Chapter 168 Battling Heaven City Qi Aoshi
战天城齐傲世(二更)
ในโหยวหมิง,วังมังกรปิศาจอยู่ในดินแดนปิศาจสวรรค์แทบจะยึดครองดินแดนแห่งนี้เอาไว้,ทุกมนทลล้วนแต่มีวังมังกรปิศาจอยู่ พวกเขามีผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นเทพสวรรค์มากมาย,แต่ละมนทลนั้นมีจ้าวพิภพสองคนเป็นผู้บัญชาการสาขา.
หรือกล่าวได้ว่าทุกสาขาของวังปิศาจ,จะมีจ้าวพิภพขั้นกลางสองคนเป็นอย่างต่ำ.
ดินแดนปิศาจสวรรค์มี 60 มนทล.
กล่าวได้ว่าทุกมนทลมีสาขาวังมังกรปิศาจ,พวกเขามีจ้าวพิภพขั้นกลางมากกว่าหนึ่งร้อยคนดูแลนั่นเอง.
โหยวหมิงนั้นมีดินแดนสามสิบดินแดน.
มีกลุ่มอิทธิพลใหญ่มากมาย.
สำนักอู๋เซิ่งและเผ่าวิญญาณรัตติกาล,แม้นว่าจะเป็นสุดยอดกลุ่มอิทธิของโหยวหมิงเช่นกัน,ทว่าเทียบกับวังมังกรปิศาจ,ก็ยังอ่อนด้อยกว่า.
ในโหยวหมิง,สำนักอู๋เซิ่ง,แม้นว่าจะเป็นสุดยอดกลุ่มอิทธิพลระดับสาม,ทว่าความแข็งแกร่งนั้นกับด้อยกว่าวังมังกรปิศาจเทียบพลังได้เพียง 1 ในสิบเท่านั้น.
“เจ้ากำลังไปยังเทือกเขาเทียนเซี่ยงั้นรึ?”ในเวลานั้น,เหยาเฟิงที่เอ่ยถาม.
อี้หว่านพยักหน้ารับ.
“ข้าได้ยินมาว่า,ไม่เพียงแค่เผ่าวิญญาณรัตติกาล,แม้แต่คนของเมืองจ้านเทียนเองก็มา!”เหยาเฟิงเอ่ย.
“อะไรนะ,คนของเมืองจ้านเทียน!”อี้หว่านที่เอ่ยอุทานด้วยความตกใจ.
ก่อนยุคนักบุญปิศาจ,ฉีจ้านเทียนก็คือบุคคลอันดับหนึ่งของพิภพเหิงหยวน.
นักบุญปิศาจ,ไม่มีครอบครัว,ไม่มีลูกหลาน,ทว่าจ้านเทียนนั้นกับมี! ไม่เพียงแค่มียังเป็นตระกูลใหญ่ที่มีลูกหลานมากมาย.
เมืองจ้านเทียน,เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยลูกหลานของฉีจ้านเทียน,แม้นว่าเมืองจ้านเทียนไม่ได้เป็นหนึ่งในสุดยอดกลุ่มอิทธิพลของโหยวหมิง,ทว่ากับเป็นตัวตนที่สูงส่ง,แม้นว่าฉีจ้านเทียนจะออกจากโหยวหมิงไปนานแล้ว,ทว่ากลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ยังคงให้ความเคารพอยู่ไม่น้อย.
ไม่มีใครไม่ให้เกียรติคนของเมืองจ้านเทียน,แม้แต่วังมังกรปิศาจยังไม่กล้าหาเรื่องพวกเขา.
“คนของเมืองจ้านเทียนเทียนต้องการมาชิงจักรศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นรึ?”ลู่อี้ผิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ.
“ขอรับ,คนของเมืองจ้านเทียนที่มา,ควรจะเป็นฉีอ้าวซือ.”เหยาเฟิงเอ่ย.
“ฉีอ้าวซือ!”อี้หว่านที่ตกใจ.
“ฉีอ้าวซือ,แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยรึ?”วัวกระทิงมังกรเขาทองคำเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็เอ่ยสอบถามออกมา.
อี้หว่านและเหยาเฟิงทั้งสองที่ตะลึงไปเหมือนกัน.
“ท่านเสี่ยวจินไม่รู้จักท่านฉีอ้าวซืออย่างงั้นรึ?”อี้หว่านที่เผยท่าทางแปลก ๆ,จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า“ท่านฉีอ้าวซือ,ก็คือหลานของท่านฉีจ้านเทียน,นอกจากนี้ยังเป็นหลานที่มีพรสวรรค์ที่สุด,มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดด้วย!”
“ท่านฉีอ้าวซือนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งและยังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก,เขานั้นเหมือนกับท่านจ้านเทียน,เป็นผู้มีสายโลหิตยุคโบราณ,ว่ากันว่านี่คือสายโลหิตที่เป็นอันดับหนึ่งในสิบของยุคโบราณก็ว่าได้!”ใบหน้าของอี้หว่านเต็มไปด้วยความเคารพและหวั่นเกรง.
“พลังบ่มเพาของท่านฉีอ้าวซือนั้น,เป็นจ้าวพิภพขั้นปลายท้าย,มีพลังพิภพ 99.99 ล้าน,บางทีอาจจะตัดผ่านไปยังขอบเขตผู้บัญชาภพแล้วก็ได้!”
“ความแข็งแกร่งของเขานั้น,เหนือกว่าผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในยุคจ้านเทียนซะอีก.”
อี้ฟ่านยิ่งเอ่ยยิ่งตื่นเต้น.
เหยาเฟิงเองก็เอ่ยด้วยความตื่นเต้น“ท่านอ้าวซือ,ได้ยินมาว่าสิบปีก่อนได้ตัดผ่านไปยังขอบเขตผู้บัญชาภพแล้ว!”
ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำที่เผยความประหลาดใจออกมาเหมือนกัน.
ที่ทั้งสองประหลาดใจเป็นเพราะสายโลหิตโบราณของฉีอ้าวซือนั่นเอง.
สายโลหิตหนึ่งในสิบยุคโบราณ,นับว่าแข็งแกร่งมาก.
ด้วยสายโลหิตพิเศษนี้,จะทำให้ยกระดับขอบเขตได้อย่างรวดเร็ว.
นอกจากนี้สายโลหิตโบราณทั้งสิบ,ยังกล่าวได้ว่าเป็นสายโลหิตที่ต่อต้านสวรรค์อีกด้วย.
ท้องฟ้าเปิด.
ฝนที่ตกหนักก็หยุดลง.
ลู่อี้ผิงออกเดินทางต่อ.
อย่างไรก็ตาม,อี้หว่านและเหยาเฟิงนั้นรู้ตัวเองนั้นมีพลังน้อยนิด,ไร้ซึ่งความหวังที่จะชิงจักรศักดิ์สิทธิ์,ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะไปเทือกเขาเทียนเซี่ยแต่อย่างใด,จึงแยกกับลู่อีผิ้งชั่วคราว.
ลู่อี้ผิงและอี้ฟ่านที่ตั้งใจจะไปยังเทือกเขาอู๋เซี่ยจึงนัดหมายกันใหม่ที่เมืองเฟิงไห่.
ไม่นานหลังจากนั้น,ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำ,ได้เดินทางมาถึงเทือกเขาเทียนเซี่ยในที่สุด.
เมื่อทั้งสองมาถึงเทือกเขาเทียนเซี่ย,ก็พบผู้คนมากมาย,กล่าวได้ว่าบนยอดเขาแทบจะกลายเป็นทะเลผู้คนไปแล้ว.
“เมื่อวานจักรศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏขึ้นครั้งหนึ่ง,ทว่ามันปรากฏออกมาเร็วมาก,วันนี้น่าจะปรากฏออกมาอีกครั้ง!”
“แม้แต่เผ่าวิญญาณรัตติกาล,คนของเมืองจ้านเทียนก็ยังมา,ถึงแม้นว่าจักรศักดิ์สิทธิ์ปรากฏ,พวกเราก็ยังไร้ซึ่งความหวัง,อย่าได้ฝันจะได้รับ.”
เหล่ายอดฝีมือมากมายที่กล่าวเสียงเบา.
หลายคนได้ยินว่ามีคนของเผ่าวิญญาณรัตติกาล,และคนของเมืองจ้านเทียนมา,ต่างก็ส่ายหน้าไปมา.
ลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำได้มาหยุดที่ยอดเขาธรรมดาลูกหนึ่ง.
เมื่อทั้งสองมาถึงก็พบว่าที่ขอบฟ้าไกลนั้นปรากฏยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดสีทองกำลังบินมา.
“เจ้านิกายจินกัง!”
“นิกายจินกังก็ส่งบรรพชนชราจ้าวพิภพขั้นกลางออกมาหลายคน!”
นิกายจินกังคือกลุ่มอิทธิพลใหญ่ในมนทลอวิ๋นโหลวดินแดนปิศาจสวรรค์,ย่อมเป็นที่สนใจต่อผู้คนจำนวนมาก.
“หมารับใช้เผ่าวิญญาณรัตติกาล!”เผ่ามนุษย์บางคนที่ไม่พอใจเอ่ยออกมา.
เผ่ามนุษย์และเผ่าปิศาจนั้นขัดแย้งกันมาตลอด,การที่เผ่ามนุษย์นิกายจินกัง,ไปรับใช้ปิศาจ,เผ่าวิญญาณรัตติกาล,ย่อมทำให้คนของเผ่ามนุษย์รู้สึกอับอายและรังเกียจเป็นธรรมดา.
“ได้ยินมาว่าเมื่อวานมีใครสังหาร,หม่าเฟิง,ศิษย์คนเล็กของเจ้านิกายจินกังที่เมืองชิงเฟิงด้วย.”
“เป็นข่าวเท็จหรือไม่?”
“เรื่องนี้ข้าเองก็ได้ยิน,นอกจากนี้ศิษย์ของใต่หวังเจียงเองก็ถูกสังหาร,กล่าวได้ว่าไต่หวังเจี้ยนนั้นโกรธเป็นอย่างมาก,ปฏิญาณที่จะแร่เนื้อบดกระดูกเจ้านายและลูกน้องที่เอาชีวิตศิษย์ของเขาไปด้วย!”
“ไม่รู้ว่าเจ้านายกับลูกน้อง สองคนนั่นมาจากใหน.”
ขณะผู้คนที่กำลังพูดคุยกันไปมา,ยอดฝีมือนิกายจินกังก็มาถึง.
ในเวลานี้นิกายจินกังส่งจ้าวพิภพออกมา 13 คน,และเทพสวรรค์กว่าร้อยคนมา.
หลังจากเจ้านิกายจินกัง,เจิ้งหยวนมาถึง,ก็กวาดตามองผู้คนรอบ ๆ เอ่ยออกมาว่า“ดูเหมือนว่าท่านเย่จื่อโม่และท่านหม่าซี่ยังมาไม่ถึง.”
“พวกเราไปหาสถานที่รอ ท่านเย่จื่อโม่และท่านหม่าซีกันเถอะ.”ไต่หวังเจี้ยนเอ่ย.
เจิ้งหยวนพยักหน้ารับ.
ในเวลานั้น,มียอดฝีมือคนหนึ่งก้าวมาด้านหน้า,โค้งคำนับต่อเจิ้งหยวน,จากนั้นก็ชี้ไปยังทิศทางของลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำ.
“พวกเขาก็คือเจ้านายและลูกน้องที่สังหารศิษย์ข้าที่เมืองชิงเฟิงอย่างงั้นรึ?”เจิ้งหยวนจ้องมองลู่อี้ผิงและวัวกระทิงมังกรเขาทองคำ,แววตาที่เผยจิตสังหารที่รุนแรงหนักหน่วงออกมา.
ไต่หวังเจียงที่เผยความเย็นชาเอ่ยออกมา“ให้ข้าจัดการเอง”เขาที่ได้เอ่ยปฏิญาณก่อนหน้านี้ว่าจะแร่เนื้อบดกระดูกเจ้านายและลูกน้องคนดังกล่าวเอ่ยอาสาออกมาทันที.
เจิ้งหยวนและคนอื่น ๆ ขณะจะตรงไปหาลู่อี้ผิง,ทันใดนั้น,ที่ขอบฟ้าไกลก็ปรากฏยอดฝีมืออีกกลุ่มบินมา,จึงหยุดลง.
คนที่มา,สวมชุดสีดำ,ร่างกายแผ่ปราณปิศาจลอยฟุ้ง,เป็นยอดฝีมือเผ่าวิญญาณรัตติกาลและยอดฝีมือของตระกูลหม่านั่นเอง.
เผ่าวิญญาณรัตติกาลและตระกูลหม่าเดินทางมาพร้อมกัน.
เจิ้งหยวนและไต่หว่านเจียงและคนอื่น ๆ ก้าวออกไปต้อนรับ.
“คารวะท่านเย่จื่อโม่,และท่านหม่าซี!”เจิ้งหยวนและใต่หวังเจี้ยนตลอดจนคนอื่น ๆ ต่างก็ทำความเคารพ.
ร่างกายของเย่จื่อโม่ที่เต็มไปด้วยปราณปิศาจที่ลอยฟุ้ง,เขาสวมหมวกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง,ดวงตาที่มีประกายเพลิงสีเขียว,ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าท่าทางของอีกฝ่ายได้.
ส่วนหม่าซีนั้นเป็นชายอ้วน,ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเอ่ยออกมาว่า“เจ้านิกายเจิ้ง,พวกเราต่างก็มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน,ไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้.”เขาทีโบกมือให้กับเจิ้งหยวน.
เย่จื่อโม่จ้องมองไปยังยอดเขาหลายลูกเอ่ยออกมาว่า“ไม่ใช่ว่าคนของเมืองจ้านเทียนก็มาหรอกรึ?”
“ยังไม่เห็นเลย.”เจิ้งหยวนเอ่ยรายงาน.
เย่จื่อโม่ที่บินตัดอากาศตรงไปยังยอดเขาใหญ่แห่งหนึ่ง,เผ่าวิญญาณรัตติกาลและตระกูลหม่า,พร้อมกับคนของนิกายจินกังเองก็บินตามไป.
เหล่ายอดฝีมือบนยอกเขาดังกล่าวที่ชุมนุมกันอยู่,ต่างก็บินหนี,เปิดทางให้กับเย่จื่อโม่และคนอื่น ๆ.
หลังจากมายืนอยู่บนยอดเขาดังกล่าว,เจิ้งหยวนที่ดูลังเล,ก่อนเอ่ยออกมาว่า“ท่านเย่จื่อโม่,ท่านหม่าซี,เมื่อวานศิษย์ของข้า หม่าเฟยถูกสังหาร,ฆาตกรเองก็มาที่นี่ด้วย.”
“ฆาตกรอยู่ที่ใหน?”หม่าซีได้ยิน,ก็ใบหน้ากลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที.
หม่าเฟยก็คือคนตระกูลหม่า,เป็นหลานของเขาด้วย.