Chapter 172 Uncorrectable Battling Heaven Divine Carriage
不能修复的战天神车(三更)
ฉีอ้าวซือยังคงจ้องมองไปบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า,เพ่งพิศทิศทางที่ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำเพิ่งจากไป.
อาจารย์ของนักบุญปิศาจ,ควรจะรู้จักกันดีกับปู่ของเขา,แล้วยังเรียกปู่เขาว่าเสี่ยวฉีด้วย?
“เส้าจู่,เป็นอะไรหรือไม่?”บรรพชนชราตระกูลฉีที่เวลานี้พยุงร่างก้าวเข้ามาหาฉีอ้าวซือ,เห็นอีกฝ่ายนิ่งชงัก,จึงเอ่ยถาม.
“ข้าไม่เป็นไร.”ฉีอ้าวซือที่ได้สติ ส่ายหน้าไปมา,เขาตรวจสอบร่างกายแม้ว่าจะเจ็บไปทั่วร่าง,ทว่าชีพจรก็ไม่ได้แตกสลายพังทลาย,เขารู้ดีว่าวัวกระทิงมังกรเขาทองคำนั้นได้ไว้ชีวิตเขา,ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่อีกรึ?
“พวกเรากลับก่อน.”ฉีอ้าวซือถอนหายใจ,เอ่ยออกมาว่า“ปู่ข้าเอ่ยถูก,ข้าควรจะพยายามมากกว่านี้,ด้านนอกยังมีคนที่ร้ายกาจมากมาย,สายโลหิตหนึ่งในสิบยุคโบราณ ก็แค่นั้น.”
บรรพชนชราตระกูลฉีเอ่ยออกมาว่า“เส้าจู่,อย่าได้ดูแคลนตัวเอง.”
“วางใจได้,ข้ารู้ตัวดี,สักวันหนึ่ง,ข้าจะเหนือกว่าลู่อี้ผิง,ข้าจะเอาชนะทั้งสองให้ได้ในสักวัน!”แววตาของฉีอ้าวซือเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น.
เจตจำนงนักรบสวรรค์ที่พวยพุ่ง,แผ่รัศมีกระจายเต็มท้องฟ้า.
ฉีอ้าวซือและคนตระกูลซือเวลานี้ได้จดจ้องมองไปยังราชรถเทวะจ้านเทียนที่ถูกทุบจนแบนบี้!
ล้อทั้งสี่ที่แตกหักเสียหายอย่างหนัก.
ฉีอ้าวซือถึงกับร้องไห้แต่ไร้น้ำตา.
มารดาเถอะ,แล้วจะขี่อย่างไร?
นี่คือราชรถเทวะจ้านเทียนของปู่เขา,เป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะสืบทอดต่อกันมา,บิดาของเขาที่เช็ดทำความสะอาดมันทุกวี่วัน,ไม่ให้ฝุ่นจับเลยแม้แต่น้อย,กลับไปด้วยสภาพนี้,บิดาของเขาต้องบ้าคลั่งแน่.
เหล่ายอดฝีมือเมืองจ้านเทียนที่จ้องมองราชรถที่พังทลาย,ล้อทั้งสี่แตกหัก,ก็ยืนงงเป็นไก่ไม้เช่นกัน.
ราชรถเทวะจ้านเทียน,แม้นว่าจะพอนั่งได้,ทว่ากับไม่อาจวิ่งไปใหนมาใหนได้อีกแล้ว.
แม้นว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะ,แต่ในเมื่อมันเสียหาย,ก็ไม่อาจกระตุ้นเปิดการใช้งาน,ดังนั้นจึงทำได้แค่เก็บมันกลับไป.
เหล่าผู้ฝึกตนที่เห็นคนของตระกูลฉีนำราชรถเทวะจ้านเทียนที่พังทำลายกลับไป,ก็เผยใบหน้าแปลกประหลาด.
“ราชรถเทวะจ้านเทียนจะซ่อมได้ใหม?”ผู้ก่อตั้งนิกายผู้หนึ่งเอ่ย.
อย่างไรก็ตามไม่มีใครตอบได้.
เทพสงครามจ้านเทียน,ฉีจ้านเทียนสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง,ประกอบขึ้นจากวัตถุดิบหายาก,ล้ำค่ามากมาย,แน่นอนว่าไม่ง่ายที่จะฟื้นฟูกลับมา.
“เจ้าคิดว่า,ท่านฉีหยวนจะแก้แค้นลู่อี้ผิงใหม?”บางคนที่เงียบและเอ่ยปากออกมา.
ฉีหยวนก็คือประมุขตระกูลฉี,เป็นบิดาของฉีจ้านเทียนนั่นเอง.
ท้ายที่สุด,คนของตระกูลฉีก็นำราชรถเทวะจ้านเทียนกลับถึงเมืองจ้านเทียน.
พวกเขาที่หอบราชรถเทวะจ้านเทียนที่ยับเยินกลับตำหนักของฉีหยวน.
หลังจากนั้น,เสียงโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงก็ดังกังวานไปทั้งเมืองจ้านเทียน.
แววตาของฉีหยวนที่แดงซ่าน,โกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นสภาพของราชรถเทวะจ้านเทียน“อาจารย์ของนักบุญปิศาจ,ลู่อีผิ้ง! เมืองจ้านเทียนและพวกเจ้าต้องตายไปข้างหนึ่ง!”
ฉีอ้าวซือก้าวไปด้านหน้า,เอ่ยอย่างระมัดระวัง,“ท่านพ่อ,เรื่องนี้ จะว่าไปก็แปลก,ข้าไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรออกมา.”
“เจ้าจะพูดอะไร”ฉีหยวนที่จ้องมองตาขวางไปยังฉีอ้าวซือ.
ฉีอ้าวซือที่หวาดกลัว,ก้มหน้าเอ่ยออกมาว่า“ผู้ใต้บังคับบัญชาของลู่อี้ผิงรู้จักสภาวะแปลงร่างของท่านปู่ด้วย.”
“เจ้าบอกจะบอกว่าอีกฝ่ายรับรู้สภาวะเทพสวรรค์ของปู่เจ้าอย่างงั้นรึ?”ฉีหยวนที่ดวงตาเบิกกว้างกลมโต.
ท้ายที่สุดฉีอ้าวซือก็พยักหน้ารับ.
“ใช่,นอกจากนี้ลู่อี้ผิงราวกับว่ารู้จักกับท่านปู่”ฉีอ้าวซือเอ่ยออกมาว่า“เขาเรียกท่านปู่ว่าเสี่ยวฉี.”
“เสี่ยวฉีอย่างงั้นรึ?”ฉีหยวนที่ใบหน้าสั่นส่ายไปมา.
......
ดินแดนบรรพชนสำนักอู๋เซิ่ง.
“อะไรนะ,ลู่อี้ผิงมายังโหยวหมิงอย่างงั้นรึ?”ถ่านอี,หม่าปิง,สี่ไท่จูสำนักอู๋เซิ่งใบหน้าเปลี่ยนสี.
“ท่านไท่จู่ทั้งสี่!”เจ้าสำนักอู๋เซิ่งที่ก้มหน้าก้มตาเอ่ยออกมาว่า“ที่เทือกเขาเทียนเซี่ย,ลู่อี้ผิงได้ใช้ทัณฑ์สายฟ้า,สังหารเผ่าวิญญาณรัตติกาลและคนของตระกูลหม่าหลายร้อยคน,แม้แต่เย่จื่อโม่และหม่าซียังตกตายไปพร้อมกัน.”
“ตอนนี้จักรศักดิ์สิทธิ์เองก็อยู่ในมือของลู่อี้ผิง.”
เจ้าสำนักอู๋เซิ่งที่เอ่ยอย่างระมัดระวัง“ไท่จู่ทั้งสี่,ลู่อี้ผิง เดินทางมายังโหยวหมิงครั้งนี้,เกรงว่าสถานการณ์พวกเราจะไม่ดีนัก,พวกเราควรที่จะไปพบกับท่านหลงกังวังมังกรปิศาจหรือไม่?”
หลงกังก็คือไท่จู่วังมังกรปิศาจนั่นเอง.
ถ่านอี้,หม่าปิงและพวกทั้งสี่ใบหน้ามืดครึ้ม.
ก่อนหน้านี้สองปิศาจซีจุนำจ้าวพิภพมากมายไปยังนิกายเทวะคุนเผิงเพื่อล้อมสังหารลู่อี้ผิง,เรื่องครั้งนี้,เป็นไปได้ว่าลู่อี้ผิงจะปล่อยพวกเขาไป.
ด้วยนิสัยของลู่อี้ผิง,ในเมื่อมาโหยวหมิง,จะต้องมาเยือนสำนักอู๋เซิ่งแน่ ๆ.
......
ดินแดนบรรพชนขุนเขาอู๋เซี่ย,เวลานี้เหล่าบรรพชนชราที่ชุมนุมกัน,ปรึกษาหารือเรื่องที่เกิดขึ้นในเทือกเขาเทียนเซี่ย.
ลู่อีผิ้งได้สังหารเผ่าวิญญาณรัตติกาลและยอดฝีมือนิกายจินกังหลายร้อยคน,ตอนนี้เหล่ากลุ่มอิทธิพลทั่งโหยวหมิงต่างก็รับรู้ข่าวนี้แล้ว.
“ท่านลู่อี้ผิงลงมือสังหารเผ่าวิญญาณรัตติกาล,และคนของนิกายจินกังหลายร้อยคน,นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริง ๆ.”บรรพชนชราคนหนึ่งที่ปรบมือด้วยรอยยิ้ม.
เผ่ามนุษย์ถูกเผ่าปิศาจกดดัน,ตอนนี้ลู่อี้ผิงสังหารเผ่าวิญญาณรัตติกาลและคนของนิกายจินกัง,เผ่ามนุษย์มากมายได้ยิน,ย่อมอดไม่ได้ที่จะปรบมือด้วยความยินดี.
“หากข้าได้รับใช้ถวายชีวิตให้กับท่านลู่อี้ผิง,ต่อให้เป็นช้างม้าวัวควาย ข้าก็ยินดี.”เจียงไห่ตงที่เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกฮึกเหิม.
เจียงไห่ตง,ก็คือบรรพชนชราที่แข็งแกร่งที่สุดของขุนเขาอู๋เซี่ย.
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น,เจ้านิกายขุนเขาอู๋เซี่ย เถาอี้เฟิงที่เงียบตลอดไม่เอ่ยกล่างอะไรออกมา.
หลังจากนั้นไม่นานการประชุมก็จบลง,เถาอี้เฟิงกลับตำหนักที่พักตัวเอง,ขณะเขาก้าวเดินออกไป,ไม่เห็นเหลียงหงจีมารายงานเขานานแล้ว,เวลานี้ทำให้เขาร้อนรน.
เรื่องเรื่องที่เขาเป็นสายลับเผ่าวิญญาณรัตติกาลหากเผยออกมาล่ะก็,ไม่เพียงแค่ขุนเขาอู๋เซี่ยเท่านั้น,แม้แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่มีที่ซุกหัวนอนให้กับเขาแน่.
เขาที่ครุ่นคิดอย่างนักเวลาต่อมาก็ได้เรียกเจ้าโถงคุมกฎมาหา.
ในเวลาเดียวกันนี้,ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำก็เดินทางมาถึงเมืองเฟิงไห่,พบกับอี้หว่านที่นัดหมายกันเอาไว้.
เหยาเฟิงนั้นได้จากไปแล้ว,เพราะต้องกลับไปรายงานระกูลเหยา.
ลู่อี้ผิง,วัวกระทิงมังกรเขาทองคำและอี้หว่านทั้งสามเดินทางต่อไปยังขุนเขาอู๋เซี่ย.
“ได้ยินมาว่า,ที่เทือกเขาเทียนเซี่ย,เผ่าวิญญาณรัตติกาลและตระกูลหม่ากว่าร้อยคนถูกท่านลู่อี้ผิงสังหารล่ะ!”ระหว่างทาง,อี้หว่านกล่าวต่อลู่อีผิ้งและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำด้วยความตื่นเต้น.
อี้หว่านรู้เพียงลู่อี้ผิงแซ่ลู่,ดังนั้นจึงไม่รู้สถานะที่แท้จริงของลู่อี้ผิง.
เรื่องที่เกิดขึ้นที่เทือกเขาเทียนเซี่ย,นางได้ยินเพียงข่าวลือ,ไม่ได้รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดแต่อย่างใด.
ลู่อี้ผิงได้ยินก็เผยยิ้มเล็กน้อย.
ขณะที่ทั้งสามออกจากเมืองเฟิงไห่,เมื่อใกล้ถึงขุนเขาอู๋เซี่ย,ได้พบกับเหล่าผู้คุมกฏของหออู๋เซี่ยบินตัดอากาศ,มาขวางพวกเขาเอาไว้.
เจ้าโถงคุมกฎลู่ชิงที่นำคนออกมา,อี้หว่านเห็นเข้าก็ประหลาดใจ“เจ้าโถงลู่,เป็นท่านรึ?”
ลู่ชิงเอ่ยปากออกมาทันที“อี้หว่าน,เจ้าเป็นสายลับของเผ่าวิญญาณรัตติกาล,โปรดตามพวกเราไปยังตำหนักคุมกฏด้วย.”
อี้หว่านได้ยิน,ก็เอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจ“ไม่ใช่ข้าสักหน่อย! เป็นอาจารย์ข้าที่เป็นสายลับเผ่าวิญญาณรัตติกาล เขากลับถูกเป็นผิด!”
ลู่ชิงขมวดคิ้ว,เอ่ยออกมาว่า“พวกเราจะพิสูจน์เอง,หากเจ้าไม่ใช่,พวกเราจะให้ความเป็นธรรมต่อเจ้าเอง,”จากนั้นเขาก็โบกมือให้คนของเขาออกไปจับกุมอีกฝ่าย.
คนของโถงคุมกฎสองคนที่ถือโซ่โลหะก้าวเข้าไป.
ใบหน้าของอี้หว่านที่เปลี่ยนสี,เห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายนั้นสรุปว่านางเป็นสายลับของเผ่าวิญญาณรัตติกาลตั้งแต่แรกแล้ว,เพียงแค่นำไปสืบสวน,ไม่มีความจำเป็นต้องคล้องโซ่กุญแจมือแต่อย่างใด,ไม่ใช่รึ?