Chapter 139 My main tablet finally came into being
我的主碑终于出世(二更)
จีเทียน,เหยียนเมิ่ง,เจิ้งซ่างชิง ทั้งสามเห็นฉินโม่จิวที่ไม่ทักทาย,ภายในใจที่รู้สึกไม่พอใจ,แต่ก็ไม่ได้เผยมันออกมาทางสีหน้า.
เฉิงซ่วงหลงที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก,ยกมือผสานเอ่ยต่อฉินโม่จิว“แท้จริงแล้วเป็นน้องโม่จิวนี่เอง,หลายปีไม่ได้เห็น,ดูน้องโม่จิวน่าเกรงขามยิ่งกว่าในอดีต.”
ฉินโม่จิวที่เผยยิ้ม“พี่อู๋ซ่วงชื่นชมเกินไปแล้ว.”จากนั้นเขาก็ผายมือเชิญ“พี่อู๋ซ่วง,เชิญ!”
“เชิญ!”เซิ่งซ่วงหลงที่เผยยิ้ม,ก่อนที่จะเอ่ยต่อจีเทียน,เหยียนเมิ่งและเจิ้งซ่างชิง,“สหายทั้งสาม,เชิญ!”
“เชิญ!”
จีเทียน,เหยียนเมิ่ง,เจิ้งซ่างชิง ทั้งสามที่เร่งรีบกล่าวออกมาทันที.
คนอื่น ๆ,กู่กั้วหยวน,หัวหรูเซิ่ง,จู่อวิ๋น,เจ้านิกายเสวียนเทียนเฉินซีหมิงไม่กล้าหยุด ก้าวตามไปทันที.
ในเวลานั้น,คนของโรงเตี้ยมอู๋ซ่วง,นิกายฉินหัว,นิกายเสวียนเทียน,สำนักกระบี่ไท่ชิง,และตระกูลเหยียน,ห้าสุดยอดกลุ่มอิทธิพลที่ก้าวเข้าไปในเมือง ตรงไปยังลานตรงกลาง.
ผ่านไปไม่นาน,ฉินโม่จิว,เฉิงซ่วงหลง,จีเทียน,เหยียนเมิ่ง,เจิ้งซ่างชิงและคนอื่น ๆ ก็มาถึงลานตรงกลาง.
หลังจากที่พวกเขามาถึง,บนพื้นที่ของนิกายฉินหัวปรากฏชายหนุ่มชุดน้ำเงินนั่งอยู่,กำลังนั่งดื่มกินอย่างไม่แยแสผู้ใด,ก็ตะลึงงัน.
หมายความว่าอย่างไร?
ชายหนุ่มผู้นี้ไม่รู้ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของนิกายฉินหัวอย่างงั้นรึ?
เฉิงซ่วงหลงเห็นร่างของลู่อี้ผิง,ก็รู้สึกราวกับว่าเคยเห็นมาก่อน.
ในเวลาต่อมา,ใบหน้าของเขาที่สั่นไปมา,ราวกับว่าในจิตสำนักนั้นปรากฏร่าง ๆ หนึ่งขึ้น.
ดวงตาที่เบิกกว้างแทบถลนออกมา.
ในอดีต,เขาโชคดีได้ตามนักบุญปิศาจ,เห็นบุคคลลึกลับผู้หนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ.
ทว่า,เห็นเพียงแผ่นหลังเท่านั้น,ไม่ได้เห็นด้านหน้า.
ดังนั้น,เมื่อเห็นลู่อี้ผิง,จึงประหลาดใจเป็นอย่างมาก.
เป็นต้าเหรินหรือไม่?!
อย่างไรก็ตาม,เขาไม่อาจยืนยันได้.
“โยนมันออกไป.”ฉินโม่จิวเอ่ย.
ในเวลานั้น,บรรพชนชรานิกายฉินหัวก้าวออกมาด้านหน้า“ท่านโม่จิว,นี่คือลู่อี้ผิง.”
“ลู่อี้ผิง!”ฉินโม่จิว,เจิ้งซ่างชิง,จีเทียน,เหยียนเมิ่งและคนอื่น ๆ ต่างก็ประหลาดใจไปตาม ๆ กัน.
“แท้จริง เป็นมันนี่เอง!”ฉินโม่จิวที่ใบหน้ากลายเป็นเคร่งขรึม.
หลายวันมานี้,พวกเขาตามสืบเสาะหาความจริง,ว่าเทพกู่ฉินฟู่เฉาที่ถูกฝ่ามีอรหันต์กำราบเป็นใคร,ทว่าเมื่อรู้ว่าลู่อี้ผิง เวลานั้นอยู่ในดินแดนเฟิงเหล่ย,ดังนั้นจึงมั่นใจว่าคนลึกลับนั่นไม่ใช่ลู่อี้ผิงอย่างแน่นอน.
ทว่ากู่กั๋วหยวนได้ที่ยินว่าลู่อี้ผิง,แววตาก็เผยความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที,จิตสังหารที่มากล้นแผ่ออกมา.
เขาที่ตามหาอีกฝ่ายจนทั่ว,เจ้าหนุ่มคนนี้ก็คือคนที่สังหารบุตรของเขานั่นเอง.
กู่กั๋วหยวนก้าวไปด้านหน้า,เอ่ยด้วยควาเมคารพต่อเฉิงซ่วงหลง,“ต้าเหริน,เจ้าคนผู้นี้สังหารบุตรชายของข้า,ปิดโรงเตี้ยมอู๋ซวงเมืองเสวียนกู่,ขอให้ต้าเหรินอนุญาตให้ข้าลงมือ,สังหารมันผู้นี้ด้วย!”
เฉิงซ่วงหลงที่ดูลังเล.
ในเวลานั้น,เจิ้งซ่างชิงสำนักกระบี่ไท่ชิง,ก้าวมาด้านหน้า,จ้องมองลู่อี้ผิงด้วยความเย็นชา“ลู่อี้ผิง,ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะมายังเมืองเทียนเป่ย!”
ลู่อี้ผิงที่ไม่สนใจมองเจิ้งซ่างชิงด้วยซ้ำเอ่ยออกมาว่า“ทำไมข้าจะไม่กล้า?”
เจิ้งซ่างชิงแค่นเสียง,“ฉินหวยนำคนของสำนักกระบี่ไท่ชิง 100 กว่าคนไปนิกายกระบี่กุยหยวน ถูกพวกฉู่ถงสังหารหมด,ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า.”
“เจ้าพูดผิดแล้ว.”วัวกระทิงมังกรเขาทองคำเอ่ยขัดทันที“คนของสำนักกระบี่ไท่ชิงกว่าร้อยคนนั่น,ข้าสังหารทั้งหมด.”
เจิ้งซ่างชิงและคนอื่น ๆ ต่างก็ประหลาดใจ.
จนกระทั่งถึงตอนนี้,พวกเขาคิดว่าฉินหวยและคนอื่น ๆถูก ฉู่ถง,เฟิงเหวินและคนอื่น ๆ ร่วมมือกันสังหาร.
“เป็นเจ้าอย่างงั้นรึ?!”เจิ้งซ่างชิงและคนของสำนักกระบี่ไท่ชิงจ้องมองวัวกระทิงมังกรเขาทองคำด้วยความประหลาดใจ.
วัวกระทิงมังกรเขาทองคำที่ผิวปาก,เอ่ยออกมาว่า“ใช่แล้ว,อยากเอาคืนก็เข้ามา?”จากนั้นเขาก็กวาดตาจ้องมองกู่กั้วหยวน,ฉินโม่จิว,หัวหรูเซิ่งและคนอื่น ๆ“ขี้เกียจพูดมาก,พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย,ข้าจะได้จัดการไปทีเดียว.”
กู่กั๋วหยวน,หัวหรูเซิ่งและคนอื่น ๆ ที่ใบหน้ากลายเป็นอัปลักษณ์ไปในทันที.
ฉินโม่จิวที่เผยแววตาเย็นชา.
อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันนั้น,ลานใจกลางเมืองเทียนเป่ยกับสั่นไปมาทันที.
ริ้วแสงที่พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า.
ลำแสงที่แผ่รัศมีอำนาจสวรรค์กดทับลงมาอย่างรุนแรง.
อำนาจสวรรค์ที่ราวกับน้ำตาที่ไหลลงโถมทับสู่พื้นด้านล่าง,เหล่าผู้อ่อนแอต่างก็สั่นสะท้าน.
ทั่วทั้งเมืองเทียนเป่ย,เวลานี้ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของอำนาจสวรรค์.
ผู้คนทั้งหมดต่างก็จดจ้องมองไปยังลานตรงกลาง.
“เกิดอะไรขึ้น? ศิลาจารึกสวรรค์กำลังปรากฏขึ้นอย่างงั้นรึ?”
“ปรากฏก่อนเวลาอย่างงั้นรึ?”
ผู้คนต่างก็เผยความอัศจรรย์ใจออกมา.
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน,ศิลาจารึกสวรรค์ปรากฏขึ้นมาหลายครั้งแล้ว,แต่ไม่เคยได้ยินมาว่ามันปรากฏก่อนเวลาเลยสักครั้ง.
มีเหตุผลอันใด,ที่ทำศิลาจารึกสวรรค์ปรากฏก่อนเวลา?
ที่จริงผู้คนไม่เห็นว่า บริเวณสถานที่ลู่อี้ผิงนั่งอยู่,ปรากฏพลังที่มองไม่เห็นกำลังแผ่พุ่งลงไปใต้พื้นดินกวาดไปทั่วบนพื้นที่มิติรอบ ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน.
เหล่ยยวีที่นั่งดื่มสุราอยู่เห็นว่าศิลาจารึกสวรรค์กำลังปรากฏ,แม้นว่าจะประหลาดใจ,ทว่าก็หัวเราะอย่างมีความสุข“ยอดเยี่ยม,ศิลาจารึกสวรรค์กำลังปรากฏ!”
สำหรับเขา,ศิลาจารึกสวรรค์ปรากฏออกมาเร็วเท่าไหร่นับเป็นเรื่องดี,จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอนาน.
ในเวลานั้น,แทบจะทั้งเมืองเทียนเป่ย,ผู้คนต่างตื่นเต้นดีใจ.
เหล่าคนที่นั่งอยู่,ต่างก็ยืนขึ้น,ก้าวเข้าไปใกล้ลานตรงกลาง.
เหล่ยยวีที่ลุกขึ้นทันที,ก้าวตรงไปที่มุมใจกลาง.
เขาที่กวาดตามองไปรอบ ๆ,เอ่ยปากออกมาเสียงดัง“ศิลาจารึกเหมาะกับผู้เหมาะสมเท่านั้น,ศิลาจารึกตรงกลางและศิลาจารึกรองอีกเก้าอันรอบ ๆ เป็นของนิกายคุนเผิงของข้า,อย่าได้โทษข้าว่าไม่ได้เตือนทุกคน,หากใครต้องการยึดครองศิลาจารึกหลักและศิลาจารึกรองทั้งเก้า,อย่าได้โทษนิกายเทวะคุนเผิงของข้าที่โกรธเกรี้ยวไม่ไว้หนาผู้ใด!”
เสียงของเขาที่ก้องกังวานไปทั้งเมืองเทียนเป่ย.
สายฟ้าที่แล่นกระจายไปทั่งร่างของเขา.
ทุกคนกลายเป็นเงียบลง.
เฉิงซ่วงหลงที่ขมวดคิ้วไปมา,ในอดีตเมื่อครั้งนักบุญปิศาจยังอยู่,ได้มายังเมืองเทียนเป่ย,นิกายเทวะคุณเผิงไม่กล้าเข้าใกล้ศิลาจารึกหลักและศิลารองรอบ ๆ ทั้งเก้าแม้แต่น้อย,ตอนนี้ท่านนักบุญปิศาจไปจากจิวเทียน,นิกายเทวะคุนเผิงกับเต็มไปด้วยความอหังการหยิ่งผยองเป็นอย่างมาก.
อย่างไรก็ตาม,แม้นว่าคำพูดของเหล่ยยวีจะโอหังอย่างที่สุด,ทว่าเขากับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา.
ท่านนักบุญปิศาจไม่อยู่,นิกายเทวะคุณเผิงนับว่ามีความแข็งแกร่งไร้เทียมทานอย่างแท้จริง.
ริ้วแสงที่สว่างเจิดจ้าแผ่ออกจากลานตรงกลางมากขึ้นและก็มากขึ้น.
ผืนปฐพีที่สั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน.
จากใต้พื้นดิน,ราวกับว่ามีอสุรกายน่าเกรงขามกำลังปรากฏขึ้นมา.
ริ้วแสงที่เจิดจรัส,สว่างจ้า,กลิ่นอายสวรรค์ที่รุนแรง,ปกคลุมท้องฟ้าเมืองเทียนเป่ย,สายลมและสายฟ้าที่แล่นไปทั่ว,แม้แต่ยอดฝีมือเทพแท้จริงยังต้องฟุบลงบนพื้น,ใบหน้าซีดเซียว.
ตูมมมมมมมมมมม
เกิดระเบิดดังสนั่นอย่างไม่ธรรมดา.
ในเวลานั้นผู้คนต่างมองไปบนพื้นที่ตรงกลางผืนปฐพีที่แยกออก,ปรากฏศิลาจารึกขนาดใหญ่กำลังผุดขึ้นมาช้า ๆ.
ศิลาจารึกที่แผ่รัศมีแสงสีทองสูงหมื่นจั้ง,แสงสว่างเจิดจ้าจน ผู้คนยากจะลืมตา,แม้แต่จ้าวพิภพทั่วไปยังไม่อาจต้านท้าน.
นี่คือศิลาจารึกหลัก.
เหล่ยยวี,ฉินโม่จิว,เจิ้งซ่างซิงและคนอื่น ๆ ที่จับจ้องมองไปยังศิลาจารึกหลัก,ดวงตาที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง,เหล่ยยวีที่หัวเราะลั่น”ศิลาจารึกหลักของข้า,ท้ายที่สุดก็ปรากฏ.
ศิลาจารึกหลักที่ผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน.
ลำแสงที่เจิดจ้าที่ส่องสว่างมากขึ้นและมากขึ้น.
ท้ายที่สุด,ศิลาจารึกที่ผุดสูง 4.9 เมตรแล้วหยุดลง.
ทุกคนที่จ้องมองศิลาจารึกหลัก,บนนั้นมีอักขระมากมายสลักเอาไว้,ทว่ากับไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน,ศิลาจารึกหลักนั้นมีพลังลึกลับคลุมเอาไว้,มีเพียงคนที่เข้าใกล้เพียงหนึ่งเมตรเท่านั้นที่จะสามารถมองเห็น,ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปไม่อาจมองเห็นรับรู้อ่านมันได้.
เหล่ยยวีที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก,ก้าวตรงไปยังศิลาจารึกหลัก.
อย่างไรก็ตาม,ขณะที่เข้าจะก้าวไปยังศิลาจารึกหลัก,ทันใดนั้นก็พบว่ามีใครบางคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าศิลาจารึกหลักแล้ว.
เป็นชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินนั่นเอง,ใบหน้าของเขาที่กลายเป็นซับซ้อนแปลกประหลาด.