระสามบันทัดส่องแสงออกมาแล้ว!”
ฉีหวย,เห่าเหลียนยวีทั้งสองที่ลอบตกใจ,เฉินหานเสวี๋ยที่ใช้เวลาตระหนักรู้หลายร้อยปี,ทำให้ส่องแสงได้สี่บันทึก,คนของตระกูลกู่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง,ก็ตระหนักรู้ได้สามบรรทัดแล้วอย่างงั้นรึ?
เห่าเหลียนยวีเอ่ย“แม่นางหานเสวี๋ย ไม่ควรประเมินตัวเองต่ำไป,เจ้าไร้เทียมทานทั้งวิถีปรุงยาและวิถีกู่ฉิน,นอกจากนี้ เจ้ายังตระหนักรู้ได้ถึงสี่บรรทัดแล้ว,แต่ผู้เยาว์ตระกูลกู่นั่นตระหนักรู้ได้แค่สามบันทัดเองไม่ใช่รึ?”
อย่างไรก็ตามสิ้นเสียง,บรรทัดที่สี่ของเสาศิลาก็ส่องแสงออกมาโดยสมบูรณ์.